ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 217-3 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 217-3 ข้าไม่ใช่คนจิตใจดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอคิดว่ากลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนจะได้เงินค่าแรงมากเช่นนั้น เมิ่งชื่อก็ให้ดีใจกว่าปกติ เอาแต่พูดไม่หยุดตลอดทาง

 

 

เมิ่งเชียนโยวอมยิ้มรับฟัง

 

 

สองแม่ลูกยังเดินไม่ถึงหน้าประตูบ้าน ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาหน้าประตู เมิ่งชื่อประหลาดใจ ดึงเมิ่งเชียนโยวให้เดินเร็วขึ้น มาหยุดตรงหน้าชายคนนั้น ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านมาพบใคร?”

 

 

ชายคนนั้นเงยหน้า มองเมิ่งเชียนโยวแล้วพูดว่า “เจ้าคือแม่นางเมิ่งสินะ เถ้าแก่จางบอกที่อยู่ของเจ้าแก่ข้า ข้าหาอยู่นานกว่าจะเจอ เขาให้ข้ามาแจ้งข่าวเจ้า ให้เจ้ารีบทำการจัดส่งกระเป๋านักเรียนสองพันใบ แบบประณีตหนึ่งพันห้าร้อยใบ แบบธรรมดาห้าร้อยใบ”

 

 

เมิ่งชื่อดีใจหน้าบาน หากไม่เพราะไม่รู้จักชายตรงหน้า คาดว่าคงดีใจจนกระโดดโลดเต้นเป็นเด็กแล้ว

 

 

เมิ่งเชียนโยวแคลงใจถาม “ท่านคือ?”

 

 

ชายหนุ่มตอบกลับ “ข้าเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่จาง เมื่อวานเข้าไปในจังหวัดได้พบเขาพอดี เขาจึงฝากให้ข้ามาแจ้งข่าว”

 

 

เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า พูดอย่างมีมารยาท “ขอบคุณมาก”

 

 

ชายหนุ่มโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แม่นางไม่ต้องขอบคุณ เมื่อแจ้งข่าวเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”

 

 

เมิ่งเชียนโยวรั้งเขาไว้ “รบกวนท่านเดินทางมาไกล ตอนนี้ก็ยามเที่ยงแล้ว ท่านกินอาหารเที่ยงแล้วค่อยไปเถิด”

 

 

ชายหนุ่มส่ายหน้า “วันนี้พอออกมาจากจังหวัดข้าก็ตรงมาบ้านพวกเจ้า ข้าต้องรีบกลับบ้าน เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นห่วง”

 

 

เมิ่งเชียนโยวจึงไม่เหนี่ยวรั้งเขาไว้ กล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง ถึงมองส่งเขาจากไปจนลับตา

 

 

กระทั่งชายหนุ่มจากไปไกลแล้ว เมิ่งชื่อก็สะกดอารมณ์ตนเองไม่อยู่อีกต่อไป คว้ามือเมิ่งเชียนโยวมาจับไว้แน่น “โยวเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่ เถ้าแก่จางต้องการกระเป๋านักเรียนคราเดียวถึงสองพันใบ”

 

 

เมิ่งเชียนโยวเห็นท่าทีดีอกดีใจของนาง ยกยิ้มพูด “ได้ยินแล้ว ยินดีกับท่านด้วย ครานี้ท่านแม่จะร่ำรวยใหญ่แล้ว”

 

 

เมิ่งชื่อยิ่งทวีความเบิกบาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “เมื่อวานแม่มองดูกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วในโรงงาน ยังให้กลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าจะขายออกไปได้เมื่อไร ครานี้ดีแล้ว เถ้าแก่จางพูดคำเดียวก็ต้องการมากเพียงนี้ ช่วงเวลานี้เราคงไม่มีสินค้าสำรองไว้แล้ว” พูดจบ ปล่อยมือเมิ่งเชียนโยว ล้วงกุญแจเปิดประตูบ้าน ด้านหนึ่งเร่งฝีเท้าเดิน ด้านหนึ่งพูดว่า “ไม่ได้การ แม่ต้องรีบไปทำกับข้าว กินอิ่มแล้วจะได้กลับไปโรงงาน นับดูว่าพวกเรามีกระเป๋านักเรียนมากขนาดนั้นหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชียนโยวมองดูท่าทีลุกลี้ลุกลนของนาง ก็ให้หลุดขำ ทว่าคำพูดของเมิ่งชื่อก็ช่วยเตือนใจนาง ตอนนี้จะต้องจดบันทึกจำนวนกระเป๋านักเรียนที่ทุกคนเย็บได้ในแต่ละวันไว้ และยังต้องจดบันทึกจำนวนสินค้าที่ขายออกไปและสินค้าคงคลังเอาไว้ พอมีคนมาสั่งสินค้าแค่ดูสมุดบัญชีก็จะรู้ทันทีว่ามีสินค้าคงคลังเท่าใด ไม่เหมือนกับตอนนี้ สั่งทีก็ไปนับที

 

 

ตอนกินอาหารเที่ยง เมิ่งชื่อบอกข่าวดีนี้กับคนทั้งครอบครัว เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีอกดีใจ

 

 

เมิ่งเชียนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของพวกเจ้าพอดี พวกเจ้าตามข้าไปส่งกระเป๋านักเรียนในจังหวัดเถอะ”

 

 

ช่วงเวลานี้ซุนเหลียงไฉตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเชื่อฟังมาตลอด เบื่อจนแทบคลั่งแล้ว พอได้ยินเมิ่งเชียนโยวพูดเช่นนี้ ดีใจลิงโลดวางหมั่นโถวในมือลง ลุกขึ้นเต้นแรงเต้นกาอยู่ในครัว

 

 

เมิ่งเชียนโยวรู้ว่าช่วยเวลานี้ทำเขาเหนื่อยยากมาก ยอมให้เขาปล่อยพลังครู่หนึ่ง ถึงกระแอมเบาๆ ส่งสัญญาณให้เขาหยุดตามความเหมาะสม

 

 

ซุนเหลียงไฉได้ยินเสียงกระแอมของนาง ถลากลับมาตรงหน้าชามข้าวของตัวเอง หยิบหมั่นโถวที่ตัวเองวางไว้ขึ้นมากัดกิน

 

 

คนทั้งครอบครัวขบขันในท่าทีของเขา

 

 

ผู้ใหญ่บ้านที่พอคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับเมิ่งเชียนโยวสองวัน ก็แย้มยิ้มหวานละมุน

 

 

เวลาเข้างานช่วงบ่าย เมิ่งชื่อเข้ามาบอกข่าวดีในโรงงาน กลุ่มหญิงสาวต่างยินดีปรีดา วางงานในมือลง ช่วยกันนับกระเป๋านักเรียนในโรงงาน เมิ่งเชียนโยวหันไปพูดกับสะใภ้ใหญ่โจว “ข้าเตรียมสมุดบัญชีไว้หนึ่งเล่ม ต่อไปรบกวนท่านจดบันทึกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระเป๋านักเรียน โดยเฉพาะจำนวนสินค้าคงคลัง เช่นนี้ต่อไปพวกเราจะได้ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้อีก”

 

 

สะใภ้ใหญ่โจวในฐานะสะใภ้ใหญ่สกุลปัญญาชน ย่อมต้องรู้หนังสือ จึงไม่ได้บอกปัด พยักหน้ารับปากจะทำให้

 

 

คนทั้งหมดยุ่งวุ่นวายอยู่ค่อนวันถึงนับเสร็จ มีกระเป๋านักเรียนทั้งหมดสองพันสามร้อยใบ แบบธรรมดามีพอดี แบบประณีตมีมากกว่าร้อยกว่าใบ

 

 

เมิ่งเชียนโยวบอกให้พวกเขานำกระเป๋านักเรียนตามจำนวนที่ต้องการวางไว้อีกด้าน แล้วให้สะใภ้ใหญ่โจวบันทึกจำนวนที่เหลือไว้ จากนั้นตะโกนเรียกพวกอู๋ต้า ให้พวกเขาแบ่งกระเป๋านักเรียนออกแล้วมัดกองละหนึ่งร้อยใบ

 

 

ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย

 

 

ช่วงวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อก็ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลังจากทั้งครอบครัวกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชียนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่แยกกันบังคับรถม้ามาที่โรงงาน ให้พวกอู๋ต้านำกระเป๋านักเรียนที่มัดดีแล้วไปวางบนรถม้าอย่างเป็นระเบียบ หลังจากฟังเมิ่งชื่อสั่งกำชับครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้าเข้าจังหวัด

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ซุนเหลียงไฉเดินทางไกล เอาแต่ตื่นเต้นลิงโลดใจ หลังจากออกจากตำบลชิงซีก็เอาแต่เลิกม่านรถ ชะเง้อชะแง้มองออกไปด้านนอก

 

 

อากาศอบอุ่นขึ้นมาก พอเปิดม่านรถออกลมเย็นเอื่อยก็พัดเข้ามา ทำให้สบายตัวสบายใจยิ่งนัก เมิ่งเชียนโยวจึงไม่ได้ห้ามปราบเขา ปล่อยให้เขาเปิดม่านรถตามใจ

 

 

แม้เมิ่งอี้เซวียนจะนิ่งขรึมกว่าบ้าง แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก ไม่ทันไรก็ถูกภาพทิวทัศน์ด้านนอกดึงดูดใจ ขยับไปที่ท้ายรถพร้อมกับซุนเหลียงไฉ ชื่นชมทิวทัศน์ไปพลางพูดคุยหยอกล้อหัวเราะคิกคักกับซุนเหลียงไฉไปพลาง

 

 

เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มมองพวกเขาอยู่ในรถม้า

 

 

รถม้าบรรทุกกระเป๋านักเรียนมาสองพันใบ วิ่งไม่เร็วมาก ใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันถึงจะมาถึงจังหวัด ตะวันเหนือศีรษะล่วงเลยเวลาเที่ยงมาแล้ว

 

 

ซุนเหลียงไฉที่พูดคุยมาตั้งแต่เช้า พอยามบ่ายพลังงานหดหาย ไม่เหลือความกระปรี้กระเปร่า นั่งซึมอยู่ในห้องโดยสาร

 

 

เหวินเปียวมาส่งสินค้าหลายครั้ง รู้จักร้านของเถ้าแก่จาง พอเข้ามาถึงตัวจังหวัด ก็ไม่รอช้า บังคับรถม้าตรงมาหน้าร้านทันที

 

 

หน้าร้านค้ามีพนักงานกำลังมองมาทางนี้พอดี เห็นเหวินเปียวบังคับรถม้าเข้ามา ก็รีบหันไปตะโกนบอกพนักงานในร้าน “รีบไปเรียนนายท่าน รถส่งกระเป๋านักเรียนมาแล้ว”

 

 

พนักงานในร้านขานรับวิ่งเข้าไปร้องเรียกจางฟู่กุ้ยหลังร้าน

 

 

ตอนที่จางฟู่กุ้ยเดินฉับๆ มาถึงหน้าประตู รถม้าสองคันก็มาถึงหน้าประตูร้านค้าพอดี รถม้าจอดสนิทแล้ว เมิ่งเชียนโยวเดินลงมา เถ้าแก่จางเห็นนาง ไม่ทันได้ทักทายก็โพล่งปากพูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้าเอากระเป๋านักเรียนมาส่งให้เสียที ข้าให้คนงานมาเฝ้ารอที่หน้าประตูตั้งแต่เที่ยง ร้อนใจแทบแย่แล้ว”

 

 

เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มอธิบาย “พวกเราออกมาตั้งแต่เช้าแล้ว บรรทุกกระเป๋านักเรียนสองพันใบมาด้วยทำให้วิ่งเร็วไม่ได้ ถึงได้มาถึงเอายามนี้ เถ้าแก่จางกระวนกระวายใจเช่นนี้ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

 

 

จางฟู่กุ้ยมิได้ตอบคำถามนาง หันไปสั่งการพนักงานในบ้าน “เร็วๆๆ รีบไปขนถ่ายกระเป๋านักเรียนลงมา”

 

 

พนักงานในบ้านวิ่งกรูกันออกมา ช่วยกันขนถ่ายกระเป๋านักเรียนคนละไม้ละมือ

 

 

จางฟู่กุ้ยถึงมีเวลาตอบนาง “ตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย ก็มีพ่อค้าต่างถิ่นสองสามรายมารอซื้อกระเป๋านักเรียนกลับไปขาย พวกเจ้าไม่มาเสียที พวกเขาแทบทนรอไม่ไหวแล้ว”

 

 

เมิ่งเชียนโยวพูดอย่างรู้สึกผิด “เพื่อนของท่านมาส่งข่าวให้พวกเราเมื่อวานยามเที่ยง ข้ากลัวตอนกลางคืนจะมาไม่ถึงจังหวัด เกิดอันตรายระหว่างทาง จึงไม่ได้เข้ามา ถ่วงเวลาการค้าของท่าน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครั้งหน้าจะไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก”

 

 

จางฟู่กุ้ยเพียงเพราะร้อนใจจึงพลั้งปากพูดเช่นนั้นออกไป หลังจากพูดจบถึงรู้ว่าไม่เหมาะสม ตอนนี้มาได้ยินเมิ่งเชียนโยวกล่าวเช่นนี้ รีบร้อนพูด “ไม่ๆๆ เรื่องนี้ผิดที่ข้าเอง ข้าควรจะรีบส่งข่าวให้พวกเจ้า”

 

 

พ่อค้าสองสามคนที่เดิมทีนั่งดื่มน้ำชารอที่หลังร้าน พอได้ยินว่ากระเป๋านักเรียนมาถึงแล้ว ต่างก็วิ่งออกมาหน้าร้าน ให้จางฟู่กุ้ยรีบบรรทุกสินค้าให้พวกเขา

 

 

จางฟู่กุ้ยขานรับคำ พูดกับเมิ่งเชียนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ขออภัยด้วย เชิญเจ้าตามสบายก่อน รอให้ข้าจัดการส่งพ่อค้าทั้งหมดนี้เสร็จ ข้าค่อยมาต้อนรับดูแลเจ้า”

 

 

เมิ่งเชียนโยวพูดทันควัน “ท่านทำงานเถอะ ไม่ต้องรับรองข้า”

 

 

จางฟู่กุ้ยกระวีกระวาดหันหลังกลับเข้าไปในร้าน สั่งสินค้าให้พ่อค้าทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วให้พนักงานแยกย้ายกันนำขึ้นบรรทุกใส่รถม้า

 

 

กลับมาพูดถึงซุนเหลียงไฉ พอรถม้าจอดสนิท ซุนเหลียงไฉที่นั่งสะลึมสะลือสัปหงกก็มีชีวิตชีวาขึ้น กระโดดลงจากรถม้า ยืดเหยียดแขนขาร่างกาย พูดว่า “ไกลเหลือเกิน ข้าเมื่อยไปหมดแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้าตามมา

 

 

ซุนเหลียงไฉหันมองโดยรอบอย่างหน้าตื่นตาตื่นใจ พูดด้วยอารามคึกคัก “นี่ก็คือจังหวัดหรือ หรูหราโอ่อ่ากว่าตำบลชิงซีของพวกเรานัก”

 

 

ตอนสอบถงเซิงเมิ่งอี้เซวียนเคยเข้ามาในจังหวัดแล้ว จึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจขนาดนั้น

 

 

“ไป เซวียนเอ๋อร์ พวกเราไปเดินดูให้ทั่ว” ซุนเหลียงไฉพูด

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้ารับคำ หันมองเมิ่งเชียนโยว

 

 

เมิ่งเชียนโยวรู้ว่าตลอดเวลาที่เดินทางมาพวกเขาเบื่อหน่ายแย่แล้ว คิดว่าเถ้าแก่จางคงต้องใช้เวลาจัดแจงธุระอีกครู่ใหญ่ จึงพยักหน้าอนุญาต “ไปเถอะ แต่ห้ามไปไหนไกล เดินวนที่ถนนเส้นนี้ก็พอ แล้วให้กลับมาภายในเวลาหนึ่งก้านธูป”

 

 

ทั้งสองพยักหน้าเชื่อฟัง เร่งฝีเท้าเดินไปมองไปอย่างมีความสุข

 

 

บรรดาพ่อค้าต้องการกระเป๋านักเรียนไม่น้อย จางฟู่กุ้ยยุ่งวุ่นวายครู่ใหญ่ ถึงส่งพวกเขากลับไปหมด แล้วรีบเดินมาหน้าประตูร้าน พูดกับเมิ่งเชียนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ข้าบกพร่องแล้ว ขอเจ้าอย่าได้ถือสา”

 

 

เมิ่งเชียนโยวพูดกระเซ้า “ข้าหวังว่าต่อไปเถ้าแก่จางจะบกพร่องเช่นนี้บ่อยๆ เช่นนี้พวกเราจะได้ร่ำรวยมั่งคั่ง”

 

 

จางฟู่กุ้ยหัวเราะร่วน “แม่นางพูดถูกต้อง หากขายดิบขายดีเช่นนี้ทุกวัน พวกเราจะได้ร่ำรวยมั่งคั่ง”

 

 

พนักงานขนถ่ายกระเป๋านักเรียนบนรถม้าเสร็จ จัดเข้าที่เรียบร้อย ส่วนหนึ่งวางบนตู้แสดงในร้าน อีกส่วนหนึ่งนำไปไว้หลังร้าน

 

 

จางฟู่กุ้ยถึงพูดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง เชิญด้านใน”

 

 

เมิ่งเชียนโยวไม่ขยับ พูดอธิบาย “เซวียนเอ๋อร์และเหลียงไฉก็มาด้วย ออกไปเดินเล่นบนถนนด้วยความใคร่รู้ ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ข้าจะรอพวกเขาที่หน้าประตูก่อน”

 

 

จางฟู่กุ้ยได้ฟังก็พูดอย่างยินดี “คุณชายน้อยทั้งสองก็มาด้วย หลังจากเฉิงเอ๋อร์กลับมาก็เอาแต่บ่นถึงพวกเขา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด