ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 192 เช่นนี้พวกเราก็รวยแล้วสิ

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 192 เช่นนี้พวกเราก็รวยแล้วสิ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งชื่อย่อมไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะมีใครยอมให้เงินห้าเฉียนมาซื้อข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝัก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกรุ่มกริ่ม “อีกไม่กี่วันท่านก็จะรู้เอง” 

 

 

กินข้าวโพดเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ มอบให้เหวินเปียว ให้เขานำไปส่งให้เซี่ยเจียงเฟิง เหวินเปียวรับคำ รับจดหมายมาแล้วขี่ม้าเข้าอำเภอไปโดยไว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินหู่ ไปเรียกหลงจู๊เหลาจวี้เสียนมา บอกว่านางมีอาหารอร่อยจะขายให้เขา 

 

 

เหวินหู่ก็เร่งรุดขี่ม้าเข้าเมืองไปทันที 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอคอยอยู่ที่บ้าน 

 

 

หลงจู๊เหลาจวี้เสียนได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาหารอร่อยจะขายให้เขา ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกกับพ่อครัวใหญ่ แล้วให้เสี่ยวเอ้อบังคับรถม้าตามเหวินหู่มาทันที 

 

 

เพิ่งจะลงจากรถม้า ก็ถามเมิ่งเชี่ยนโยวที่รออยู่หน้าประตูทันที “แม่นางเมิ่ง ท่านมีของอร่อยอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้พาเขาเข้าไปในบ้าน แต่นำเขาตรงมาที่ข้างเตา ช้อนข้าวโพดอ่อนในหม้อออกมาส่งให้เขา พูดว่า “หลงจู๊ลองชิมดูเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเปิดฝาหม้อออก หลงจู๊เห็นข้าวโพดอยู่ในนั้นก็ตกใจไม่น้อยแล้ว ยังนึกกังขา ในฤดูกาลเช่นนี้นางไปเอาข้าวโพดอ่อนนี้มาจากไหน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นข้าวโพดให้เขา ก็รับมาใส่เข้าปากเคี้ยวงุบๆ ทันที ความหอมของข้าวโพดกระจายคลุ้งไปทั่วทั้งปากพลัน 

 

 

หลงจู๊อดใจไม่ไหวกินไปอีกหลายคำ ถึงถามขึ้น “แม่นางได้ข้าวโพดอ่อนมาจากที่ใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามความจริง “ข้าซื้อที่ดินร้างมาปลูกมันฝรั่ง สุดท้ายซื้อที่ดินมามากเกินไป ข้าก็เลยเกิดความคิดพิสดารขึ้น คิดว่าที่ดินปล่อยไว้ก็รกร้าง ไม่เช่นนั้นแบ่งพื้นที่บางส่วนมาลองปลูกข้าวโพดดู หากว่าประสบความสำเร็จ จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพิ่มอีกฤดูกาล หากว่าไม่สำเร็จ อย่างมากก็แค่เปลืองแรงงานคนเท่านั้น ไม่ได้สูญเสียอะไรร้ายแรง ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จจริงๆ” 

 

 

หลงจู๊กินข้าวโพดอีกหลายคำถึงถามขึ้น “ที่แม่นางเรียกข้าก็เพื่อ…?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “หลงจู๊ไม่รู้สึกหรือว่านี่เป็นอาหารที่สดใหม่?” 

 

 

หลงจู๊พยักหน้า “ฤดูกาลเช่นนี้เห็นข้าวโพดได้ก็นับว่าสดใหม่มากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้กินข้าวโพดอ่อนนุ่มเช่นนี้” 

 

 

“หากนำออกไปขายเล่า จะสร้างความโกลาหลหรือไม่?” 

 

 

หลงจู๊พยักหน้าอีกครั้ง “จักต้องสร้างความโกลาหล” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีถาม “หลงจู๊อยากจะลองดูหรือไม่” 

 

 

หลงจู๊เข้าใจความหมายของนาง พูดอย่างปิติยินดี “ย่อมคิดอยู่แล้ว ทว่า การตั้งราคาของข้าวโพดอ่อนนี้ค่อนข้างยาก อย่างไรนี่ก็เป็นธัญพืชหยาบ หากสูงเกินไป ลูกค้าจะต้องไม่ยินยอมซื้อ หากต่ำเกินไป ก็จะไม่เหมาะสมกับชื่อเสียงของเหลาจวี้เสียน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หลงจู๊ ข้าวโพดอ่อนนี้หาได้มีไว้ให้ท่านทำกำไร แต่มีไว้ให้ท่านสร้างชื่อเสียงต่างหาก ท่านลองคิดดู หากมีแต่เหลาจวี้เสียนของท่านที่ขายข้าวโพดอ่อน ชื่อเสียงของพวกท่านก็จะยิ่งโด่งดังใช่หรือไม่ ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นท่านยังจะกลัวทำกำไรไม่ได้อีกหรือ?” 

 

 

หลงจู๊พยักหน้า “แม่นางพูดได้มีเหตุผล ดังนั้นการตั้งราคาข้าวโพดอ่อนนี้จะต้องต่ำสักหน่อย ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เปล่า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าจะขายข้าวโพดอ่อนให้ท่านห้าเฉียน ส่วนท่านจะตั้งราคาเท่าใด เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ทว่า ข้าให้เวลาท่านจัดจำหน่ายสิบวัน สิบวันให้หลัง ไม่ว่าท่านจะขายเป็นอย่างไร ข้าก็จะไม่ขายให้ท่านอีก” 

 

 

หลงจู๊ถาม “เพราะเหตุใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “หนึ่งเพราะสิบวันให้หลังข้าวโพดอ่อนนี้ก็จะโตเต็มวัย สองคือข้าอยากให้คนในครอบครัวไปขายข้าวโพดด้วยตัวเอง” 

 

 

หลงจู๊ไม่เข้าใจ กลับไม่ได้ถามอีก พูดว่า “ได้ ตกลงตามราคาของแม่นาง วันนี้ข้าขอข้าวโพดอ่อนห้าร้อยฝักก่อนก็แล้วกัน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือยับยั้ง “ท่านต้องการมากเกินไปแล้ว วันนี้เป็นวันแรก ชื่อเสียงยังไม่เลื่องลือ ข้าวโพดอ่อนยังขายไม่ได้เร็ว ไม่อย่างนั้นท่านรับไปหนึ่งร้อยฝักก่อน ลองดูว่าจะเป็นอย่างไร อีกอย่างบ้านพวกเราก็อยู่ไม่ไกลจากเหลาจวี้เสียน หากไม่พอจริงๆ ให้เสี่ยวเอ้อมารับสินค้าไปเพิ่มก็ยังทัน” 

 

 

หลงจู๊ครุ่นคิด รู้สึกว่าที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดมีเหตุผล จึงพยักหน้าเห็นด้วย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินหู่ให้พาพวกอู๋ต้าไปหักข้าวโพดอ่อนที่แปลงดิน คนทั้งหมดมีความเร็วสูง ช่วงเวลาไปกลับก็หักข้าวโพดอ่อนหนึ่งร้อยฝักกลับมาได้แล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขานำข้าวโพดบรรทุกใส่รถม้า แล้วนำส่งไปที่เหลาจวี้เสียน 

 

 

หลงจู๊กล่าวขอบคุณหลายครั้ง ถึงนั่งรถม้าจากไปอย่างเบิกบานใจ 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นพวกอู๋ต้ามาหักข้าวโพดไปจำนวนมาก ก็ให้ปวดใจ หลังจากกลับมาถึงบ้านได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักขายได้ห้าเฉียน ก็ตกใจเบิกตาโพลง แทบอยากจะไปหักข้าวโพดทั้งแปลงส่งไปที่เหลาจวี้เสียน 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการตาลุกวาวด้วยความโลภของเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดสัพยอกเขา “ท่านพ่อ ท่านยังมาว่าเห็นแก่เงิน ท่านดูตัวเองตอนนี้ก่อนเถิด เห็นแก่เงินมากกว่าข้าอีก” 

 

 

ถูกบุตรสาวกระเซ้า เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่สนใจ ยังคงพูดอย่างเบิกบาน “พ่อทำไร่ไถนามาหลายปี ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักจะขายได้ถึงห้าเฉียน เหมือนเก็บเงินได้จากพื้น จะไม่ตาลุกวาวได้อย่างไร?” 

 

 

เมิ่งชื่อเห็นบุตรสาวขายข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักได้ห้าเฉียนจริงๆ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ได้ยินคำพูดของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็เกิดความคิดแหย่เย้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็พูดง่ายเกินไป หากไม่เพราะโยวเอ๋อร์คิดวิธีนี้ได้ ท่านลองไปเก็บเงินบนพื้นดูเสียหน่อยเล่า” 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นลูบศีรษะหัวเราะแหะๆ “ข้าก็แค่เปรียบเทียบเท่านั้น เจ้าคิดเป็นจริงได้อย่างไร หากเก็บเงินบนพื้นได้จริงๆ ข้าจะยืนพูดกับพวกเจ้าอย่างสบายได้เช่นนี้หรือ ป่านนี้ข้าวิ่งหายไปเป็นคนแรกแล้ว” 

 

 

ฟังคำพูดเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะร่วน 

 

 

หลังจากเข้ามาถึงอำเภอ เหวินเปียวตรงไปที่ร้านเซี่ยเจียงเฟิง นำจดหมายในมือมอบให้เขา 

 

 

หลังจากรับมาดู เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ล่าช้า ให้พนักงานบังคับรถม้ามาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไว พอพ้นประตูเข้ามาก็ถามขึ้นอย่างอดทนรอไม่ไหว “แม่นางเมิ่ง เจ้ามีการค้าอันใดอีกแล้ว?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาเขามาข้างเตาเช่นเดิม ช้อนข้าวโพดอ่อนให้เขาหนึ่งฝัก 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเห็นข้าวโพด ก็ให้ตกใจถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง ฤดูกาลนี้เจ้าไปเอาข้าวโพดมาจากที่ใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ แต่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “ท่านชิมก่อนเถิดว่าข้าวโพดอ่อนนี้อร่อยหรือไม่?” 

 

 

แต่ละหมู่บ้านมีแปลงเพาะปลูกต่อคนน้อยมาก ผลผลิตก็ต่ำ ในฤดูเก็บเกี่ยวทุกครั้งทุกคนจึงเอาแต่รอคอยให้โตเต็มวัย อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้มากๆ ไฉนเลยจะมีใครทำใจกินข้าวโพดอ่อนได้ ดังนั้นแม้จะเป็นลูกเศรษฐีอย่างพวกเซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่เคยกินข้าวโพดอ่อนมาก่อน รับข้าวโพดอ่อนมาทันที แล้วกัดหนึ่งคำ กลิ่นหอมของข้าวโพดกระจายคลุ้งไปทั่วปากพลัน พยักหน้าพูดว่า “อร่อย” พูดจบ อดใจไม่ได้กินไปอีกหลายคำ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขากินจนเสร็จ ถึงเอ่ยปากถาม “เซี่ยเจียงเฟิงอยากจะทำการค้าข้าวโพดอ่อนนี้หรือไม่?” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงกินข้าวโพดอ่อนหมดหนึ่งฝัก รู้สึกว่ากลิ่นหอมในปากยังติดอยู่ไม่รู้คลาย จึงไม่เกรงใจ ลงมือช้อนข้าวโพดอีกหนึ่งฝักด้วยตัวเอง กัดหนึ่งคำ ถึงพูดว่า “ย่อมต้องอยาก ไม่ทราบว่าแม่นางมีข้าวโพดอ่อนเช่นนี้มากเท่าใด?” 

 

 

“มีจำนวนมาก คุณชายเซี่ยต้องการเท่าใดก็มีเท่านั้น” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงกินข้าวโพดฝักที่สองในมือเสร็จ ยังรู้สึกไม่หายยาก แต่ไม่กล้ากินอีก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างกายมาเช็ดมือ ตอบกลับว่า “ได้ ไม่ว่าแม่นางมีเท่าไหร่ ข้าต้องการทั้งหมด ราคาแล้วแต่เจ้าจะกำหนด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “คุณชายเซี่ยอย่าเพิ่งใจร้อน แม้ข้าวโพดอ่อนจะอร่อยมาก แต่ระยะเวลาในการเก็บรักษาทำได้ไม่นาน หากท่านคิดจะขนส่งเข้าเมืองหลวง จักต้องขนส่งข้าวโพดอ่อนที่ยังไม่ต้มสุกเข้าไป” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงได้กินข้าวโพดอ่อน ก็สัมผัสได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสทำกำไรก้อนโต ตื่นเต้นดีใจมาก ไม่ได้คิดถึงปัญหาการเก็บรักษาของข้าวโพดอ่อนเลย นึกว่าแค่ต้มให้สุกแล้วขนส่งเข้าไปก็ได้แล้ว ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ก็เริ่มคิดถึงปัญหานี้ จึงพูดขึ้นพลัน “แม่นางกล่าวถูกต้อง สมควรจะขนส่งข้าวโพดอ่อนดิบเข้าไป ทว่า จากตำบลซีเฉิงถึงเมืองหลวงระยะทางอย่างน้อยสามวัน จะเก็บรักษาข้าวโพดอ่อนพวกนี้อย่างไร ถึงจะทำให้พวกมันอร่อยได้เหมือนกับตอนนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เรื่องนี้ข้ามีวิธี” พูดจบก็บอกวิธีการเก็บรักษาที่ตัวเองคิดไว้แล้วแก่เขา 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังพยักหน้าหงึกๆ “วิธีของแม่นางดียิ่งนัก ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ข้าจะกลับไปให้คนเตรียมตัว พรุ่งนี้จะเข้ามารับข้าวโพดแต่เช้า” 

 

 

พูดจบ หันหลังเตรียมจะเดินจากไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้พูดว่า “คุณชายเซี่ยอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเรายังต้องหารือกันเรื่องการจำหน่ายข้าวโพดอ่อน” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงไม่เข้าใจ “เรื่องนั้นยังต้องหารืออะไร หลังจากข้าขนส่งข้าวโพดอ่อนถึงเมืองหลวง สั่งให้คนนำไปต้มให้สุกทั้งหมด แล้วจำหน่ายในร้านก็ได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นี่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการจำหน่ายเท่านั้น อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะขายดีได้เหมือนที่พวกเราคาดคิด ข้ายังมีอีกวิธีการขายหนึ่ง ท่านน่าจะลองทำดูได้” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงเร่งเร้าถาม “วิธีอะไร?” 

 

 

“ท่านให้พนักงานตั้งกระทะใบใหญ่ที่หน้าประตูร้าน ใส่ข้าวโพดอ่อนลงไปต้มจนสุกให้ดูสดๆ หนึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ สองยังได้ฉวยโอกาสนี้บอกทุกคนว่า ร้านค้าของพวกท่านไม่เพียงขายข้าวโพดสุก ยังขายข้าวโพดอ่อนดิบด้วย หากที่บ้านคนมาก สามารถซื้อกลับไปต้มเองได้ แน่นอน ราคาย่อมจะต้องถูกกว่าข้าวโพดที่ต้มสุกแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงดวงตาเปล่งประกาย ชูนิ้วโป้งให้เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง วิธีนี้ดียิ่งนัก พวกเศรษฐีชั้นสูง ข้าราชการขุนนางย่อมไม่มากินอาหารที่ทำสุกแล้วของร้านพวกเราข้างทางปะปนกับชาวบ้านทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะได้สั่งคนมาซื้อ นำกลับไปต้มกินที่บ้านตัวเองได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเขาถึงจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่แท้จริง เหมือนกับกุนเชียง รู้สึกว่าอร่อย แทบอยากจะซื้อทั้งหมดกลับไปบ้านตัวเอง ดังนั้นหลังจากขนส่งข้าวโพดอ่อนเหล่านี้ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ให้แบ่งจำนวนมากเก็บไว้อย่าเพิ่งนำไปต้มให้สุก” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าวโพดอ่อนในแปลงดินมีจำนวนมาก หากไม่รีบหักออกไปขาย อย่างมากที่สุดก็ครึ่งเดือน ข้าวโพดทั้งหมดก็จะโตเต็มวัย ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลาประมาณสิบวัน หรือพูดได้ว่า คุณชายเซี่ยจะมีเวลาเพียงครึ่งเดือนสำหรับกอบโกยกำไร เมื่อเวลานี้ผ่านไป ท่านคิดจะขายก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นนอกจากการขนส่งจำนวนหนึ่งไปเมืองหลวงแล้ว ท่านยังสามารถส่งไปที่อื่นได้อีก” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงพูดว่า “ข้าก็มีความคิดเช่นนี้พอดี เมื่อกลับไปแล้วข้าจักเตรียมการ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักข้าให้ท่านห้าเฉียน ท่านจงกลับไปกำหนดราคาของตัวเอง” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงตกใจ “ถูกเช่นนี้เลย?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ถูกแล้ว ท่านแม่บอกว่าแป้งข้าวโพดหนึ่งจินเพิ่งจะห้าเฉียน เพียงพอเป็นโจ๊กข้าวโพดหนึ่งมื้อให้พวกเรากินได้ทั้งครอบครัวเชียวเล่า” 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังหัวเราะครืน 

 

 

หลังจากตกลงว่าพรุ่งนี้ต้องการข้าวโพดอ่อนจำนวนเท่าไหร่และจะเข้ามารับโมงยามใดเรียบร้อย เซี่ยเจียงเฟิงก็นั่งรถม้าจากไปอย่างเบิกบาน 

 

 

เหวินหู่กลับมา นำเงินห้าร้อยเฉียนที่ได้มาจากหลงจู๊มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนำไปมอบให้เมิ่งชื่อต่อ 

 

 

เมิ่งชื่อนำเงินห้าร้อยเฉียนวางบนเตียงเตา นับเงินอย่างเบิกบานวนไปวนมา 

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหว พูดว่า “เงินเพียงห้าร้อยเฉียนนี้ เจ้านับวนไปวนมา จนจะมีดอกไม้งอกออกมาอยู่แล้ว” 

 

 

เมิ่งชื่อถลึงตาใส่เขา “เจ้าจะไปรู้อะไร ในอดีตผลผลิตในที่เพาะปลูกของพวกเรา หักที่จ่ายเป็นภาษีไป เหลือไม่พอให้ครอบครัวได้กินใช้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขายเป็นเงิน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเงินที่ได้มาจากขายผลผลิต ข้าจะไม่ดีใจได้หรือ?” 

 

 

คิดถึงชีวิตที่ไม่อิ่มท้องของครอบครัวในอดีต เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่พูดอะไรอีก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ วันนี้ข้ายังขายข้าวโพดหลายพันฝักให้คุณชายเซี่ยอีกด้วย พรุ่งนี้เงินจะยิ่งมีมากกว่านี้ ท่านนับอย่างไรก็นับไม่หมด” 

 

 

เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้ดีใจ “ขายไปได้อีกหลายพันฝัก เช่นนั้นพวกเราก็ร่ำรวยแล้วสิ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะครืน 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้เหวินเปียวและเหวินหู่นำทุกคนฝึกวรยุทธ์ แต่สั่งการให้ทุกคนไปหักข้าวโพด 

 

 

กระทั่งพนักงานของเซี่ยเจียงเฟิงบังคับรถม้าที่ทำขึ้นพิเศษมาตลอดคืนมาถึง เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้ทุกคนนำไปบรรจุบนรถม้าของพวกเขา 

 

 

รถม้าไปไกลแล้ว ทุกคนที่หักข้าวโพดกันแต่เช้ากลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ละคนกลับมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าสดชื่น 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด