ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 160.1

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 160.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
จัดการ

 

 

 

 

เมิ่งเสียนได้ยินเสียงเอ็ดตะโรวิ่งออกมา เห็นการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบวิ่งมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว ร้อนรนพูด “น้องสาว ข้าเป็นคนบอกอี้เซวียนเรื่องเจ้าถูกตบหน้า ให้เขามาปลอบใจเจ้า หากเจ้ามีความอัดอั้นอะไร ก็มาระบายกับข้า อย่าได้ลงมือกับอี้เซวียนเด็ดขาด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วกระชากคอเสื้อเมิ่งอี้เซวียนเดินไปลานใหญ่ ทั้งพูดว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่ก็อยู่ว่างๆ เช่นนั้นก็ตามมาเถอะ วันนี้ข้าจะได้ทดสอบว่าฝีมือพวกท่านเป็นอย่างไรกันบ้าง” 

 

 

เมิ่งเสียนสาวเท้าเดินตามไป 

 

 

สองสามีภรรยาเมิ่งเดินตามติดมาด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวจะทำพวกท่านบาดเจ็บไปด้วย” 

 

 

เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้สะดุ้งกลัว พูดโน้มน้าว “โยวเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าอึดอัดคับแค้นใจ แต่นั่นเป็นเรื่องผิดที่เหรินเอ๋อร์ทำ เจ้าอย่าได้พาลมาลงกับพี่ใหญ่และอี้เซวียน หากเจ้าอัดอั้นตันใจจริงๆ พรุ่งนี้แม่จะไปคิดบัญชีกับเขาเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ต้อง เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราประลองกันสักยกก็หายแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อยิ่งทวีความเป็นกังวล เร่งฝีเท้าหมายจะตามพวกเขาให้ทัน เมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งนางไว้ พูดเตือน “พวกเราอย่าเข้าไปเลย ข้าว่าวันนี้เสียนเอ๋อร์ก็คับแค้นใจไม่น้อย ให้พวกเขาสู้กันสักตั้งก็ดี” 

 

 

เมิ่งชื่อหยุดฝีเท้า มองพวกเขาอย่างกลัดกลุ้มใจ 

 

 

เดินมาถึงหน้าท่อนไม้ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงปล่อยเมิ่งอี้เซวียน ชักสีหน้าอึมครึม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ากล้าหาญเกินไปหน่อยแล้ว ถึงกับกล้าเตะประตูห้องข้า วันนี้ข้าจะอัดเจ้าจนกรีดร้องโหยหวน ให้เจ้าจำบทเรียนนี้ไม่มีวันลืม” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนยืนอก มองนางอย่างแน่วแน่ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถูกมองจนหัวใจสั่นไหว สะท้อนแววตา รีบพูดกลบเกลื่อน “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? เข้ามาพร้อมกันทั้งสองคน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนสบตากัน แยกขาตั้งกระบวนท่า ออกอาวุธจู่โจมนาง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ ออกอาวุธโต้กลับ 

 

 

ผ่านไปสองเค่อ เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนฟุบไปกับพื้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือให้คนทั้งสอง “ลุกขึ้น สู้กันต่อ” 

 

 

ทั้งสองเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ส่ายหน้าพร้อมกัน 

 

 

ได้ต่อสู้อย่างสะใจหนึ่งยก สลัดความคับข้องขุ่นมัวในใจออกไปได้ไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง พูดอย่างจริงจังกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าจำไว้ให้ดี หากข้ารู้ว่าภายหน้าพวกเจ้ามีความคิดจะมีหลายเมีย ข้าจะอัดพวกเจ้าให้ไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก” 

 

 

ทั้งสองลนลานพยักหน้า 

 

 

เมิ่งชื่อคอยชะเง้อมองอยู่ไกลๆ เห็นเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนสู้จนกองไปกับพื้น รีบร้อนวิ่งเข้ามาดูอาการของคนทั้งสอง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดกับเมิ่งชื่อที่วิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ลงมือหนัก ท่านไม่ต้องเป็นกังวล” 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เมิ่งชื่อเห็นทั้งสองไม่เหมือนเป็นอะไรมาก ก็วางใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ปลดปล่อยแล้ว อารมณ์ย่อมดีตามไปด้วย พูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “ดึกมากแล้ว กลับไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้ามาฝึกวรยุทธ์อีก” 

 

 

ทั้งสองถูกตีจนปวดแสบไปทั้งร่าง เดิมคิดจะพักผ่อนให้สบายสักคืน ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างร้องโอดครวญออกมาพร้อมกัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปาก กลับเข้าห้องตัวเองอย่างสบายอารมณ์ 

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนค่อยๆ เดินกลับไป เมิ่งชื่อมองดูสภาพพวกเขา พูดอย่างอดไม่ได้ “ต่อไปถ้าพวกเจ้าเห็นโยวเอ๋อร์อารมณ์ขึ้นอีก อย่าได้ยั่วโมโหนางเด็ดขาด ดูสภาพน่าสังเวชของพวกเจ้าเถิด คาดว่าอีกหลายวันก็ยังไม่หายดี” 

 

 

เมิ่งเสียนยิ้มพูด “ท่านแม่ การได้ประลองกับน้องสาวที่กำลังบันดาลโทสะเป็นเรื่องดี แม้พวกเราจะถูกตี แต่วรยุทธ์ของพวกเราก็ได้พัฒนาเร็วขึ้น คุ้มค่า” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าสนับสนุน 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นพวกเขาถูกตียังสุขใจเช่นนี้ ก็ให้คับข้องใจไม่คลาย 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามาแต่เช้า จัดเตรียมรถม้า ออกมารอด้านนอก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งครอบครัว “วันนี้ข้าจะพาพวกเขาสองคนไปทำความคุ้นเคยเส้นทาง ต่อไปเรื่องรับส่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉจะได้มอบให้พวกเขา พวกเราจะได้ว่างไปทำเรื่องอื่น” 

 

 

คนทั้งครอบครัวต่างรู้ว่าพวกเขามีวรยุทธ์ ไม่มีใครคัดค้าน มีเพียงเมิ่งเอ้ออิ๋นที่กำชับเมิ่งเชี่ยนโยว “ส่งคนเสร็จแล้วก็รีบกลับมา วันนี้ช่วงเช้าจะเริ่มก่อสร้างแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าทราบแล้ว ท่านพ่อ ส่งอี้เซวียนเสร็จจะรีบกลับมาทันที” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนรวมถึงซุนเหลียงไฉขึ้นนั่งบนรถม้า เหวินเปียวบังคับรถ เหวินหู่นั่งอีกฝั่ง ค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าเมือง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ บอกคนทั้งสองว่าต้องไปอย่างไร เหวินเปียวจดจำอย่างตั้งใจ 

 

 

ไม่นานรถม้าก็มาถึงหน้าโรงเรียน 

 

 

เหวินเปียวจอดรถม้า เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉลงจากรถม้า เดินเคียงบ่ากันเข้าไปในโรงเรียน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ “พอตอนเย็นเลิกเรียน พวกเจ้าคนหนึ่งเฝ้ารถม้า อีกคนไปรับพวกเขาหน้าประตู โดยเฉพาะซุนเหลียงไฉ พวกเจ้าต้องคุ้มกันเขาให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องผิดพลาดเด็ดขาด” 

 

 

ทั้งสองรับประกันหนักแน่น “นายหญิงวางใจ พวกเราจะคุ้มกันนายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี” 

 

 

คุ้นเคยเส้นทางแล้ว ขากลับเหวินเปียวจึงบังคับรถม้าเร็วขึ้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงสถานที่ปลูกเรือนหลังใหม่ 

 

 

พิธีบวงสรวงยังไม่เริ่ม เมิ่งจงจวี่กำลังกล่าวความรู้สึก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งอยู่อีกด้าน 

 

 

เมื่อเมิ่งจงจวี่พูดจบ หยิบเสียมขึ้น ฟันฉับดินก้อนหนึ่งโยนไปบนที่ดิน คนทั้งหมดถึงลงมือทำการก่อสร้างอย่างเปรมปรีดิ์ 

 

 

โหย่วเหรินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแต่แรกแล้ว พอพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้น รีบเดินเข้ามา ร้องทักนางด้วยความยินดี “แม่นางเมิ่ง ข้าพาคนมาแล้ว ทั้งช่างใหญ่และคนงานจับกัง ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคนพอดี ท่านวางใจ ไม่เกินหนึ่งเดือน เรือนใหญ่นี้ก็จะสร้างเสร็จ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ขอบคุณท่านอาโหย่วเหริน ข้ายังพูดเหมือนเดิม เวลาก่อสร้างนานหน่อยไม่เป็นไร แต่ต้องรับประกันคุณภาพของเรือน” 

 

 

มีคนตบหน้าอกรับประกัน “ไม่มีปัญหาแน่นอน ช่างใหญ่ที่ข้าหามาล้วนเป็นยอดฝีมือ ทำออกมาได้สวยงามไร้ที่ติ”  

 

 

เมิ่งต้าจินก็เดินเข้ามา 

 

 

โหย่วเหรินเห็นพวกเขามีเรื่องจะพูดกัน บอกลาคนทั้งสอง หันหลังไปควบคุมคนงานต่อ 

 

 

ไม่รอให้เมิ่งต้าจินเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้น “ลุงใหญ่ ข้ายังจ้างคนอีกจำนวนมากมาแผ้วถางภูเขาร้างที่หมู่บ้านหลี่ ข้าต้องไปดูบ่อยๆ เรื่องสร้างบ้านต้องมอบให้ท่านแล้ว” 

 

 

เมิ่งต้าจินพูด “เจ้ายุ่งเรื่องของเจ้าเถอะ เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทุ่มเทกำลัง เพียงแต่เรื่องของเหรินเอ๋อร์…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “ลุงใหญ่ เรื่องในครอบครัวเรากลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ ที่นี่มากคนมากปาก หากเรื่องแพร่งพรายออกไปจะไม่ดี” 

 

 

เมิ่งต้าจินจำต้องเงียบปาก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับมาที่รถม้า สั่งเหวินเปียวเหวินหู่บังคับรถม้าไปภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่ 

 

 

พอมาถึงตีนเขา เหวินเปียวจอดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขารอที่ตีนเขา ตัวเองขึ้นภูเขาร้างไปลำพัง 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านกำลังจดบันทึกคนที่ทำงานเสร็จแล้วอย่างแข็งขัน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดกับนางอย่างยินดี “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาแล้ว มีหลายครอบครัวทำงานเสร็จแล้ว เจ้ามาดูก่อน พวกเขาทำได้มาตรฐานหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังที่ดินร้างที่แผ้วถางเสร็จแล้วเบื้องหน้าผู้ใหญ่บ้าน เริ่มจากดูระดับความสะอาดที่พวกเขาเก็บกวาด จากนั้นนั่งยอง ใช้มือวัดคร่าวๆ ถึงความหนาของดินที่พวกเขาพลิกขึ้นมา ลุกขึ้นยืน พูดกับผู้ใหญ่บ้านอย่างพึงพอใจ “ทำได้ดีมาก ตรงกับที่ข้าต้องการทุกประการ” 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านค่อยวางใจลง พูดว่า “ทุกแปลงที่แผ้วถางเสร็จ พวกเขาจะทำการตรวจวัดก่อน เมื่อคิดว่าได้มาตรฐานแล้ว ถึงจะให้ข้ามาลงบันทึก ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หากมีที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเล็กน้อย ก็จะให้พวกเขาทำใหม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้าน” 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านโบกมือ “เจ้าซื้อภูเขาร้าง ให้โอกาสทุกคนได้หาเงิน ทำให้คนทั้งหมดหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยขจัดปัญหายากเข็ญนี้แทนข้า ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี มีเพียงการตรวจตราให้คนในหมู่บ้านแผ้วถางภูเขาร้างให้ดี ถึงจะตอบแทนน้ำใจเจ้าได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าซื้อภูเขาเพราะข้าต้องการ หาได้มาช่วยเหลืออะไรพวกท่านเป็นพิเศษไม่” 

 

 

ภรรยาจางจู้นำน้ำร้อนขึ้นมาส่งพอดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย แย้มยิ้มพูด “ข้าเห็นรถม้าที่ตีนเขา ก็รู้ทันทีว่าเจ้ามา รอข้าส่งน้ำหาบนี้เสร็จ พวกเรากลับบ้านด้วยกัน เจ้าไม่มาหลายวัน ท่านยายบ่นอุบแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มตอบ “ท่านป้าใหญ่ วันนี้ข้าไม่ไปบ้านพวกท่านแล้ว วันนี้ที่บ้านเริ่มปลูกเรือนวันแรก ข้าจะต้องกลับไปควบคุมดูแล” 

 

 

ภรรยาจางจู้รู้สึกผิดหวัง แต่ก็รู้ว่าปลูกเรือนเป็นเรื่องใหญ่ จะปล่อยปะไม่ได้ จึงไม่ดึงรั้งนาง 

 

 

ชายสวมเสื้อผ้ามอซอคนหนึ่งเดินเข้ามา ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระวัง “แม่นางเมิ่ง พวกเราแผ้วถางเสร็จแล้วหนึ่งแปลง ท่านพอจะตัดเงินค่าแรงให้พวกเราก่อนได้หรือไม่ บ้านข้าแทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าตนเองลืมพกเงินอีแปะติดตัวมาจ่ายค่าแรงให้คนที่จำเป็นใช้ จึงพูดกับชายหนุ่มอย่างรู้สึกผิด “ย่อมได้ ค่าแรงเป็นเงินเท่าใด?” 

 

 

ชายหนุ่มมองผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเปิดสมุดบันทึกดู พูดว่า “ทั้งหมดสามร้อยห้าสิบอีแปะ” 

 

 

ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมากเช่นนี้ แววตาปิติยินดี 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมา ส่งให้ชายหนุ่ม “วันนี้ข้าลืมนำเงินอีแปะมาด้วย นี่เป็นเงินหนึ่งตำลึง เจ้ารับไปก่อน” 

 

 

ชายหนุ่มตกใจหุนหันโบกมือ “ไม่ๆๆ แม่นางให้ข้ามาไม่กี่สิบอีแปะก่อนก็ได้ ให้พวกเรามีพอซื้อเสบียงอาหารสำหรับสองวันก็พอ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดว่า “เจ้ารับเงินหนึ่งตำลึงนี้ไปก่อนเถอะ ซื้ออาหารกลับบ้านมากหน่อย กินให้อิ่มถึงจะมีแรงแผ้วถางภูเขาร้างได้มากขึ้น ถึงจะหาเงินได้มากขึ้น” 

 

 

ชายหนุ่มยังคงไม่รับ พูดอย่างกระดากอาย “แต่เงินค่าแรงทั้งหมดของข้าเพียงแค่สามร้อยห้าสิบอีแปะเท่านั้น จะรับเงินท่านหนึ่งตำลึงได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นข้าไปขอยืมข้าวสารจากข้างบ้านมาก่อน เอาไว้ท่านมีเงินอีแปะเมื่อไหร่ค่อยมาจ่ายค่าแรงข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อมเขา “เงินหนึ่งตำลึงนี้นอกจากเงินค่าแรงเจ้า ส่วนที่เหลือถือว่าข้าให้เจ้ายืม แล้วจะค่อยๆ หักออกจากเงินค่าแรงเจ้า เจ้าไม่ต้องรู้สึกมีแรงกดดัน รีบรับเงินแล้วไปซื้ออาหารเถอะ” 

 

 

ชายหนุ่มยังคงไม่กล้ารับ 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากพูด “รับไปเถอะ ครอบครัวเจ้าไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายวันแล้ว นำเงินนี้ไปซื้ออาหารกลับมามากหน่อย จะได้กินให้อิ่มหนำกันทั้งครอบครัว ส่วนเงินค่าแรงที่แม่นางเมิ่งให้เกินมา ข้าจะลงบันทึกไว้ ถึงตอนนั้นค่อยหักจากเงินค่าแรงเจ้า” 

 

 

ในหมู่บ้านนี้ผู้ใหญ่บ้านมีบารมีค่อนข้างสูง ชายหนุ่มเห็นเขาพูดเช่นนี้ รับเงินมาอย่างรู้สึกไม่ดี โค้งคำนับให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ 

 

 

ชายผู้นั้นถือเงินเดินยินดีไปตรงหน้าคนในครอบครัวที่ร่างกายผอบซูบใบหน้าเหลืองซีดไม่ไกลออกไป พูดบางอย่างสองสามคำ คนในครอบครัวก็ดีใจลิงโลด หลังจากที่ชายหนุ่มกำชับพวกเขาให้ทำงานอย่างตั้งใจ ก็รีบร้อนถือเงินลงไปซื้ออาหาร 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจแผ่ว พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางอย่าถือสา ครอบครัวพวกเขาลำบากแสนเข็ญจริงๆ มีผู้เฒ่าชรานอนเป็นผักอยู่บนเตียงแรมปี ก่อนหน้านี้ยายเฒ่าก็เพิ่งล้มป่วยหนัก สิ่งของที่พอจะขายได้ก็เอาไปขายจนหมด ถึงพอจะยื้อชีวิตกลับมาได้ ตอนนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่ในบ้าน แม้ลูกๆ พวกเขาจะรู้ความ แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ออกไปทำงานไม่มีใครต้องการ เรื่องในบ้านนอกบ้านล้วนพึ่งพาเงินค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาบากบั่นเข้าเมืองไปทุกวัน ปกติครอบครัวต้องอดมื้อกินมื้อ คงเพราะสองสามวันมานี้เอาแต่แผ้วถางภูเขาร้าง ไม่ได้ตัดเงินทันที ไม่มีเงินไปซื้ออาหาร ถึงต้องมาเอ่ยปากขอเงินค่าแรงจากแม่นาง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เรื่องนี้ข้าผิดเอง เดิมข้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว บ้านไหนแผ้วถางเสร็จหนึ่งแปลง อยากจะรับเงินค่าแรง สามารถตัดจ่ายให้ได้ทันที แต่สองสามวันมานี้ยุ่งมาก ข้าลืมไปเสียสนิท พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำมามากหน่อย รบกวนท่านบอกคนในหมู่บ้านด้วย หากยังมีบ้านไหนลำบาก พรุ่งนี้ให้มาตัดเงินกับลุงใหญ่ข้า” 

 

 

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า พูดซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง ประเดี๋ยวข้าจะนำข่าวดีนี้ไปบอกทุกคน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกภรรยาจางจู้ แล้วเดินไปดูภูเขาร้างลูกอื่นๆ พร้อมผู้ใหญ่บ้าน จางจู้และจางเกินเห็นนางก็ดีใจ ให้นางตรวจดูเล็กน้อย ว่าคนงานแผ้วถางภูเขาร้างได้ตรงตามหลักเกณฑ์หรือไม่ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เมื่อครู่ข้าตรวจสอบแปลงหนึ่งแล้ว ทำตรงตามความต้องการที่ข้าบอกทั้งหมด ข้าวางใจแล้ว ที่เหลือข้าจะไม่ตรวจสอบอีก พวกท่านกับผู้ใหญ่บ้านทำงาน ข้าวางใจ” 

 

 

คนที่เหลือเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อใจพวกเขาเช่นนี้ เริ่มรู้สึกฮึกเหิม แอบตัดสินใจ ต่อไปจะตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้ จะต้องไม่ทำให้ความเชื่อใจของแม่นางเมิ่งที่มีต่อพวกเขาต้องสูญเปล่า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับจางจู้ “ท่านลุงใหญ่ พรุ่งนี้ข้าจะส่งเงินอีแปะมาให้ ใครอยากตัดเงินค่าแรงเข้ามาได้ทุกเมื่อ” 

 

 

จางจู้พยักหน้าพูด “ท่านตาท่านยายเจ้าอยู่บ้านทุกวัน พรุ่งนี้เจ้าให้คนนำเงินอีแปะส่งไปที่บ้าน ที่นี่งานยุ่ง ข้าจะได้ไม่ต้องกลับบ้านไปอีกรอบ เจ้าจำตัวเลขมาให้ดีก็พอ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะรับคำ 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่รอที่เชิงเขามาตลอด เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เหวินหู่เลิกม่านบังรถออกอย่างอ่อนน้อม ให้เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนข้างรถ พูดกับคนทั้งสอง “ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่ได้เห็นพวกเจ้าเป็นคนรับใช้ ดังนั้นเรียนทำนองนี้นอกจากข้าสั่ง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอีก” 

 

 

เหวินหู่เงยหน้ามองนางอย่างตกใจแวบหนึ่ง แล้วรีบก้มหัวขานรับอย่างนอบน้อม “ทราบแล้ว แม่นาง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนรถม้า สั่งการพวกเขา “ไปที่พักของพวกเจ้า ข้าจะดูว่าอาหารกลางวันตระเตรียมไปถึงไหนแล้ว” 

 

 

ทั้งสองขานรับอย่างนบนอบ บังคับรถม้าตรงมาถึงบ้านหลี่ต้าฉุย 

 

 

เมิ่งฉีและเมิ่งเสียวเถี่ยซื้อผักของวันนี้กลับมาแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินนำผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสาละวนกับการเตรียมทำกับข้าว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดขึ้นทันที “โยวเอ๋อร์ โชคดีที่เจ้าหาคนเข้ามาช่วย ไม่เช่นนั้นอาหารเที่ยงวันนี้ทำออกมาไม่ทันเป็นแน่” 

 

 

เดิมทีภรรยาเมิ่งต้าจินไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาปลูกเรือนมากเช่นนี้ จึงให้เมิ่งฉีไปหาหญิงสาวสี่คนเข้ามาทำอาหาร แค่พวกเขาไม่กี่คนนี้ อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แค่หุงข้าวก็ทำไม่ทันแล้ว โชคดีได้ภรรยาของเหวินเปียว เหวินหู่และเหวินเป้ามาช่วย จนถึงตอนนี้ถึงยังไม่วุ่นวายมาก 

 

 

ได้ยินคำพูดภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งฉีที่อยู่อีกด้าน ขยี้หัว หันไปยิ้มให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเก้อเขิน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มพูด “ท่านป้าใหญ่ พวกท่านคนเพียงเท่านี้ยังไม่พอ พอตกบ่ายท่านต้องหาคนอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาช่วยทำอาหาร” 

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าพูด “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แค่พวกเราไม่กี่คนเหนื่อยเกินไป ผ่านไปนานเข้าจะต้องทำไม่ไหว ข้าคิดไว้แล้วว่าจะชวนใครมา ตอนบ่ายจะลองไปถามดู ว่าพวกเขายินดีมาหรือไม่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่รองไม่รู้อะไรเลย เรื่องนี้ให้ป้าใหญ่เป็นคนตัดสินใจก็พอ” 

 

 

เมิ่งฉีได้แต่หัวเราะแหะๆ อยู่อีกด้าน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “พี่รอง ท่านลงทะเบียนคนที่มาทำงานในวันนี้หมดแล้ว?” 

 

 

เมิ่งฉีตะลึงเล็กน้อย ถามขึ้น “เรื่องลงทะเบียนก็เป็นหน้าที่ข้า?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ไม่เช่นนั้นเล่า?” 

 

 

เมิ่งฉีแคลงใจ “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ลุงใหญ่ไม่ใช่หรือ? ตอนที่ครอบครัวเราปลูกเรือนลุงใหญ่เป็นคนลงทะเบียน” 

 

 

“ตอนนี้ลุงใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้าน คนในหมู่บ้านมีเรื่องอะไรก็จะมาหาเขา แล้วไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยของการปลูกเรือน ก็ต้องพึ่งพาเขา ท่านคิดว่าเขายังจะมีเวลาลงทะเบียนหรือ?” 

 

 

เมิ่งฉีขยี้หัว พูดอย่างลำบากใจ “แต่ทุกเช้าข้าต้องไปซื้อผัก จะเอาเวลาที่ไหนมาลงทะเบียน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านหาคนมาช่วยสิ” 

 

 

เมิ่งฉียิ่งลำบากใจ “พี่ใหญ่ยุ่งเรื่องโรงงาน อี้เซวียนต้องไปโรงเรียน ข้าจะไปหาคนที่ไหนมาช่วย?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้เหวินซงบุตรชายคนโตของเหวินเปียวที่กำลังช่วยเด็ดผัก พูดกับเขา “นั่นมิใช่ผู้ช่วยที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วหรือ?” 

 

 

เมิ่งฉีเข้าใจพลัน สาวเท้าเดินไปตรงหน้าเหวินซงถามขึ้น “เจ้ารู้หนังสือหรือไม่?” 

 

 

เหวินซงปีนี้อายุสิบสามปี ต้องประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวในชั่วข้ามคืน จากนายน้อยสำนักคุ้มภัยที่ใครก็รักใคร่กลายเป็นทาสหลวง แล้วกลายมาเป็นคนรับใช้ จิตใจหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาตลอด ได้ยินเมิ่งฉีถามเขา รีบลุกขึ้นยืนแล้วตอบอย่างนบนอบ “ข้ารู้หนังสือ นายน้อย” 

 

 

คนโดยรอบได้ยินคำเรียกแปลกประหลาดของเขา ต่างเงยหน้ามอบเขาอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

เมิ่งฉีก็ไม่คิดว่าเขาจะขานเรียกตัวเองเช่นนี้ ชะงักเล็กน้อย แล้วขยี้หัวพูดว่า “เมื่อเจ้ารู้หนังสือ ก็ตามข้ามาลงบันทึกจำนวนคนที่มาปลูกเรือนเถอะ” 

 

 

เหวินซงรับคำอย่างอ่อนน้อม “ขอรับ นายน้อย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 

 

 

เมิ่งฉีขยี้หัวเก้อเขินอีกครั้ง พาเหวินซงไปยังสถานที่ลงทะเบียนปลูกเรือน 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด