ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 168-2 พักห้องเดียวกัน

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 168-2 พักห้องเดียวกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เรื่องพวกนี้ จ้องมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคืองแค้นครู่หนึ่ง ก็ล้มตัวนอนพักผ่อนบนเตียงตัวหนึ่ง 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรู้ว่าตัวเองขอร้องเกินเหตุ ไม่กล้าปริปาก เปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเองออกอย่างรู้ความหยิบตำรากลอนออกมาดู 

 

 

เสี่ยวเอ้อซื้ออาหารกลับมาอย่างว่องไว หลังจากให้หลงจู๊ผ่านตาแล้วก็นำขึ้นมาแยกส่งให้ทั้งสองห้อง 

 

 

ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวและห้องของเหวินเปียวหลังจากแยกกับกินอาหารค่ำเสร็จ ก็แยกกันพักผ่อนตามอัธยาศัย 

 

 

ซุนซ่านเหรินรับซุนเหลียงไฉกลับบ้านอย่างชื่นบานมาตลอดทาง พ้นประตูบ้านเข้ามาก็สั่งบ่าวรับใช้ให้รีบนำของอร่อยที่เตรียมไว้แล้วออกมา 

 

 

บ่าวรับใช้เห็นซุนเหลียงไฉที่ไม่ได้เห็นหลายเดือนกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม ก็ให้ตกตะลึง หลังจากจัดวางของอร่อยไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกเสร็จ ก็ผลุนผลันออกไปแจ้งข่าวแก่ฮูหยินเฒ่าซุนและซุนวั่ง 

 

 

ซุนซ่านเหรินจับมือซุนเหลียงไฉเอาไว้ไม่ยอมปล่อย จูงเขามาข้างโต๊ะอาหาร จัดของอร่อยมาวางตรงหน้าเขาด้วยตัวเอง “ไฉเอ๋อร์ เหล่านี้ล้วนเป็นของที่เจ้าชอบกิน ปู่ให้คนเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว มา รีบกินเถอะ” 

 

 

“ขอบคุณท่านปู่” ซุนเหลียงไฉกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ 

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโตซุนเหลียงไฉไม่เคยสุภาพมีมารยาทเช่นนี้มาก่อน ซุนซ่านเหรินตื้นตันใจเกือบจะน้ำตาคลอเบ้าอีกแล้ว ลูบศีรษะซุนเหลียงไฉ เอาแต่ร้องพูด “ดีๆๆ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉหันไปยิ้มให้เขาเล็กน้อย ถึงหยิบขนมที่ตัวเองชอบละเมียดกัดค่อยๆ กลืนลงท้อง 

 

 

ซุนวั่งได้ยินบ่าวรับใช้รายงาน ตะลีตะลานวิ่งเข้ามาพร้อมภรรยาตัวเอง ยังไม่ถึงห้องรับแขก ก็แค่นเสียงร้องตะโกนแต่ไกล “ไฉเอ๋อร์ ไฉเอ๋อร์” 

 

 

แม้ซุนวั่งจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ แต่ก็รักใคร่บุตรชายคนนี้ของตนเองเป็นอย่างมาก ประคองไว้ในอุ้งมือกลัวจะลอยหาย อมไว้ในปากกลัวจะละลาย ทะนุถนอมเขาราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ ความรู้สึกของพ่อลูกย่อมลึกซึ้งกว่า พอได้ยินเสียงร้องของเขา ซุนเหลียงไฉก็ผลุนผลันลุกขึ้น วางขนมในมือลง ร้องเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” แล้ววิ่งผ่านประตูออกไป 

 

 

ซุนวั่งพ้นประตูเข้ามาพอดี สองพ่อลูกกอดกันกลมแน่น ซุนวั่งพูดอย่างตื้นตัน “ไฉเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียที พ่อคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉกอดเขาแน่น พูดว่า “ท่านพ่อ ข้าก็คิดถึงท่าน” 

 

 

ซุนวั่งคลายซุนเหลียงไฉออก “ไฉเอ๋อร์ ให้พ่อดูเจ้าให้เต็มตาหน่อยเถิด” 

 

 

ซุนเหลียงไฉผละออก ยืนตรงนั้นให้ซุนวั่งพินิจดู นึกว่าเขาจะชมเชยตัวเองสักกระบุง ไม่คิดว่าพอซุนวั่งเห็นเขาแวบเดียวก็ร้องอุทานเสียงหลง “ไฉเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงผ่ายผอมเช่นนี้ พวกเขาทรมานเจ้าใช่หรือไม่?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉนิ่งงัน กำลังจะอธิบาย ซุนวั่งกลับกอดเขาแน่น ร้องคร่ำครวญโหยไห้ “ลูกชายที่น่าเวทนาของข้า เจ้าต้องประสบเคราะห์กรรมสาหัสมากแค่ไหนเทียว ไม่เจอกันเพียงสามเดือน ก็กลับกลายมามีสภาพเช่นนี้แล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉตะลึงค้าง 

 

 

ภรรยาซุนวั่งก็เอาแต่เช็ดน้ำตาไม่หยุดอยู่อีกด้าน 

 

 

ฮูหยินเฒ่าได้รับรายงานจากบ่าวรับใช้ ให้สาวใช้ประคองเข้ามาอย่างเบิกบานใจ ยังเดินไม่ถึงห้องรับแขก ก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของซุนวั่ง นึกว่าเกิดเรื่องอะไรกับซุนเหลียงไฉ ตกใจตัวโยน รีบเร่งความเร็วพลางร้องถามอย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นกับไฉเอ๋อร์?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถูกซุนวั่งกอดร้องโหยไห้แน่น พลันไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร 

 

 

ซุนวั่งได้ยินเสียงร้องถามของฮูหยินเฒ่า ยิ่งเปล่งร้องรำพันดังขึ้น “ท่านแม่ ท่านรีบเข้ามาดูเถอะ ไฉเอ๋อร์ซูบผอมไปจนผิดมนุษย์แล้ว” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าได้ยินดังว่าก็ยิ่งให้ร้อนรน ไม่ให้สาวใช้ประคองแล้ว วิ่งเหยาะจากสองก้าวเป็นหนึ่งก้าวเข้ามา ร้องผวา “ไฉเอ๋อร์เล่า ไฉเอ๋อร์ของข้าเล่า?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถูกซุนวั่งกอดรัดจนแงะไม่ออก ทำได้เพียงยิ้มให้ฮูหยินเฒ่าแล้วพูดว่า “ท่านย่า ข้าอยู่ตรงนี้!” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าไม่แม้แต่จะมอง ก็ร้องไห้คร่ำครวญ “หลานที่น่าเวทนาของข้า เจ้าต้องถูกทรมานสาหัสแค่ไหน ถึงซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉอักอ่วนพูดไม่ออก 

 

 

ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม อารมณ์เบิกบานของซุนซ่านเหรินสลายหายไปหมดแล้ว โมโหทุบโต๊ะ เปล่งเสียงตวาด “หุบปากให้หมด!” 

 

 

เสียงร้องไห้หยุดพลัน 

 

 

ซุนเหลียงไฉรีบสลัดตัวออกจากอ้อมกอดซุนวั่ง หมุนตัวเบื้องหน้าฮูหยินเฒ่าหนึ่งรอบ ถามอย่างข้องใจ “ท่านย่า ข้ากลายเป็นแบบนี้ไม่ดีหรือ?” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าถึงใช้ดวงตาที่พร่าเลือนด้วยหยดน้ำตามองมาที่ซุนเหลียงไฉ มองปราดเดียว ก็เบิกตาโพลง ร้องถามด้วยความประหลาดใจ “นี่คือไฉเอ๋อร์ของย่าหรือ?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉพยักหน้า “ท่านย่า ข้าเอง” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าเป็นความปิติยินดีพลัน “อ๊ายหย่า หลานของย่าหล่อเหลายิ่งนัก เด็กหนุ่มทั้งตำบลไม่มีใครเทียบเทียมได้” 

 

 

ซุนวั่งยังคงระทมเสียใจ “ท่านแม่ ท่านไม่เห็นหรือว่าไฉเอ๋อร์ผ่ายผอมจนผิดมนุษย์แล้ว ไฉนเลยยังหล่อเหลาได้?” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าโมโหตบใบหน้าเขาหนึ่งฉาด “ไฉเอ๋อร์แข็งแรงดี เจ้าจะร้องคร่ำครวญทำไม ข้าตกใจเสียแทบแย่” 

 

 

ซุนวั่งใช้มือชี้ซุนเหลียงไฉจากบนลงล่าง “ท่านแม่ ท่านดูเถิด เนื้อหนังบนตัวไฉเอ๋อร์หายไปหมด เหลือแต่โครงกระดูกแล้ว เมื่อครู่ตอนข้ากอดเขายังรู้สึกโหวงเหวง” 

 

 

ซุนเหลียงไฉอักอ่วนอีกครั้ง 

 

 

ฮูหยินเฒ่าโมโหตบหน้าซุนวั่งอีกครั้ง “ไฉเอ๋อร์เพียงแค่ผอมไปบ้าง ไหนเลยจะเหลือเพียงโครงกระดูก ข้ากลับรู้สึกว่าไม่อ้วนไม่ผอมเช่นนี้กำลังดี” พูดจบ แย้มยิ้มมองประเมินซุนเหลียงไฉอีกครั้ง พูดอย่างภาคภูมิใจ “หลานชายของย่า ตอนนี้เป็นหนุ่มสะโอดสะองแล้ว ไม่นานคนมาพูดทาบทามได้เหยียบธรณีประตูเรือนพวกเราพังไม่เหลือเป็นแน่” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองพูดว่า “ท่านย่า ข้ายังเด็ก จะมีคนมาพูดทาบทามได้อย่างไร” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าดึงมือเขาเดินมาข้างโต๊ะ “ปีนี้ไฉเอ๋อร์อายุสิบสามปี ไม่เด็กอีกแล้ว ปีนี้หมั้นหมาย ผ่านไปอีกสองสามปีย่าก็จะได้อุ้มเหลนแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉคิดถึงภาพเหล่านั้น ตกใจตัวสั่นเทิ้ม 

 

 

ซุนวั่งก็ถูกคำพูดเหล่านี้ดึงดูด หยุดร้องไห้คร่ำครวญ เดินเข้ามาพูดสบทบ “ใช่ๆๆ ไฉเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กแล้ว ปีหน้าข้าจะให้แม่สื่อไปพูดทาบทามหญิงสาวชั้นดีในตำบล ให้ไฉเอ๋อร์ของเราได้คัดเลือกตามใจ” 

 

 

ภรรยาซุนวั่งพยักหน้าเห็นพ้อง 

 

 

ซุนซ่านเหรินฟังพวกเขาพูดจาเลอะเทอะออกทะเล ตำหนิว่าพวกเขา “ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่แล้ว ไฉเอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องหมั้นหมายไว้อีกสองปีค่อยพูด หากพวกเจ้าว่างนัก ก็หาบ้านสามีให้เชี่ยนเอ๋อร์ก่อน” 

 

 

ซุนวั่งพูดอย่างไม่ยินดี “ข้าไม่สนนังตัวดีนั่นดอก ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาสักนิด วันๆ เอาแต่ขัดแย้งกับข้า” 

 

 

“สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว” ซุนซ่านเหรินพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าดีแต่กินขี้เกียจตัวเป็นขน วันๆ ไม่ทำงานทำการ การค้าของครอบครัวก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย หากไม่ได้เชี่ยนเอ๋อร์เข้ามาช่วยจัดการตั้งแต่สองปีก่อน เกรงว่าตาแก่อย่างข้าได้เหนื่อยจนเนื้อตัวหลุดเป็นส่วนๆ แล้ว” 

 

 

ซุนวั่งโต้กลับอย่างไม่พอใจ “ใครบอกว่าข้าไม่สนใจการค้าของครอบครัว ช่วงก่อนหน้านี้ข้ามิได้ดำเนินการค้าหอน้ำชามาได้อย่างดีหรือไร? ท่านเองที่ไม่ให้ข้ายุ่งอีก” 

 

 

เอ่ยถึงหอน้ำชาซุนซ่านเหรินก็ให้เคืองโกรธ ร้องตวาดเขา “หุบปาก หากข้าได้ยินเจ้าเอ่ยถึงหอน้ำชาอีก ข้าจะกักบริเวณเจ้าอยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้เจ้าออกไปข้างนอกอีก” 

 

 

ซุนวั่งตกใจคอหัวหด เบ้ปากอย่างไม่พอใจ 

 

 

ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงซุนเชี่ยน ซุนเหลียงไฉถามขึ้น “เหตุใดท่านพี่ถึงไม่เข้ามา ข้าไม่ได้เห็นนางนานแล้ว คิดถึงยิ่งนัก” 

 

 

ไม่รอให้ซุนซ่านเหรินตอบ ซุนวั่งก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไปเอ่ยถึงนังตัวดีนั่นทำไม วันๆ ไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ไปมั่วผู้ชายอยู่ที่ไหน” 

 

 

ซุนซ่านเหรินโมโหฉวยสิ่งของข้างมือขว้างใส่เขา ร้องก่นด่า “เจ้าลูกชั่วอัปรีย์ มีใครกล่าวถึงบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้กัน? เชี่ยนเอ๋อร์ไม่อยู่บ้าน ก็เพราะไปช่วยข้าดูแลการค้า นางอายุยังน้อยก็รู้ความเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงมีพ่อไม่เอาถ่านเยี่ยงเจ้าได้” 

 

 

ซุนวั่งไม่ได้ป้องกันตัว ถูกสิ่งของปาเข้าอย่างจัง นึกว่าตัวเองจะบาดเจ็บอีก ตกใจตัวโยน ครั้นพอเห็นชัดว่าที่ปาใส่ตัวเองเป็นขนมเปี๊ยะก้อนหนึ่ง ก็ถอนใจโล่งอก แต่ยังคงร้องโวยวายไม่ยอม “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงเห็นข้าก็ขัดหูขัดตาไปหมด ข้าเป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่านนะ” 

 

 

ซุนซ่านเหรินโมโหพลุ่งพล่าน พูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าขอยอมไม่มีบุตรชายเช่นเจ้า” 

 

 

ซุนวั่งเห็นเขาโมโหจริงๆ แล้ว ตกใจจนไม่กล้าพูดอีก 

 

 

ฮูหยินเฒ่ารีบเอ่ยปาก “พอแล้ว วันนี้ไฉเอ๋อร์อุตส่าห์ได้กลับมา พวกเรารีบทำของอร่อยให้เขากินเถอะ ไม่กี่เดือนก็ผอมถึงเพียงนี้ แต่ละวันจะต้องไม่ได้กินอิ่ม บ้านแม่นางเมิ่งยากจนถึงปานไหนกันแน่ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็นำตัวนางมาสั่งสอนไฉเอ๋อร์ที่บ้านพวกเรา เขาจะได้ไม่ต้องลำบากอีก” 

 

 

คำพูดเหล่านี้ของนางเดิมเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ไม่คิดว่าพอซุนซ่านเหรินฟังจบจะยิ่งโกรธเกรี้ยว “แม่นางเมิ่งรู้จักวิธีหาเงิน อายุยังน้อยก็หาเงินได้ไม่น้อยกว่าครอบครัวพวกเรา เจ้าอย่าได้พูดซี้ซั้วเด็ดขาด” 

 

 

ฮูหยินเฒ่ายิ่งไม่เข้าใจ “เมื่อนางมีเงินเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ให้ไฉเอ๋อร์ของพวกเราได้กินอิ่ม?” 

 

 

ซุนซ่านเหรินโมโหจนพูดไม่ออก 

 

 

ซุนเหลียงไฉชิงพูด “ข้าไม่ได้กินไม่อิ่ม ข้าเพียงต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกวรยุทธ์ทุกวัน ถึงได้ผอมลง” 

 

 

ซุนวั่งร้องอุทาน “ฝึกวรยุทธ์? เจ้าต้องทุกข์ระทมถึงเพียงไหน?” พูดจบ ลุกขึ้นเดินมาข้างเขา ลูบคลำไปทั่วตัวเขา “บอกพ่อมา เจ้ามีบาดแผลหรือไม่ พวกเขาฉวยโอกาสนี้ลงมือกับเจ้าอย่างเ**้ยมโหดใช่หรือไม่?” 

 

 

เขายังไม่ทันตอบ ฮูหยินเฒ่าก็พูดขึ้นอย่างปวดใจ “ไฉเอ๋อร์ของพวกเราถูกประคบประหงมมาแต่เด็ก ไหนเลยจะทนลำบากเช่นนั้นได้ พวกเขาจะต้องใช้วิธีบีบบังคับเจ้า…” 

 

 

ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงตวาดของซุนซ่านเหรินตัดบท “พอแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่พอใจเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะส่งตัวไฉเอ๋อร์กลับไป” 

 

 

ฮูหยินเฒ่าและซุนวั่งหวีดร้องพร้อมกัน “ไม่ได้” 

 

 

ฮูหยินเฒ่ากอดซุนเหลียงไฉไว้แน่น พูดข่มขู่ “หากท่านส่งตัวไฉเอ๋อร์กลับไปอีก ครั้งนี้ข้าจะตายต่อหน้าท่านเห็นจริงๆ” 

 

 

ซุนวั่งพยักหน้าสมทบ “ใช่ ข้าก็จะตายต่อหน้าท่านด้วย” 

 

 

ซุนซ่านเหรินพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “อยากตายรีบไสหัวออกไปตายข้างนอก อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาข้าที่นี่” 

 

 

หลายปีมานี้ ซุนซ่านเหรินไม่เคยพูดรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ฮูหยินเฒ่าและซุนวั่งต่างตกใจตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าพูดอะไรอีก 

 

 

ซุนเหลียงไฉลุกขึ้นเดินไปด้านหลังซุนซ่านเหริน ลูบหลังให้เขา พูดโอ้โลม “ท่านปู่ ท่านย่าและท่านพ่อเพียงเป็นห่วงข้า ถึงพลั้งปากพูดผิดไป ท่านวางใจ สองสามวันนี้ข้าจะคอยพูดเกลี้ยกล่อมพวกเขา ให้พวกเขายอมรับปากให้ข้าไปบ้านพี่สาวเมิ่งอีก” 

 

 

ซุนซ่านเหรินตบมือเขาเบาๆ อย่างปลาบปลื้มใจ “เด็กดี” 

 

 

ซุนวั่งกลับร้องโวยวายอีกครั้ง “เจ้าเรียกนังตัวดีนั่นว่ากระไรนะ?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉตอบกลับ “พี่สาวอย่างไร มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” 

 

 

“ไม่ถูก ไม่ถูกอย่างแน่นอน” ซุนวั่งโมโหลุกขึ้นยืน “บุตรชายข้าจะไปเรียกเด็กสาวบ้านนาว่าพี่สาวได้อยางไร ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามไปบ้านพวกเขาอีก พวกเขาจะต้องคิดวางแผนอะไรกับครอบครัวพวกเรา” 

 

 

ซุนซ่านเหรินไฟโทสะพลุ่งพล่านอีกครั้ง ก่นด่า “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

“ท่านพ่อ ปกติท่านเป็นคนฉลาดรอบคอบ เหตุใดวันนี้ถึงเลอะเลือนได้ นังตัวดีนั่นให้ไฉเอ๋อร์เรียกนางว่าพี่สาวอย่างไร้เหตุไร้ผล จะต้องมีแผนการร้ายซุกซ่อน” ซุนวั่งร้อนรนกล่าว 

 

 

ซุนเหลียงไฉลนลานพูดว่า “ท่านพ่อ พวกพี่สาวเมิ่งไม่ใช่คนเช่นนั้น พวกเขาดีกับข้าด้วยใจจริง” 

 

 

ซุนวั่งยิ่งพูดอย่างร้อนรน “ไฉเอ๋อร์ เจ้ายังเด็ก ยังไม่รู้ว่าใจคนยากแท้หยั่งถึง หลายปีมานี้พ่อได้ยินเรื่องทำนองนี้มาไม่น้อย เริ่มต้นจะชูธงตีสนิทเหมือนญาติ เวลาผ่านไปจะค่อยๆ กลืนกินทรัพย์สินของอีกฝ่ายจนเกลี้ยง ไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าพูดอย่างไรก็ห้ามไปบ้านพวกเขาอีก” 

 

 

ซุนเหลียงไฉอธิบาย “ไม่ได้นับถือเป็นญาติ ข้าอายุน้อยกว่านาง ข้าจึงเรียกนางว่าพี่สาวตามน้องชายนาง” 

 

 

ซุนวั่งส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง ภายหน้าเล่าใครจะไปรู้ เจ้าเชื่อพ่อเถอะ เราไม่ต้องไปบ้านพวกเขาอีกแล้ว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉกลัวซุนซ่านเหรินจะโมโหอีก พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว” 

 

 

บุตรชายสุดที่รักหิวเป็นเรื่องใหญ่ ซุนวั่งได้ฟัง ก็ทิ้งเรื่องทั้งหมดไปด้านหลัง ลุกลนหยิบของว่างชิ้นหนึ่ง ฉีกซาลาเปาออก ส่งเข้าปากเขา “ลูกรัก กินของว่างก่อน พ่อจะให้ห้องครัวยกอาหารมาเดี๋ยวนี้” พูดจบหันไปเอ็ดบ่าวรับใช้ “ยังยืนบื้อทำไม? รีบไปดู ทำไมยังไม่ยกอาหารเข้ามา? เจ้าสันหลังยาวพวกนั้นอยากถูกโบยใช่หรือไม่?” 

 

 

บ่าวรับใช้หุนหันวิ่งออกไป 

 

 

ซุนเหลียงไฉหยิบของว่าง กัดคำเล็ก 

 

 

ฮูหยินเฒ่าเห็นก็ยิ่งปวดใจ “ไฉเอ๋อร์ที่น่าเวทนาของย่า เจ้าต้องได้รับความทรมานเพียงใด ไม่กล้าจะกัดกินคำใหญ่แล้ว” 

 

 

ซุนซ่านเหรินมุ่นหัวคิ้ว ข่มกลั้นความโกรธเกรี้ยวในใจ 

 

 

บ่าวรับใช้วิ่งกลับมาบอกว่าอาหารทำเสร็จแล้ว ถามว่าจะยกเข้ามาตอนนี้เลยหรือไม่ ซุนวั่งโมโหก่นด่า “พวกบ่าวขลาดเขลา ไม่เห็นว่านายน้อยหิวจะแย่แล้วหรือไร ยังไม่รีบยกเข้ามา” 

 

 

บ่าวรับใช้สองสามคนออกไปยกสำรับอาหาร สาวใช้สองสามคนในห้องจัดเก็บสิ่งของบนโต๊ะนำไปวางไว้อีกฝั่งอย่างว่องไว 

 

 

อาหารวางเรียบร้อย ซุนวั่งไม่สนใจตัวเองกินข้าว หยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวของซุนเหลียงไฉจนกลายเป็นภูเขาย่อมๆ “ลูกรัก กินเยอะๆ บำรุงเอาเนื้อที่หายไปกลับคืนมา” 

 

 

เขาไม่พูดยังดี พอเขาพูดตะเกียบในมือซุนซ่านเหรินเกือบจะลอยเข้าหาเขา สะกดกลั้นเอาไว้สุดชีวิต ถึงตวาดออกไป “นั่งลงกินข้าว ไฉเอ๋อร์มีมือมีเท้า คีบเองได้” 

 

 

ซุนวั่งคิดจะโต้แย้ง เห็นแววตาสะท้อนแววไม่สบอารมณ์ของซุนซ่านเหริน ไม่กล้าพูดออกมา นั่งลงก้มหน้ากินข้าวอย่างว่านอนสอนง่าย 

 

 

เห็นซุนเหลียงไฉไม่เป็นเหมือนก่อน คอยแต่จะเลือกกิน ชอบกินอาหารจานไหนก็จะยกไปไว้หน้าตัวเอง กินทั้งหมดไม่เหลือคราบ อาหารที่ไม่ชอบจะไม่แตะสักคำ กลับกินอาหารที่ซุนวั่งคีบให้เขาทั้งหมด ซุนซ่านเหรินพยักหน้าปลาบปลื้มใจอีกครั้ง 

 

 

อาหารมื้อนี้นอกจากที่ซุนวั่งคอยคีบอาหารให้ซุนเหลียงไฉไม่หยุด ก็ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด