ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 220-3 กลัวหรือ?

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 220-3 กลัวหรือ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากกินอาหารเสร็จ ทั้งสองก็ฝ่ายพูดคุยเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย แม่จูแย้มยิ้มพูดว่าเมื่อกลับไปแล้วจะให้แม่สื่อเข้ามาพูดทาบทามสู่ขอก่อน แล้วพูดว่า “แม้พวกเราจะห่างกันมาก แต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรมีก็จะมิให้ตกหล่นแม้แต่ข้อเดียว”

 

 

สองสามีภรรยาจางเห็นพวกเขาให้ความสำคัญต่อบุตรสาวตัวเอง ยิ่งให้พึงพอใจ

 

 

หารือกำหนดเรื่องเรียบร้อย อาหารก็ทานเสร็จสรรพอย่างอิ่มหนำ คนทั้งหมดกล่าวอำลากันอย่างมีความสุข จากนั้นสกุลจูทั้งสามคนรวมถึงพวกเมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลับมาโรงเตี๊ยม

 

 

แม่จูเอาแต่พูดขอบใจเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด สะกดกลั้นความเบิกบานใจไม่อยู่บอกว่าวันพรุ่งตนเองจะกลับอำเภอชิงเหอแต่เช้า เพื่อเตรียมเรื่องการแต่งงาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูชายฉกรรจ์สองคนที่ตามเกาะติดมาตลอด ให้นึกหวั่นใจ ยิ้มพูดขอร้อง “ท่านป้า พรุ่งนี้ข้ายังมีธุระ พอจะให้เหลียงไฉกลับไปกับรถม้าของพวกท่านก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

แม่จูรับคำทันควัน “ได้สิ พรุ่งนี้พอพวกเราจะออกเดินทางจะเข้าไปเรียกเขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มกล่าวขอบคุณ

 

 

ซุนเหลียงไฉกลับไม่ยินดี พูดโต้แย้งอย่างไม่พอใจ “เหตุใดถึงให้ข้ากลับไปคนเดียว ข้าไม่ไป ข้าจะกลับไปกับพวกเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา พูดข่มขู่ “หากเจ้าไม่อยากกลับไปกับรถม้าของพวกท่านป้า ก็รอให้ข้าจัดการเรื่องเสร็จแล้ววิ่งตามรถม้ากลับไป”

 

 

อย่างไรซุนเหลียงไฉก็ยังกริ่งเกรงเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ตกใจจนไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงอีก

 

 

พ่อจูแม่จูและจูหลานกลับเข้าห้องพัก

 

 

พวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับมาหน้าห้องตัวเอง เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกำลังจะเข้าไปในห้องระหว่างกลาง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “วันนี้พวกเจ้าแยกกันนอน คนหนึ่งนอนกับเหวินเปียว อีกคนนอนกับเหวินหู่”

 

 

ซุนเหลียงไฉกำลังจะคัดค้าน เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่จนตกใจเดินเข้าห้องไปแต่โดยดี

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของเมิ่งเชี่ยนโยว รอจนซุนเหลียงไฉเข้าไปแล้วถึงถามเสียงเบา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

 

 

“ไม่มีอะไร มอบให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้ากลับไปนอนในห้องให้ดี พรุ่งนี้พวกเราก็จะรีบกลับไป” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง ไม่ซักถามอีกอย่างรู้ความ เดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ “ตอนกลางคืนห้ามเปิดหน้าต่างนอนเด็ดขาด ต้องตื่นตัวอยู่ตลอด หากมีความเคลื่อนไหวใด ให้ส่งเสียงร้องข้าจะเข้าไปทันที”

 

 

“พวกเขาจะลงมือคืนนี้หรือขอรับ?” เหวินหู่ถามเสียงต่ำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “หากข้าคาดไม่ผิด มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วน ทว่าเราก็จะประมาทไม่ได้ ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า”

 

 

ทั้งสองคนพยักหน้า แยกกันเข้าไปคนละห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูห้องตัวเอง หันกลับไปมองชายฉกรรจ์อีกสองคนที่มองตรงมาอย่างโจ่งแจ้ง เม้มริมฝีปาก แล้วกลับเข้าห้องตัวเอง

 

 

หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

หลังจากฟ้าเริ่มสาง เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในอาการตื่นตัวมาตลอดถอนใจโล่งอก ปลดเปลื้องความระแวดระวัง ผล็อยหลับไปอย่างสงบใจ

 

 

แม่จูพะวงถึงแต่เรื่องกลับไปจัดหาแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ ตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน พอฟ้าเริ่มสาง ก็เร่งเร้าพ่อจูและจูหลานที่กำลังนอนฝันหวานอยู่อีกห้องหนึ่งให้ลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัว แม้แต่ข้าวเช้าก็ไม่อยากกินจะรีบกลับไปท่าเดียว

 

 

จูหลานคนกินจุย่อมไม่ยินดี พ่อจูก็พูดหว่านล้อม บอกว่ากว่าจะกลับถึงอำเภอชิงเหอก็เที่ยงแล้ว หากไม่กินอาหารเช้าเกรงจะทนไม่ไหวกลางทาง

 

 

แม่จูจำต้องยินยอม กินลวกๆ ไม่กี่คำ แล้วสั่งบ่าวให้เตรียมรถม้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาซุนเหลียงไฉลงมา พูดว่า “เหลียงไฉต้องรบกวนพวกท่านดูแลแล้ว พวกเราน่าจะถึงอำเภอชิงซีอย่างช้าที่สุดก่อนตะวันตกดิน แล้วข้าจะตรงเข้าไปรับเขาที่จวนพวกท่าน”

 

 

แม่จูนึกว่านางจะต้องไปเจรจาการค้า ยิ้มพูดว่า “เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าให้เรียบร้อยเถิด ไม่ต้องรีบร้อน หากว่ากลับไม่ทัน ก็ให้เหลียงไฉพักบ้านพวกเราหนึ่งคืน ข้าจะดูแลเขาให้ดีเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ

 

 

พ่อจูและจูหลานก็จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ลงมาจ่ายเงินค่าห้องชั้นล่าง ขึ้นรถม้าที่บ่าวเตรียมรอไว้กลับอำเภอชิงเหอ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองส่งพวกเขาจากไปจนลับตา แล้วยืนอยู่หน้าประตูเช่นนั้นอีกหนึ่งก้านธูป พบว่าไม่มีใครในกลุ่มชายฉกรรจ์สะกดรอยตามรถม้าของสกุลจูไป เมิ่งเชี่ยนโยววางใจกลับขึ้นไปชั้นบน

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ยืนรออย่างอ่อนน้อมอยู่หน้าประตูแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาดูอ่อนเพลีย รู้ว่าพวกเขาจะต้องไม่ได้นอนหลับสนิททั้งคืนเหมือนตัวเอง จึงกำชับทั้งสองคน “กลับไปนอนให้สบายอีกหนึ่งชั่วยาม ฟื้นฟูกำลังวังชา จะได้มีเรี่ยวแรงรับมือพวกเขา”

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ก็รู้สึกอ่อนเพลียมากจริงๆ นอบน้อมขานรับคำ แล้วหันหลังกลับเข้าห้องตัวเอง”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหลับสนิททั้งคืน ได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเดินออกมาจากในห้อง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วพูดว่า “เจ้ามาที่ห้องข้า”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนทำตาลุกวาว ตามเข้าไปในห้องนางโดยดี

 

 

“ข้าจะงีบหลับต่ออีกครู่หนึ่ง เจ้าอยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวนอนลงบนเตียงทั้งชุดแล้วกำชับเขา

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปิดเปลือกตาลง ไม่นานก็หลับสนิทไป

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่มีอะไรทำ คิดจะเปิดหน้าต่างมองทิวทัศน์ด้านนอก แต่ก็กลัวจะเป็นการรบกวนเมิ่งเชี่ยนโยว จึงเอนตัวนอนลงบนเตียงอีกตัว ตะแคงตัวมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีความสุข ไม่นานก็หลับตามไปอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวหลับลึกมาก ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ด้านนอกลอยสูงมากกแล้ว กำลังคิดจะบิดขี้เกียจ พบว่าภายในห้องเงียบกริบ ตกใจถลึงตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปโดยรอบ เห็นเมิ่งอี้เซวียนนอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียงอีกตัวถึงโล่งอก บิดขี้เกียจปรับสภาพร่างกาย แล้วลงจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง

 

 

เมิ่งอี้เซวียนตื่นเพราะเสียงเปิดหน้าต่าง ลืมตาขึ้นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นแล้ว ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ส่งรอยยิ้มหวานเย้ายวนให้เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

รอยยิ้มระยิบระยับเกือบทำเมิ่งเชี่ยนโยวตาบอด ลอบด่าในใจ “เสนียดจัญไร!”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่รู้ถึงสิ่งที่นางคิด ลงจากเตียงเดินมาข้างหน้าต่าง มองดูสภาพบ้านเมืองคึกคักด้านนอก ถามขึ้น “วันนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอี้ยวศีรษะ มองเขาอย่างลุ่มลึก คิดถึงภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น อดใจไม่ไหวถามขึ้น “กลัวหรือ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหันมองนางกลับ พูดอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว “มีเจ้าอยู่ข้าไม่กลัว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกไหวเล็กน้อย ยื่นมือออกไปขยี้หัวเขา แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “เด็กกะโปโล รู้ถึงความสำคัญของพี่สาวคนนี้แล้วสินะ?”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ ยอมให้นางขยี้ผมตัวเองแต่โดยดี ปากกลับพูดอย่างไม่ยินดี “ข้าไม่ใช่เด็กกะโปโล อีกไม่กี่ปีพวกเราก็จะได้แต่งงานกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผงะมือ แล้วงอนิ้วเข้าหากัน เคาะไปกลางหน้าผากเขาเต็มแรง “กลางวันแสกๆ ยังจะฝันอะไรอีก?”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนมลายหาย ถามอย่างระวัง “เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้าหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเขาตามตรง แต่เคาะไปที่หน้าผากเขาสุดแรงอีกครั้ง “เจ้าร่ำเรียนวรยุทธ์และศาสตร์ความรู้ให้ดีก่อนเถอะ”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นว่าครั้งนี้นางไม่อาละวาดซ้อมเขา ให้ปิติยินดีไม่น้อย กะพริบดวงตาคู่งามปริบๆ ส่งรอยยิ้มหวานเจิดจ้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก่นด่าเสียงต่ำ “เสนียด” แล้วเบี่ยงสายตาหลบควับ พูดอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้ารีบล้างหน้าล้างตา กินข้าวเสร็จพวกเราก็จะกลับบ้าน”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนดีใจพยักหน้า ลงมือล้างหน้าล้างตาอย่างว่องไว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองร่างที่รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายความร่าเริงสดใส อดถามตัวเองไม่ได้ว่า การให้เด็กอายุเพียงเท่านี้ต้องมาเผชิญหน้าการฆ่าฟันคละคลุ้งกลิ่นคาวเลือด ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งถูกหรือผิด

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ตื่นขึ้นมานานแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวห้องข้างๆ เดินมาหน้าประตู นบน้อมถามขึ้น “แม่นาง พวกเราจะเดินทางเมื่อใด?”

 

 

เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยออกมาจากในห้อง “ให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งอาหารขึ้นมา กินเสร็จแล้วพวกเราก็ออกเดินทาง จำไว้ว่า จงเปล่งเสียงตะโกนให้ดัง”

 

 

เหวินเปียวรับทราบ ยืนข้างบันไดชั้นสอง ร้องตะโกนเสียงดังโหวกเหวกไปด้านล่าง “หลงจู๊ รบกวนท่านให้เสี่ยวเอ้อร์ส่งอาหารเช้าขึ้นมา พวกเรากินเสร็จแล้วจะได้ออกเดินทางกลับบ้าน”

 

 

หลงจู๊ขานรับ สั่งการเสี่ยวเอ้อร์นำอาหารส่งขึ้นไป

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่สะกดรอยตามมาตลอดได้ยินเสียงตะโกนของเหวินเปียว หันหน้ามองกันแล้วพยักหน้า เก็บสัมภาระติดตัวของตัวเอง เดินไปจ่ายค่าห้องที่โต๊ะคิดเงิน จากนั้นไปยืนรอหน้าประตูโรงเตี๊ยม

 

 

กินอาหารเช้าเสร็จ พวกเมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ เยื้องย่างลงมาชั้นล่าง เดินมาหน้าโต๊ะคิดเงิน เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามเสียงดัง “หลงจู๊ ข้าถามอะไรหน่อยเถิด”

 

 

หลงจู๊ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “แม่นางเชิญพูด ขอเพียงข้ารู้ จะต้องบอกแม่นาง”

 

 

กลุ่มเหวินหู่ที่คอยสะกดรอยตามอยู่ด้านนอกต่างหูผึ่ง อยากรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะถามอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีร้านขายอาวุธชั้นดี? ข้ากลัวระหว่างทางกลับจะไม่ปลอดภัย คิดจะซื้ออาวุธสักสองชิ้นให้คนขับรถม้าทั้งสองคนของข้า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ยังพอจะนำมาต้านทานได้บ้าง”

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ฟังนางพูดจบ เส้นประสาทบิดเกร็งฉับพลัน เอื้อมมือลูบคลำข้างเอวตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หลงจู๊เห็นว่าเด็กน้อยสองคนออกมากับคนรถสองคน การซื้ออาวุธป้องกันตัวสองชิ้นเป็นเรื่องปกติ จึงบอกที่อยู่ร้านขายอาวุธแก่พวกเขาอย่างเต็มใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณด้วยใจจริง หลังจากจ่ายเงินค่าห้อง ก็สั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ไปบังคับรถม้าเข้ามา

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้าเข้ามาโดยไว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนขึ้นนั่งบนรถม้า ทั้งสองก็บังคับรถม้าสองคันมุ่งหน้าไปยังร้านอาวุธ

 

 

ชายฉกรรจ์สองคนจูงม้าหลายเชือกออกมาจากหลังโรงเตี๊ยม กลุ่มชายฉกรรจ์พลิกตัวขึ้นหลังม้า ไล่ตามติดไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

ร้านอาวุธอยู่ใกล้มาก ไม่นานก็มาถึง

 

 

เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงมาจากรถม้า เดินเข้าไปในร้าน

 

 

หลงจู๊ร้านอาวุธเห็นมีคนเข้ามา กำลังจะร้องทัก กลับเห็นเป็นเด็กสองคน ถามด้วยอารามตกใจ “คุณหนูและคุณชายทั้งสองท่าน พวกท่านต้องการซื้ออาวุธหรือ?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเราต้องการอาวุธป้องกันตัวในยามเดินทางให้คนรถสองคนด้านนอก”

 

 

หลงจู๊เข้าใจพลัน ปฏิกิริยาเป็นมิตรขึ้นหลายส่วน ถามขึ้น “พวกท่านต้องการอาวุธอย่างไร?”

 

 

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ รบกวนหลงจู๊นำอาวุธในร้านออกมาให้พวกเราดูหน่อยเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

หลงจู๊เห็นพวกเขาแต่งตัวไม่ธรรมดา รถม้าด้านนอกก็หรูหราโอ่อ่า รีบนำอาวุธชั้นดีออกมาวางตรงหน้าคนทั้งสองอย่างชื่นบาน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมีดใหญ่ขึ้นมาดู ใช้นิ้วมือลับคมปลายมีดเล็กน้อย พยักหน้าพึงพอใจ พูดว่า “พวกเราต้องการมีดใหญ่เช่นนี้สองด้าม”

 

 

จู่ๆ ก็ขายสินค้าชั้นดีได้สองชิ้น หลงจู๊ให้ปลาบปลื้มปิติยิ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางมีดลง ถามขึ้นอีกครั้ง “ที่นี่ยังมีอาวุธขนาดเล็กกะทัดรัดหรือไม่ ข้าและน้องชายจะซื้อไว้ป้องกันตัว”

 

 

หลงจู๊ยิ่งทวีความมีมิตรไมตรี พยักหน้าหงึกๆ “มีๆๆ แม่นางรอสักครู่” พูดจบเดินเข้าไปในห้อง หยิบกริชฝีมือประณีตหลายด้ามออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดูอย่างละเอียด ล้วนไม่เป็นที่พอใจ ถามขึ้น “ยังมีอีกหรือไม่?”

 

 

หลงจู๊ลังเลครู่หนึ่ง “ก็มีอยู่หรอก ทว่าราคาสูงลิ่ว พวกเจ้า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดบทเขา “เอาออกมาให้พวกเราดู ขอเพียงข้าพอใจ ราคามิใช่ปัญหา”

 

 

หลงจู๊หันหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ถือกล่องใบหนึ่งออกมาอย่างระวัง วางลงบนโต๊ะแล้วเปิดออก เผยให้เห็นกริชสองด้ามด้านใน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดวงตาลุกวาว หยิบด้ามที่เล็กกว่าขึ้นมา จับเส้นผมตัวเองหนึ่งเส้นทดลองดู เพียงเป่า เส้นผมก็ขาดออกจากกัน

 

 

“หลงจู๊ กริชด้ามนี้ราคาเท่าใด ข้าซื้อแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่ลังเล

 

 

หลงจู๊ตอบกลับ “กริชสองเล่มนี้เป็นคู่กัน นามว่ากริชคู่ยวนยาง ช่างทำอาวุธเก่าแก่ของที่ร้าน ได้วัสดุหายากมาชิ้นหนึ่ง ใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงผลิตสำเร็จ พวกเราไม่ขายแยก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกริชอีกด้ามขึ้นมา พินิจมองเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเบิกบาน “ข้าซื้อกริชสองด้ามนี้แล้ว ทั้งหมดราคาเท่าใด?”

 

 

หลงจู๊ดีใจหน้าบาน ตอบกลับเสียงสั่น “กริชคู่นี้ราคาห้าร้อยตำลึง มีดใหญ่สองด้ามราคาสี่สิบตำลึง หากแม่นางต้องการทั้งหมด ข้าจะลดพิเศษให้ เจ้าเพียงจ่ายเงินค่ากริชคู่นั้นมาก็พอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ต่อราคาค่างวดอีก ควักเงินจ่าย เก็บกริชทั้งสองด้ามกลับเข้ากล่อง วางใส่มือเมิ่งอี้เซวียน ส่วนตัวเองหอบมีดใหญ่สองด้าม แสร้งเดินออกไปอย่างเหนื่อยแรง

 

 

หลงจู๊รีบร้อนพูดว่า “แม่นางน้อย ข้าช่วยเจ้าเอง”

 

 

“ขอบคุณมาก แต่ไม่ต้องแล้ว” สิ้นเสียง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินมาถึงหน้าประตู ตะโกนบอกเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าสองคนรีบมาช่วยข้า มีดใหญ่สองด้ามนี้หนักยิ่งนัก เล่นเอาข้าเดินไม่ไหวแล้ว” พูดจบ แสร้งยืนร่างกายโซเซ

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่สะกดรอยตามเห็นนางหอบมีดเล่มใหญ่สองด้ามยืนโงนเงนไปมา แสดงสีหน้าโล่งอกโล่งใจ

 

 

เหวินเปียวรีบเข้าไปรับมีดใหญ่จากมือนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจหอบเฮือกใหญ่ แสร้งถามอย่างคนขลาดเขลา “คนที่มีวรยุทธ์สติไม่ดีหรือ พกมีดหนักขนาดนี้ไว้กับตัวทุกวัน ไม่เหนื่อยตายบ้างหรือไร”

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ยินวาจานาง ต่างโพล่งขำออกมา

 

 

เหวินเปียวรับลูกคู่ตอบว่า “แม่นาง คนฝึกวรยุทธ์มีพละกำลัง น้ำหนักเพียงเท่านี้เล็กน้อยขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปากพูดอย่างสาวน้อยไร้เดียงสา “ไม่เข้าใจเลย”

 

 

เหวินเปียวเกือบจะหลุดขำในท่าทีของนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า แล้วสั่งเหวินเปียว “พวกเรากลับบ้าน”

 

 

เหวินเปียวพยักหน้า ส่งมีดใหญ่ให้เหวินหู่ด้ามหนึ่ง กลับมาที่รถม้าตัวเอง วางมีดใหญ่ไว้ข้างกาย สะบัดบังเ**ยนบังคับรถม้าตรงไปยังประตูเมือง

 

 

เหวินหู่ตามหลังไปติดๆ

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์ควบม้าตามรั้งท้ายไป

 

 

ออกจากประตูเมือง ผู้คนบนท้องถนนเริ่มลดน้อยลง เหวินเปียวบังคับม้าเร็วขึ้น หนึ่งชั่วยามให้หลังก็วิ่งมาได้หลายสิบลี้ แล้วให้หยุดรถม้าลงในจุดที่เจอกับพวกฆ่ามนุษย์ครั้งก่อน

 

 

กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นพวกเราบังคับรถม้าไม่หยุด นึกว่าพวกเขาเร่งเดินทางกลับบ้าน ให้นึกยินดี คิดว่าผ่านมานานเช่นนี้ในที่สุดจะได้รู้ที่หลบซ่อนตัวของเหวินเปียวแล้ว

 

 

ในขณะที่กำลังดีใจ จู่ๆ รถม้าก็จอดฉับพลัน จึงรีบดึงเชือกม้าของตัวเอง มองรถม้าด้านหน้าอย่างไม่งุงงง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดไม่จา เหวินเปียวและเหวินหู่ก็ไม่ส่งเสียง หากไม่เพราะยังเห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ในรถม้าด้านหน้า กลุ่มชายฉกรรจ์ต่างนึกว่าพวกเขาจะสละรถม้าหนีเอาตัวรอดแล้ว

 

 

ความเงียบงันที่แสนยาวนาน เงียบจนชายฉกรรจ์ทนต่อไปไม่ไหวควบม้าเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพลันเปิดม่านลงจากรถม้า ยืนข้างรถม้ายิ้มตาหยีถามพวกเขา “พวกท่านตามพวกเรามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่ทราบว่าจะชิงทรัพย์หรือชิงสวาทเล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด