ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 143.2

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 143.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ซุนเหลียงไฉพังทลาย

 

 

 

 

เมิ่งเสียนบังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ ซุนเหลียงไฉรู้สึกนั่งรถม้าโกโรโกโสนี้ ไม่สบายตัวสักนิด นั่งขยุกขยิกไม่หยุด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว หันไปมองเขาช้าๆ 

 

 

ซุนเหลียงไฉถูกมองจนขนหัวลุก รีบร้อนพูด “รถม้าคันนี้โกโรโกโสเกินไป ข้านั่งแล้วไม่สบาย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร 

 

 

ซุนเหลียงไฉขยับตัวอีก กลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไล่ตัวเองลงจากรถ พูดอย่างทุกข์ระทม “ข้าไม่สบายตัวจริงๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนขำ ร้องบอกด้านนอก “พี่ใหญ่ หยุดรถ!” 

 

 

ซุนเหลียงไฉนึกว่านางจะไล่ตัวเองลงจากรถม้าจริงๆ รีบจับตัวรถแน่นร้องตะโกนด้วยอารามหวาดผวา “ข้าไม่เดินกลับไป ข้าไม่เดินกลับไป” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา ตัวเองลงจากรถม้า เมิ่งอี้เซวียนก็เดินตามลงไป 

 

 

ซุนเหลียงไฉนั่งในรถม้าอย่างขวัญผวา หายใจกระหืดกระหอบ 

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นานจนซุนเหลียงไฉนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวโมโหจนทิ้งเขาและรถม้าจากไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้เซวียนถึงกลับมา 

 

 

เห็นพวกเขาเข้ามา ซุนเหลียงไฉจับตัวรถแน่นอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

ขึ้นมาบนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวนำเบาะผ้าไหมอย่างดีส่งให้เขา 

 

 

ซุนเหลียงไฉที่ยังไม่ได้สติกลับมา มองนางตะลึงค้าง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “วางเบาะรองไว้ด้านล่าง หากเจ้ายังขยุกขยิกอีก ข้าจะไล่เจ้าลงมารถม้าจริงๆ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงได้สติกลับมา รีบยื่นมือไปรับเบาะ วางไว้ใต้ก้นตัวเอง รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยพลัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกด้านนอก “พี่ใหญ่ ไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งเสียนตวัดบังเ**ยน รถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง 

 

 

ซุนเหลียงไฉนั่งบนเบาะอย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้าขยับตัวอีก 

 

 

พ้นประตูเมืองออกมา คนข้างทางน้อยลงไปมาก เมิ่งเสียนจึงบังคับรถม้าเร็วขึ้น 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่ระวัง ร่างกายโอนเอน รีบร้องตะโกนอย่างตกใจกลัว “โทษข้าไม่ได้นะ อยู่ๆ เขาก็บังคับรถม้าเร็วขึ้นเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเพื่อไม่ให้ร่างกายโคลงเคลง จับยึดตัวรถไว้นานแล้ว ได้ยินซุนเหลียงไฉร้องพูด เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างรำคาญคำหนึ่ง “จับให้ดี!” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงรีบทำเหมือนพวกเขา จับตัวรถไว้แน่น 

 

 

รถม้าใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้าน ซุนเหลียงไฉรู้สึกว่าร่างกายตัวเองด้านชาไปหมดแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า ซุนเหลียงไฉปรับสภาพครู่หนึ่ง ถึงค่อยๆ ลงจากรถม้า เห็นบ้านซอมซ่อตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูอากัปกิริยาเขา พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เจ้ารอเขาก่อน อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าเข้าไปพร้อมกัน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในลานบ้าน 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นนางกลับมา ถามอย่างร้อนใจ “โยวเอ๋อร์ อุปกรณ์ตัดเย็บที่แม่ให้เจ้าซื้อ ซื้อกลับมาหรือยัง?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมอบอุปกรณ์ตัดเย็บในมือให้นาง ยิ้มพูด “ซื้อมาหมดแล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อรับอุปกรณ์ตัดเย็บมา หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง เห็นซุนเหลียงไฉยังยืนอยู่ด้านนอก ไม่เดินเข้ามา ก็หรี่ตาลง 

 

 

เมิ่งชื่อเดินออกมาจากในบ้านพูดว่า “ดูความจำแม่สิ เอาแต่คิดเรื่องเย็บกระเป๋านักเรียน ลืมเรื่องที่หลานชายของซุนซ่านเหรินจะตามพวกเจ้ามาบ้านพวกเรา” พูดจบมองดูลานบ้าน ไม่เห็นร่างของคนนอก ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมไม่มีคน? ได้ได้รับกลับมาหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “อยู่ข้างนอก คงเพราะรังเกียจที่บ้านเราซอมซ่อ ไม่ยินดีเข้ามา” 

 

 

สิ้นเสียงนาง เมิ่งชื่อรีบเดินออกไปข้างนอก เห็นเด็กชายที่อายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวตัวเองยืนอยู่ด้านนอก พูดขึ้นอย่างมีมิตรไมตรีทันที “คุณชายน้อยซุนใช่ไหม นั่งรถม้ามานานคงเหนื่อยแย่ รีบเข้าไปนั่งพักในบ้านก่อน” 

 

 

ซุนซ่านเหรินเป็นครอบครัวมีเงิน คนในบ้านล้วนแต่งกายด้วยผ้าไหมแพรพรรณ แม้แต่สาวใช้ในบ้านก็ใส่เสื้อผ้าไหม ตอนนี้เห็นเมิ่งชื่อแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมายืนตรงหน้าตัวเอง ซุนเหลียงไฉผงะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ออกห่างจากตัวเมิ่งชื่อ ถึงพูดว่า “บ้านพวกท่านซอมซ่อเกินไป ข้าไม่ยินดีเข้าไป” 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นท่าทีของเขา รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งหมดนี้ โทสะในใจเริ่มคุกรุ่น เปล่งเสียงพูด “ท่านแม่ เมื่อคุณชายน้อยซุนอยากจะอยู่ข้างนอกก็ให้เขาอยู่ข้างนอกเถอะ ท่านไปทำกับข้าวเถอะ” 

 

 

เมิ่งชื่อมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง หันหลังเดินไปที่ครัว เริ่มลงมือทำกับข้าว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเมิ่งอี้เซวียนอีก “อี้เซวียน วันนี้อาจารย์ให้การบ้านหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “รีบไปทำการบ้าน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนกำลังคิดจะพูดว่าการบ้านที่อาจารย์ให้ทำเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังมองซุนเหลียงไฉอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งสติได้ รับคำแล้วเดินเข้าลานบ้านไปอย่างหน้าตาชื่นบาน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองซุนเหลียงไฉที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์แวบหนึ่ง หันหลังเดินเข้าบ้าน 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นพวกเขาไปหมดแล้ว ถอนใจยาวโล่งอก ผ่อนคลายลง ยืนอยู่ด้านนอกแสร้งทำเป็นชมนกชมไม้ 

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองสะพายกระเป๋านักเรียนออกไปโอ้อวดอีกครั้ง กลับมาเห็นเด็กชายไม่รู้จักยืนหน้าบ้านตัวเอง เอ่ยปากถาม “เจ้าเป็นใคร?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉเห็นพวกเขาสะพายกระเป๋านักเรียน ดวงตาเปล่งประกาย ไม่ตอบกลับ จ้องมองกระเป๋านักเรียนของพวกเขาอยากได้จนน้ำลายหก 

 

 

เมิ่งเจี๋ยถอยหลังอย่างระแวดระวังหนึ่งก้าว พูดทันควัน “เมิ่งชิง เขาจะแย่งกระเป๋านักเรียนของพวกเรา รีบหนี!” พูดจบ สาวเท้าวิ่งกระจิริดวิ่งปรู๊ดเข้าบ้าน เมิ่งชิงวิ่งตามหลังไปติดๆ 

 

 

เด็กน้อยทั้งสองวิ่งพ้นประตูเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบพูด “ท่านพี่ คนข้างนอกคิดจะแย่งกระเป๋านักเรียนของพวกเรา!” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาพูดถึงซุนเหลียงไฉ ลูบหัวพวกเขา ยิ้มพูด “เขาไม่แย่งของของพวกเจ้าดอก เขาชื่อซุนเหลียงไฉ ต่อไปทุกเย็นเขาจะมาบ้านพวกเรา พวกเจ้าต้องเรียกเขาว่าพี่ซุน” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาต้องมาบ้านพวกเรา เขาไม่มีบ้านหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “พี่ซุนเป็นเด็กซุกซน คนในครอบครัวสั่งสอนไม่ไหว จึงมาให้พี่ช่วยอบรมสอนสั่ง” 

 

 

เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ไม่ถามต่ออีก เอากระเป๋านักเรียนเข้าไปเก็บในห้องพร้อมเมิ่งชิง แล้ววิ่งเริงร่ามาเล่นแมลงปอไม้ไผ่ที่ลานบ้าน 

 

 

ซุนเหลียงไฉมองจากด้านนอกเห็นพวกเขาเล่นของเล่นแปลกใหม่ชนิดหนึ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน อิจฉาตาร้อน เท้าเริ่มสั่นไหว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นทั้งหมด 

 

 

เมิ่งชื่อทำอาหารค่ำเสร็จ ร้องเรียกทุกคนมากินข้าว 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาจากโรงงาน ไม่เห็นซุนเหลียงไฉ ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณชายน้อยซุนไม่ได้มาหรือ?” 

 

 

เมิ่งชื่อชี้ซุนเหลียงไฉที่นั่งยองอยู่ข้างนอกพูดว่า “ยังอยู่ข้างนอก พูดอย่างไรก็ไม่ยอมเข้ามา” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินไปตรงหน้าซุนเหลียงไฉ พูดอย่างสุภาพ “คุณชายน้อยซุน อาหารทำเสร็จแล้ว เข้าไปกินข้าวเถอะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉมองเขา เบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนเก้อกังอยู่ตรงนั้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวของขึ้นแล้ว เดินมาตรงหน้าซุนเหลียงไฉพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าจะให้ทางเลือกเจ้า หนึ่งเข้าไปกินข้าวแต่โดยดี สองยืนอยู่ตรงนี้ไปถึงพรุ่งนี้เช้า” 

 

 

ซุนเหลียงไฉถึงมองท้องฟ้ามืดสนิท คิดว่าถ้าตัวเองอยู่ข้างนอกทั้งคืนได้ตกใจตาย ถึงยอมเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่เต็มใจ 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นเขาเข้ามา ตักโจ๊กถ้วยหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขาอย่างดีใจ พูดว่า “คุณชายน้อยซุนมาวันแรก ไม่รู้ว่าเจ้าชอบกินอะไร ข้าผัดผักสี่อย่าง เจ้าอย่าได้รังเกียจ รีบกินตอนร้อนเถอะ” 

 

 

ซุนเหลียงไฉมองดูโจ๊กตรงหน้า แล้วมองอาหารทั้งหมดบนโต๊ะ ย่นหัวคิ้ว พูดอย่างไม่ไว้หน้า “อาหารเช่นนี้ ยังสู้อาหารของสาวใช้บ้านพวกเราไม่ได้ พวกเจ้ายังจะให้ข้ากิน ข้าไม่กิน” 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อแข็งค้าง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งเดือดดาล พูดเสียงแข็ง “ไม่กินก็ไสหัวไป” 

 

 

ซุนเหลียงไฉสะดุ้งตกใจ เบะปาก น้ำใสๆ ในตาจะไหลลงมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตวาด “ห้ามร้อง!” 

 

 

ซุนเหลียงไฉสูดกลับคืน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโมโหมองเขาแวบหนึ่ง ถามขึ้น “จะกินไม่กิน?” 

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูด ส่ายหน้าเต็มแรง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยกถ้วยโจ๊กตรงหน้าเขาออก พูดว่า “ไม่กินก็ถอยออกไป ครอบครัวพวกเรายังต้องกินข้าว” 

 

 

ซุนเหลียงไฉลนลานลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตวาด “ใครให้เจ้าออกไป ไม่กินก็นั่งมองอยู่ในบ้าน” 

 

 

ซุนเหลียงไฉหันหลังกลับอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ยืนที่หน้าประตู 

 

 

เมิ่งชื่อรีบพูดเตือน “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนยังเด็ก เพิ่งมาบ้านพวกเรายังไม่คุ้นชิน เจ้าอย่าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เขาไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน พวกท่านใครก็ห้ามยุ่ง” 

 

 

ตอนนี้คนในครอบครัวต่างรู้นิสัยเมิ่งเชี่ยนโยวหมดแล้ว รู้ว่านางพูดคำไหนคำนั้น ไม่มีใครกล้าโน้มน้าวอีก เริ่มลงมือกินเงียบๆ 

 

 

เพื่อต้อนรับซุนเหลียงไฉ เมิ่งชื่อตั้งใจทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกหนึ่งจาน คนในครอบครัวก็ไม่ได้กินนานแล้ว เห็นซุนเหลียงไฉไม่กิน ต่างคีบมาใส่ถ้วยตัวเองคนละนิดละหน่อย กินอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะเมิ่งชิง ตั้งแต่มาที่นี่ เพิ่งได้กินแค่ครั้งเดียว คิดถึงมาตลอด เห็นบนโต๊ะมีอาหารจานนี้ ตะเกียบคีบไม่ขาดมือ กินอย่างเอร็ดอร่อย 

 

 

เมื่อครู่ซุนเหลียงไฉมองผ่านๆ แวบเดียว ไม่ได้ดูถี่ถ้วนว่าบนโต๊ะมีอาหารอะไร เห็นพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย จึงตั้งใจเพ่งมอง ถึงพบว่าบนโต๊ะมีมันฝรั่งเส้นผัดพริกที่จะมีเฉพาะที่เหลาจวี้เสียนอยู่ด้วย อยากกินกลืนน้ำลายไปหลายอึก ดวงตาจ้องอาหารจานนั้นเขม็ง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น กินอาหารของตัวเองต่อ 

 

 

เมิ่งชื่อทำใจไม่ได้ พูดขึ้นเสียงเบา “โยวเอ๋อร์ ให้คุณชายน้อยซุนเข้ามากินข้าวเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “ไม่ได้ เมื่อรังเกียจอาหารของพวกเราก็ไม่ต้องกิน” 

 

 

เมิ่งชื่อจนปัญญา นำถ้วยเล็กมา คิดจะแบ่งอาหารจำนวนหนึ่งออกมา เมื่อไหรที่ซุนเหลียงไฉอยากกินจะได้อุ่นร้อนให้เขา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง จงใจพูด “ข้าบอกพวกท่านว่าอย่างไร? ถึงเวลากินข้าวก็กิน ถ้าไม่กิน ก็ต้องหิวไปจนมื้อต่อไปถึงจะได้กิน ใครก็ห้ามแบ่งอาหารไว้” 

 

 

ได้ยินคำนี้ ซุนเหลียงไฉก็มีน้ำโหแล้ว แค่นเสียงหึ พูดว่า “ไม่กินก็ไม่กิน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ไม่กินข้าวมื้อหนึ่งไม่ถึงตายหรอก” พูดจบ ปั้นปึ่งกลับไปด้วยความโมโห หันหลังให้พวกเขา 

 

 

เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยมาจากด้านหลัง “คุณชายน้อยซุนช่วยจำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดี หากตกกลางคืนข้าเห็นใครตื่นมาลักขโมยกิน ข้าจะจับไปแขวนใต้ต้นไม้แล้วตี” 

 

 

ร่างกายซุนเหลียงไฉเทิ้มสั่น กลับพูดงึมงำเสียงเบาอย่างไม่ยอม “ข้าไม่เคยกระทำเรื่องเช่นนั้น คิดจะจับจุดอ่อนข้า ฉวยโอกาสสั่งสอนข้า ฝันไปเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ มันฝรั่งเส้นผัดพริกที่ท่านแม่ทำวันนี้อร่อยจริงๆ พวกเจ้ากินเยอะๆ” 

 

 

เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าดีใจ คีบเพิ่มมาใส่ถ้วยตัวเองเพิ่ม 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด