ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 169-1 สอบได้ถงเซิง

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 169-1 สอบได้ถงเซิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมิ่งเชี่ยนโยวเพ่งตามองดู ที่แท้ก็เป็นหวังหู่ ร้องเรียกอย่างชื่นบาน “พี่หูจื่อ” 

 

 

หูจื่อไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว เห็นนางกะทันหันก็ดีใจกว่าปกติ พูดถามเป็นพรวน “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาในจังหวัดได้อย่างไร? มีเพียงเจ้าคนเดียวรึ? ช่วงนี้เจ้าเห็นท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือไม่? พวกเขาสบายดีหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูดกับเขา “พี่หูจื่อ ท่านถามข้ามากเช่นนี้ ข้าไม่รู้จะตอบอันใดก่อนดีแล้ว ไม่อย่างนั้นท่านพาพวกเราไปห้องรับรองก่อน เมื่อนั่งลงแล้วข้าจะค่อยๆ พูดให้ท่านฟัง” 

 

 

หูจื่อตบหน้าผากตัวเอง กล่าวอย่างซื่อๆ “ดูข้าเล่า มัวแต่ดีใจ ลืมไปว่าพวกเจ้ามากินข้าว ข้าจะพาพวกเจ้าไปห้องรับรองเดี๋ยวนี้” 

 

 

พูดจบ กลับหลังหัน เดินนำหน้าเข้ามาในห้องรับรองชั้นสอง แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เหลาจวี้เสียนในจังหวัดเหมือนกับที่ตำบลของพวกเรา ห้องรับรองจะมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ ก็คือห้าสิบตำลึง” พูดไปพลางชงน้ำชาให้ทุกคน นำมาวางตรงหน้าพวกเขา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปกล่าวขอบคุณ พูดว่า “ลุงหวังและป้าหวังต่างสบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขา ตัวท่านเองเถอะ มาอยู่ในจังหวัดนานขนาดนี้ คิดจะกลับไปเมื่อใด?” 

 

 

หูจื่อยิ่งแสดงสีหน้ายินดี “หลงจู๊บอกแล้ว พ้นเดือนนี้ไป ข้าก็กลับไปได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาสวมชุดเสี่ยวเอ้อ ถามอ้อมๆ “พี่หูจื่อ ท่านอยู่ในจังหวัดสบายดีนะ?” 

 

 

หูจื่อพยักหน้า “ช่วงเวลาที่อยู่ในจังหวัดนี้ ได้รับคำชี้แนะจากทุกคน ได้เรียนรู้สิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้มากมาย แต่ละวันมีความอิ่มเอมหัวใจ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี” 

 

 

หวังหู่ขยี้หัว พูดอย่างกระดากเขิน “เพียงแค่คิดถึงบ้านไปหน่อย ทุกวันเอาแต่เฝ้ารอเจอคนในหมู่บ้านพวกเรามากินข้าวที่นี่ จะได้ซักถามความเป็นไปของครอบครัว น่าเสียดายที่แทบจะไม่มีใครมา ข้าอยากถามก็ไม่รู้จะไปถามใคร แต่ว่า วันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุด ได้เจอคนคุ้นเคยสองคนติดๆ กัน” 

 

 

“สองคน?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเบิกบาน “นอกจากข้ายังมีใครหรือ?” 

 

 

หวังหู่ไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานสนิทสนมกันดี ตอบว่า “คุณชายเปานะซิ บุตรชายใต้เท้าเปาที่มักจะไปกินอาหารที่เหลาจวี้เสียนบ่อยๆ เจ้ายังเคยทำอาหารให้เขากินอย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจระคนประหลาดใจ “เขาก็มาด้วย? เขาอยู่ที่ห้องรับรองใด?” 

 

 

“อยู่ห้องรับรองด้านริมสุด แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายยังมีอีกสองคนที่ข้าไม่รู้จักมาด้วย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงเรื่องการนัดชุมนุมใหญ่ของพวกค้ามนุษย์ในตัวจังหวัดเดือนสี่ที่เปาอีฝานเคยพูดถึง คาดว่าเขาจะมาเพราะเรื่องนี้ จึงขอร้องหวังหู่ “พี่หูจื่อ ประเดี๋ยวรบกวนท่านฝากความไปให้คุณชายเปา บอกว่าข้าก็มากินข้าวที่เหลาจวี้เสียน หากเขามีเวลา ก็เชิญเขามาเสียหน่อย” 

 

 

หวังหู่รับปากเสียงลั่น “ได้เลย ประเดี๋ยวตอนข้ายกอาหารเข้าไปจะบอกเขาให้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ แล้วสั่งอาหารแนะนำสองสามอย่าง 

 

 

หวังหู่หยิบรายการอาหารออกไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเหวินเปียวและเหวินหู่ที่เอาแต่ยืน “พวกเจ้าทั้งสองก็นั่งเถอะ” 

 

 

ทั้งสองไม่ขยับ เหวินเปียวพูดว่า “แม่นาง ข้ารู้ว่าท่านดีกับพวกเรามาก แต่จะเพิกเฉยกฎระเบียบไม่ได้ บ่าวกับนายไหนเลยจะร่วมโต๊ะอาหารกันได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามเขา “หากข้าออกคำสั่งให้พวกเจ้ากินข้าวร่วมกับข้าเล่า?” 

 

 

ทั้งสองหันหน้ามองกัน เหวินเปียวกล่าวตอบ “คำสั่งของแม่นางห้ามฝ่าฝืน” 

 

 

“งั้นก็ดี ตอนนี้ข้าขอออกคำสั่งให้พวกเจ้านั่งลงกินข้าวร่วมกับข้า” 

 

 

ทั้งสองลังเล เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาให้พวกเขา “อย่างไร? ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้าแล้ว?” 

 

 

เหวินเปียวพูดอย่างลำบากใจ “แม่นาง หากท่านออกคำสั่งให้พวกเราขึ้นภูเขาดาบ ลงทะเลเพลิง พวกเราจะทำตามที่สั่ง แต่การกินข้าวร่วมโต๊ะกับท่านนี้ ผิดหลักกฎระเบียบเกินไป พวกเราทำเช่นนี้ไม่ได้” 

 

 

“ออกมาข้างนอกไฉนต้องมีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย ข้าบอกให้พวกเจ้านั่งก็นั่งเถอะ ถ้ายังโอ้เอ้อีกข้าจะโมโหแล้วนะ” 

 

 

ทั้งสองคนนั่งบนเก้าอี้อย่างประดักประเดิด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพวกเขา “พวกเจ้าก็ไปมาทั่วเขตคามแล้ว ใยต้องสนใจกฎเกณฑ์ไร้สาระพวกนั้น?” 

 

 

เหวินเปียวตอบกลับ “เพราะพวกเรารู้มาก ถึงยิ่งไม่ควรละเมิดกฎ หากให้คนอื่นรู้เข้า จะพูดว่าพวกเราไม่รู้จักแยกแยะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ในห้องรับรองนี้มีเพียงพวกเราสามคน ไหนเลยจะมี…” พูดยังไม่ทันจบ ประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออก เปาอีฝานก้าวอาดๆ เข้ามา 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ลุกลนลุกขึ้น ยืนหลบไปอีกด้าน 

 

 

เปาอีฝานมองพวกเขาผ่านๆ แวบหนึ่ง พูดกับนางอย่างยินดี “พอหูจื่อบอกข้าว่าเจ้าอยู่ห้องรับรองนี้ ข้าก็มาทันที น้องชายเจ้ามาเข้าสอบระดับจังหวัดใช่หรือไม่? พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเรามาถึงตั้งแต่เมื่อวานบ่าย วันนี้อี้เซวียนไปสอบ ข้าว่างไม่มีอะไรทำก็เลยมาเดินเที่ยวในเมืองไปเรื่อยเปื่อย เห็นเหลาจวี้เสียนจึงเข้ามากินข้าว ไม่คิดว่าท่านก็จะอยู่ที่นี่ เตรียมจะลงมือกับพวกค้ามนุษย์แล้วอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เปาอีฝานหันไปมองเหวินเปียวและเหวินหู่แวบหนึ่ง 

 

 

ทั้งสองรีบร้อนพูด “แม่นาง ท่านและคุณชายเปามีเรื่องต้องเจรจา พวกเราจะไปรอเฝ้าด้านนอก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง เรื่องนี้พวกเราไม่แทรกแซง” 

 

 

ทั้งสองจึงไม่เคลื่อนไหว 

 

 

จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันมาพูดกับเปาอีฝาน “พวกเขามีสถานะเช่นไรเจ้ารู้ดี มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ พวกเขาไม่มีทางแพร่งพรายแม้แต่ครึ่งคำ” 

 

 

เปาอีฝานมองนางอย่างเลื่อมใสแล้วพูดว่า “ข้าสืบความมาหมดแล้ว พวกค้ามนุษย์ทั้งหมดจะชุมนุมกันในรังโจรเก่า ถึงตอนนั้นพวกเราจะรวบรวมกองกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมด จับกุมพวกมันให้สิ้นซาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “วางกำลังไว้เรียบร้อยหรือไม่ มีความมั่นใจกี่ส่วน?” 

 

 

“วางใจเถอะ ข้าและท่านใต้เท้าผู้ว่าราชการจังหวัดวางกำลังไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้ก่อนค่ำ กำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะไปยังจุดที่กำหนด ครั้งนี้พวกเรามั่นใจเต็มร้อยว่าจะจับกุมพวกเขาได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากสามารถจับกุมพวกค้ามนุษย์เหล่านี้ได้สิ้นซาก ใต้เท้าเปาก็จะมีคุณความชอบเพิ่มขึ้นหลายเท่า การเลื่อนขั้นก็อีกไม่ไกลแล้ว” 

 

 

เปาอีฝานโบกมือ “เจ้าพูดผิดแล้ว ต่อให้บิดาข้ามีผลงานดีเด่นเพียงใด ช่วงเวลานี้ก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวข้องใจ “เพราะอะไร?” 

 

 

เปาอีฝานยิ้มแต่ไม่พูด 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนหัวข้อพูด “เมื่อพวกท่านเตรียมการไว้อย่างรัดกุม ข้าก็จะไม่เข้าไปช่วยแล้ว พรุ่งนี้หลังจากผลการสอบระดับจังหวัดของอี้เซวียนออกมา ข้าเตรียมจะเดินทางกลับวันมะรืนแต่เช้าตรู่ หากพวกท่านกวาดล้างพวกเขาได้สิ้นซาก อย่าลืมให้คนไปส่งข่าวนี้แก่ข้าด้วย” 

 

 

เปาอีฝานยิ้มตอบ “ไม่ต้องให้คนอื่นไปส่งข่าว พวกเราทั้งหมดปรึกษากันแล้ว หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ จะไปบ้านพวกเจ้า ถึงตอนนั้นข้าจะบอกข่าวดีนี้กับเจ้าด้วยตัวเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำ “ไม่มีปัญหา พอข้ากลับถึงบ้านจะตระเตรียมวัตถุดิบ ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกท่านกิน” 

 

 

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะกลับไปเตรียมตัว พวกเราอย่างช้าอีกสองวันให้หลังก็จะไปหา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “รีบร้อนถึงเช่นนี้? แค่วัตถุดิบสองวันข้ายังเตรียมไม่เสร็จเลย” 

 

 

เปาอีฝานถลึงตาใส่นาง “เจ้ายังจะพูด มิใช่เพราะเจ้าหรือ ไม่รู้ว่าเจ้ากรอกยากล่อมประสาทอะไรให้ฮุ่ยเอ๋อร์กิน พอเห็นหน้าข้าก็รบเร้าให้ข้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ จะได้ไปหาเจ้าได้โดยไว ข้าตกใจจนไม่กล้าไปหานางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน พูดอย่างสุขใจบนความทุกข์ของผู้อื่น “ที่แท้คุณชายเปาก็มีช่วงเวลาที่หวาดหวั่นด้วย” 

 

 

เปาอีฝานเองก็จนปัญญา “น้อยครั้งที่ฮุ่ยเอ๋อร์จะถูกชะตากับใครได้เช่นนี้ เจ้าเป็นคนแรก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกเขา “เช่นนั้นท่านก็แย่แล้ว ภายหน้าหากท่านกล้ารังแกข้า ข้าจะบอกพี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ให้นางจัดการท่าน ระบายแค้นแทนข้า” 

 

 

เปาอีฝานพูดอย่างขบขัน “ด้วยฝีมืออย่างเจ้า ใครจะรังแกเจ้าได้?” 

 

 

ทั้งสองพูดคุยสรวลเสอีกครู่หนึ่ง หวังหู่ก็ยกอาหารเข้ามา 

 

 

เปาอีฝานลุกขึ้น “ทางนั้นข้ายังมีสหายอีกสองคน ไม่อยู่กินข้าวกับเจ้าแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นบอกเขา “พวกเราพักอยู่โรงเตี๊ยมซิงหลงไม่ไกลจากสนามสอบ หากพวกท่านมีเรื่องอันใด ไปหาข้าที่นั่นได้” 

 

 

เปาอีฝานพยักหน้าแล้วจากไป 

 

 

ทั้งสามกินข้าวเสร็จ หูจื่อมาส่งพวกเขาถึงนอกภัตตาคาร ย้ำกำชับเมิ่งเชี่ยนโยว พอพวกเขากลับไปจะต้องบอกบิดามารดาตัวเอง พ้นเดือนหน้าไปเขาก็จะได้กลับบ้านแล้ว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำหนักแน่น ตัวเองกลับไปยังไม่เข้าบ้านก็จะไปบอกข่าวดีนี้กับป้าหวังก่อน 

 

 

หวังหู่กล่าวขอบคุณไม่หยุด 

 

 

หลังจากบอกลาหวังหู่ เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า รู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาสอบเสร็จแล้ว จึงให้เหวินเปียวบังคับรถม้าไปจอดรอนอกสนามสอบ 

 

 

นอกสนามสอบมีคนมารอรับนักเรียนจำนวนมาก เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวนำรถม้าไปจอดในจุดที่ไกลออกไปจากสนามสอบ ตัวเองลงรถม้า เดินไปหน้าประตูใหญ่สนามสอบ รอเมิ่งอี้เซวียนออกมา 

 

 

ผ่านไปประมาณสองเค่อ เสียงกริ่งในสนามสอบก็ดังขึ้น นักเรียนทั้งหลายเก็บของเสร็จเรียบร้อย ทยอยกันเดินออกมา 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียนของตัวเองเดินตามนักเรียนออกมาด้วย เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่หน้าประตู สาวเท้าเร็วรี่เดินมาตรงหน้านาง แหงนใบหน้ากรุ้มกริ่ม มองนางอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา “อย่าเพิ่งลำพองใจไป รอผลการสอบออกมาค่อยว่ากัน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ถือสา ตามนางขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างชื่นบาน 

 

 

รถม้ามุ่งหน้ากลับ เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เหนื่อยหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “วันนี้มีเพียงสามสนาม ไม่เหนื่อยมาก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอย่างละเอียด เห็นสีหน้าเขาดีกว่าตอนสอบระดับอำเภอออกมาจริงๆ จึงวางใจลง 

 

 

กลับมาถึงโรงเตี๊ยม หลงจู๊รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ ถามการสอบเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้าพูดเต็มปากเกินไป จึงพูดว่ามั่นใจเจ็ดส่วน 

 

 

หลงจู๊ปิติยินดี สั่งเสี่ยวเอ้อหลังจากส่งน้ำร้อนไปให้พวกเขา ให้เข้าเมืองไปซื้อสิ่งของสำหรับการเฉลิมฉลอง เมื่อผลการสอบวันพรุ่งนี้ออกมา โรงเตี๊ยมพวกเขาจะได้ฉลองอย่างเอิกเกริก 

 

 

เสี่ยวเอ้อขานรับคำอย่างเบิกบาน หลังจากส่งน้ำร้อนไปห้องพวกเขาโดยไว ก็รับเงินแล้ววิ่งเข้าเมืองไปทันที 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนล้างหน้าล้างตาเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขานอนพักผ่อนบนเตียง 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าเชื่อฟัง นอนบนเตียง หลับตาลง ตอนที่เคลิ้บๆ กำลังจะหลับ หลงจู๊ก็มาเคาะประตู “แม่นาง ด้านนอกมีคนต้องการพบพวกท่าน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนลืมตาขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างปิติ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูออก หลงจู๊ยืนสอบถามหน้าประตู “แม่นาง ด้านล่างมีคนมาหาพวกท่าน จะให้พวกเขาขึ้นมาหรือไม่?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ให้พวกเขาขึ้นมาเถอะ รบกวนหลงจู๊แล้ว” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพรวดพราดลุกขึ้น จัดระเบียบเตียงนอนและเสื้อผ้าตัวเอง มายืนรอหน้าประตูพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

ทั้งสามคนเดินเรียงหน้าขึ้นมา เป็นนักเรียนคนนั้นและบิดามารดาของเขานั่นเอง 

 

 

เห็นทั้งสองคนยืนข้างประตู บิดามารดาของนักเรียนคนนั้นร้องพูดเสียงลั่น “บุตรชายข้าชอบกระเป๋านักเรียนใบนั้นมากจริงๆ พอสอบเสร็จก็ร้องจะมาให้ได้ ไม่รบกวนพวกเจ้าพักผ่อนกระมัง” 

 

 

“ไม่เลย พวกเราก็เพิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมล้างหน้าล้างตา พวกท่านเชิญเข้ามาข้างในเถอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มตอบ 

 

 

ทั้งสามเข้ามาในห้อง สายตาของนักเรียนคนนั้นก็ทำการคว้านหา พอเห็นกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียน ก็สะท้อนสีหน้าริษยาและชื่นชอบ 

 

 

คนทั้งหมดนั่งลง บิดานักเรียนคนนั้นแนะนำตัว “ข้ามีนามว่าจางฟู่กุ้ย เป็นพ่อค้า นี่คือภรรยาข้า นี่คือบุตรชายข้าจางเฉิง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายทุกคนอย่างจริงจังตั้งใจ 

 

 

จางฟู่กุ้ยเอ่ยปากกล่าวต่อ “ที่พวกเรามาวันนี้ แม่นางก็ทราบดี เพื่อจะมาถามว่าบ้านของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน จะได้เข้าไปเจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนกับบิดามารดาของเจ้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนๆ “เถ้าแก่จางไม่ต้องไปบ้านพวกเราแล้ว คุยกับน้องชายข้าได้ตามตรง การค้ากระเป๋านักเรียนของครอบครัวพวกเรา เขาเป็นคนดูแล” 

 

 

จางฟู่กุ้ยตกใจเบิกตาโพลง แม้แต่ฮูหยินจางยังมองประเมินพวกเขาใหม่อีกครั้งอย่างไม่เชื่อ 

 

 

ทั้งสองนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่สะทกสะท้าน ให้พวกเขามองประเมินได้ตามใจ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด