ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 137

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 137 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
 เชิญกลับบ้าน

 

 

 

เมิ่งเสียนตกใจ รีบหยุดรถม้า

 

 

เด็กสาวเดินอย่างฉุนเฉียวเข้ามา พูดกับเมิ่งเสียน “พวกเรามารอที่หน้าตลาดหลายวันแล้ว ในที่สุดก็เจอเจ้า เจ้าทำลายชื่อเสียงคุณหนูพวกเรา ทำให้คุณหนูพวกเราหมั้นหมายไม่สำเร็จ วันนี้เจ้าจะต้องมีคำตอบให้พวกเรา”

 

 

เมิ่งเสียนเพิ่งเห็นชัดว่าเด็กสาวตรงหน้าคือสาวใช้ของคุณหนูที่วันนั้นถูกรถม้าของตนเองทำให้ตื่นตกใจ ได้ยินคำพูดนาง พลันไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาจากรถม้า ได้ยินคำพูดสาวใช้ก็ยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าเจ้าต้องการให้พี่ชายข้าให้คำตอบอย่างไร”

 

 

สาวใช้จำได้ว่านางเป็นใคร แค่นเสียงหึ พูดว่า “ยังจะมีคำตอบอันใดได้ พวกเจ้าต้องชดใช้สามีที่ดีให้คุณหนูของพวกเรา ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าอย่าหวังจะได้ไป” พูดจบก็สะบัดมือ คนที่แต่งกายเหมือนคนรับใช้ตรงเข้าล้อมรถม้า

 

 

สาวใช้พูดกับคนรับใช้หนึ่งในนั้น “เจ้ากลับไปเรียนนายท่านและฮูหยิน บอกว่าพวกเราเจอคนที่ทำลายชื่อเสียงคุณหนูแล้ว”

 

 

คนรับใช้รับคำ รีบวิ่งไปแจ้งข่าว

 

 

สาวใช้ชี้เมิ่งเสียนพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เดิมคุณหนูของพวกเราถูกทาบทามสู่ขอไว้แล้ว อีกฝ่ายเป็นคุณชายมั่งคั่ง รูปงามนามเพราะ รวยทรัพย์ล้นฟ้า ทั้งพึงพอใจคุณหนูของพวกเราเป็นอย่างมาก บอกว่าพ้นวันที่สิบเดือนอ้ายก็จะเข้ามาหมั้นหมาย แต่เรื่องที่คุณหนูของพวกเราล้มลงกลางถนนถูกเขาประคอง มีคนนำไปพูด เมื่อคุณชายผู้นั้นรู้เข้า บอกว่าคุณหนูของพวกเราไม่รักนวลสงวนตัว จึงไม่เข้ามาทำการหมั้นหมาย คุณหนูของพวกเราได้ยินคำที่แม่สื่อถ่ายทอดกลับมา วันๆ เอาแต่ร้องไห้น้ำตานอง ตอนนี้ร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว”

 

 

“ดังนั้น พวกเจ้าต้องการให้พี่ใหญ่ข้าแต่งงานกับคุณหนูของพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

สาวใช้แค่นเสียงหึ พูดว่า “สภาพเช่นเขา ไหนเลยจะคู่ควรกับคุณหนูของพวกเรา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “เช่นนั้นพวกเจ้ามาขวางพวกเรากลางถนนเพื่ออะไร”

 

 

“ข้าก็ไม่รู้ นายท่านและฮูหยินเพียงสั่งให้พวกเรามารอพวกเจ้าที่นี่ เพื่อพบว่าพวกเจ้ามาที่ตลาด ก็ให้กลับไปรายงาน” สาวใช้ตอบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

 

 

เมิ่งเสียนพูดอย่างไม่เป็นสุข “น้องสาว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเสียน พูดปลอบใจ “พี่ใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี”

 

 

เมิ่งเสียนคิดถึงคำพูดสาวใช้ แล้วก็คิดถึงคุณหนูผู้เลอโฉม ใบหน้าแดงเรื่อฉับพลัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างขบขัน

 

 

คนรับใช้ที่วิ่งไปแจ้งข่าววิ่งเหนื่อยหอบกลับมา พูดกับสาวใช้ว่า “พี่เซี่ยเหอ นายท่านให้เชิญคุณชายท่านนี้และคนในครอบครัวเขาไปที่บ้าน”

 

 

เซี่ยเหอถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะอะไร”

 

 

คนรับใช้ส่ายหน้า “นายท่านฟังข้ารายงานจบ ก็กำชับข้ามาเช่นนี้”

 

 

เซี่ยเหอมองคนทั้งหมดอย่างไม่พอใจ “ได้ยินหรือไม่ นายท่านของพวกเราให้พวกเจ้าตามพวกเรากลับไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มถาม “หากพวกเราไม่ไปเล่า”

 

 

เซี่ยเหอขึ้นเสียงสูง “พวกเจ้าอย่าอยู่ดีไม่ว่าดี นายท่านพวกเราเชิญพวกเจ้า พวกเจ้าอยากไปก็ต้องไป ไม่อยากไปก็ต้องไป”

 

 

เหล่าคนรับใช้ที่ล้อมรถม้าได้ยินเสียงดังลั่นของเซี่ยเหอ ขยับเข้าใกล้รถม้าขึ้น

 

 

เมิ่งเสียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “น้องสาว พวกเราไปเสียหน่อยเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วอย่างที่ไม่เคยเป็น ยิ้มพูด “เมื่อพี่ใหญ่บอกว่าไปพวกเราก็จะไป”

 

 

เซี่ยเหอแค่นเสียงหึ พูดว่า “นับว่าพวกเจ้ายังรู้ความ”

 

 

พูดจบด้านหนึ่งเดินไปที่รถม้าบ้านตนเอง อีกด้านสั่งคนรับใช้ที่ล้อมรถม้าพวกเมิ่งเสียน “พวกเจ้าทั้งหมดเฝ้าตามติดไป หากพวกเขาหนีไปได้ ก็จงรอกลับไปถูกโบยเถิด”

 

 

คนรับใช้รับคำ เดินตามหลังรถม้าไปติดๆ

 

 

รถม้าของเซี่ยเหออยู่ข้างหน้า เมิ่งเสียนบังคับรถม้าตามหลัง รถม้าสองคันตามกันมาถึงบ้านคุณหนูนางนั้น

 

 

เซี่ยเหอลงจากรถม้า พูดกับคนรับใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตู “เจ้าไปเรียนนายท่านและฮูหยิน บอกว่าพวกเรามาถึงแล้ว จะให้เข้าไปทั้งหมดหรือให้คุณชายท่านนี้เข้าไปคนเดียว”

 

 

คนรับใช้รับคำ รีบวิ่งเข้าไป ไม่นานก็วิ่งออกมา พูดกับเซี่ยเหออย่างนอบน้อม “นายท่านบอกว่าให้เชิญพวกเขาทั้งหมดไปที่ห้องรับแขก”

 

 

เซี่ยเหอพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “มอบรถม้าของพวกเจ้าให้คนรับใช้ของพวกเรา พวกเจ้าสองคนตามพวกเราเข้าไปเถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนมอบบังเ**ยนรถม้าให้คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่ข้างรถม้าแต่โดยดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้า ทั้งสามคนเตรียมจะเดินเข้าไปข้างใน

 

 

เซี่ยเหอกลับชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วร้องอุทาน “เขาเป็นใคร”

 

 

เมิ่งเสียนตอบนาง “นี่คือน้องชายข้า”

 

 

เซี่ยเหอพูดอย่างรำคาญ “สภาพน่าหวาดกลัวเช่นนี้เข้าไปจะทำให้นายท่านกับฮูหยินขวัญผวาได้ พวกเจ้าให้เขานั่งรออยู่บนรถม้าเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพลันสีหน้าอึมครึม

 

 

คนรับใช้ข้างๆ รีบพูดขึ้น “พี่เซี่ยเหอ ไม่เช่นนั้นข้าเข้าไปถามนายท่านก่อน ดูว่าจะอนุญาตให้เด็กคนนี้เข้าไปหรือไม่”

 

 

เซี่ยเหอโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู เรื่องนี้ข้าตัดสินใจได้ ข้าบอกว่าเข้าไม่ได้ก็คือเข้าไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นเยียบ หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราไป”

 

 

เมิ่งเสียนผลุนผลันไปรับบังเ**ยนกลับมา

 

 

เซี่ยเหอพูดเสียงดัง “พวกเจ้ายังไม่มีคำตอบให้เรื่องคุณหนูของพวกเรา จะไปได้อย่างไร ฝันไปเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเซี่ยเหออย่างเหยียดหยันแวบหนึ่ง พูดว่า “พี่ใหญ่ หากใครกล้าขวางทางรถม้าพวกเราอีก ก็ให้ก้าวย่ำผ่านคนผู้นั้นไป”

 

 

คนรับใช้รอบรถม้าได้ยินคำพูดเ**้ยมเกรียมของนาง ถอยหลังกรูดอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เซี่ยเหอพูดอย่างฉุนเฉียว “พวกเจ้ากล้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่แยแส “ยังไม่มีเรื่องที่ข้าไม่กล้าทำ ไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู”

 

 

พูดจบรับบังเ**ยนในมือเมิ่งเสียนมาแล้วพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านกับเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปนั่งในรถม้า วันนี้ข้าก็อยากเห็นว่า มีใครไม่กลัวตายกล้ามาขวางรถม้าของพวกเรา”

 

 

เมิ่งเสียนรู้ว่าวันนี้นางโมโหจริงๆ แล้ว ไม่กล้ายับยั้งนาง กำลังจะพาเมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้า หน้าประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “นานเช่นนี้แล้วเหตุใดแขกที่เชิญไว้ถึงยังไม่เข้าไปอีก นายท่านกับฮูหยินร้อนใจแทบรอไม่ไหวแล้ว”

 

 

เซี่ยเหอรีบพูดอย่างนอบน้อม “พ่อบ้าน น้องชายพวกเขามีรอยฟกช้ำทั่วใบหน้า น่าตกใจมาก ข้ากลัวพวกเขาจะทำนายท่านและคุณหนูตกใจไปด้วย จึงให้เขารออยู่บนรถม้า แต่พวกเขากลับไม่ยินยอม กลับคิดจะบังคับรถม้าจากไป”

 

 

พ่อบ้านได้ยินก็ตวาดใส่ “เหลวไหล พวกเขาเป็นแขกที่นายท่านเชิญมา จะไม่ให้เข้าไปได้อย่างไร”

 

 

เซี่ยเหอก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร

 

 

พ่อบ้านเดินไปตรงหน้าเมิ่งเสียน ประสานมือพูด “เซี่ยเหออายุยังน้อย ทำอะไรขาดความยั้งคิด ขอทุกท่านอย่าได้ถือโทษ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถาง “พวกเราคนบ้านนอก ไหนเลยจะกล้าโกรธเคืองสาวใช้ของพวกท่าน”

 

 

พ่อบ้านนิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วพูดเอ็ดเซี่ยเหอ “ยังไม่รีบเข้าไปขอขมาพวกเขา”

 

 

ปกติพ่อบ้านจะเข้มงวดกับพวกเขามาก มีความเด็ดขาดเคร่งครัด เซี่ยเหอได้ยินดังนั้นไม่กล้าโต้แย้ง เดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ เอ่ยปากพูดอย่างขอไปที “ข้าทำเรื่องไม่รอบคอบ ขอพวกท่านอย่าได้ตำหนิโทษ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร

 

 

พ่อบ้านรีบพูด “เชิญทุกท่านด้านใน นายท่านและฮูหยินของพวกเรารออยู่นานแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ขยับเขยื้อน พูดว่า “น้องชายข้าใบหน้าอัปลักษณ์ เดี๋ยวจะทำฮูหยินคุณหนูของพวกท่านตื่นตกใจ พวกเราไม่เข้าไปดีกว่า”

 

 

พ่อบ้านมองเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง ใบหน้าขาวผุดมีรอยฟกช้ำไปทั่ว เห็นแวบแรกน่าตื่นตกใจจริงๆ แต่ก็ยังแย้มยิ้มพูด “คุณชายน้อยหน้าตาผุดผ่องเช่นนี้ ฮูหยินของพวกเราจะตกใจได้อย่างไร พวกท่านตามพวกเราเข้าไปเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีพ่อบ้านยังนับว่าใช้ได้ จึงมอบบังเ**ยนในมือให้คนรับใช้อีกด้าน หันไปพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกเราเข้าไปเถอะ”

 

 

ทั้งสองพยักหน้า

 

 

พ่อบ้านรีบร้อนนำทาง

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนเดินตาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหลังพูดกับคนรับใช้ “รถม้าคันนี้เพื่อพาน้องชายข้ามารับการรักษา จึงตั้งใจยืมหวังต้าซ่านมา พวกเจ้าต้องดูแลให้ดี หากมีอะไรผิดพลาด ขายพวกเราไปทั้งครอบครัวก็ยังชดใช้ไม่หมด”

 

 

ได้ยินคำพูดนาง พ่อบ้านหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นเดินหน้าต่อไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาอย่างเงียบๆ

 

 

พ่อบ้านพูดเข้ามาด้านในอย่างพินอบพิเทา “นายท่าน ฮูหยิน แขกมาถึงแล้ว”

 

 

ชายด้านในส่งเสียงออกมา “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”

 

 

พ่อบ้านขานรับ ผลักประตูห้องรับแขกออก เชิญคนทั้งหมดเข้าไปอย่างนบนอบ

 

 

พอคนทั้งหมดเข้าไปแล้ว ก็ปิดประตู ยืนรอหน้าประตู

 

 

ทั้งสามเดินเข้ามาในห้องรับแขก เห็นเก้าอี้ด้านหน้ามีคู่สามีภรรยากลางคนคู่หนึ่งนั่งอยู่ ผู้หญิงเป็นมารดาของคุณหนูที่วันนั้นพวกเขาพามาส่ง ผู้ชายก็น่าจะเป็นพ่อของคุณหนูนางนั้น

 

 

หญิงวัยกลายคนเห็นทั้งสามคนเข้ามา ก็ลุกขึ้น พูดทักทายอย่างสนิทสนม “พวกเจ้ามาแล้ว เชิญนั่งก่อน”

 

 

ทั้งสามกล่าวคำขอบคุณ นั่งตัวตรงหน้ากระดานเรียงหนึ่งบนเก้าอี้ด้านข้าง

 

 

หญิงวัยกลางคนสั่งสาวใช้ “รีบรินน้ำชาให้แขกสำคัญ”

 

 

สาวใช้ยกน้ำชาออกมาโดยเร็ว วางไว้หน้าพวกเขาทีละคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างระวัง

 

 

ชายวัยกลางคนเห็นนางไม่มีมารยาทเช่นนี้ มุ่นหัวคิ้ว พูดอย่างน่าเกรงขาม “วันนี้กระทำการอุกอาจให้สาวใช้ไปเชิญทุกท่านมา ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ขอทุกท่านอย่าได้ถือโทษ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจิบน้ำชาอีกคำ ถึงถือถ้วยชาพูดเยาะหยัน “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว การถูกท่านเชิญมาที่เรือน นับเป็นความโชคดีของคนบ้านนอกอย่างพวกเรา จะตำหนิโทษท่านได้อย่างไร”

 

 

ชายวัยกลางคนฟังน้ำเสียงที่ไม่พอใจของนางออก ยิ่งขมวดคิ้วมุ่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามอย่างไม่รู้เรื่องอันใด “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านเชิญพวกเราสามพี่น้องมา ด้วยเพราะเรื่องอันใด”

 

 

ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง หญิงข้างๆ มองเขาอย่างลำบากใจแวบหนึ่ง พูดขึ้นอย่างกระดากเขิน “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเราเพียงอยากถามว่าคุณชายท่านนี้ปีนี้อายุเท่าใดแล้ว หมั้นหมายแล้วหรือยัง”

 

 

เมิ่งเสียนรีบลุกขึ้น พูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ปีนี้ข้าอายุได้สิบหกปี ยังมิได้หมั้นหมาย”

 

 

หญิงวัยกลางคนพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นก็ดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองนางอย่างประหลาดใจ

 

 

หญิงวัยกลางคนรู้สึกว่าตนเองเสียอาการ รีบร้อนอธิบาย “ข้าหมายถึงว่าคุณชายท่านนี้อายุกำลังดี”

 

 

ชายวัยกลางคนเห็นเมิ่งเสียนยังนับว่ามีมารยาท คลายคิ้วที่ขมวดมุ่นออก เอ่ยปากพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว จะพูดตามตรงกับพวกเจ้า ที่พวกเราเชิญพวกเจ้ามานั้น เพราะอยากมอบอวี่เอ๋อร์ของพวกเราให้แต่งงานกับคุณชายท่านนี้”

 

 

“อะไรนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวลืมถ้วยชาที่ยังถืออยู่ในมือ ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตกใจ น้ำร้อนในถ้วยกระเซ็นออกมา ราดรดมือนาง นางทนเจ็บไม่ไหว สะบัดมือ ถ้วยชาหล่นหลุดมือตกพื้นแตกกระจาย น้ำชาสาดกระเซ็นไปทั่ว

 

 

ชายวัยกลางคนเห็นนางหยาบกระด้าง ชักสีหน้าเข้ม

 

 

เมิ่งเสียนรีบเดินขึ้นหน้า มองมือนาง ถามเป็นพรวน “น้องสาว ลวกมือหรือไม่ จะไปโรงหมอตอนนี้เลยหรือไม่”

 

 

หญิงวัยกลางคนเห็นเมิ่งเสียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวมาตรวจดูอย่างไม่หลบเลี่ยง สีหน้าเคร่งขรึมลง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดมือตัวเองไปมาอย่างไร้กิริยา พูดกับเมิ่งเสียนอย่างดีใจ “พี่ใหญ่ ท่านได้ยินหรือไม่ พวกเขาคิดจะมอบบุตรสาวของตัวเองให้แต่งงานกับท่าน คราวนี้ดีแล้ว พอพวกเรากลับไป จะได้ไปคุยโวป่าวประกาศให้รู้กันทั่ว”

 

 

ชายวัยกลางคนและหญิงวัยกลางคนสีหน้าเข้มขึ้นกว่าเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสะกิดเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ยังไม่รีบกล่าวขอบคุณ”

 

 

เมิ่งเสียนมองนางอย่างไม่เข้าใจ รีบร้อนกล่าวขอบคุณ

 

 

หญิงวัยกลางคนฝืนยิ้มแห้งๆ สั่งสาวใช้ให้เก็บกวาดเศษแก้วบนพื้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขอขมา “ขออภัยด้วย ข้าเสียมารยาทไป เพราะได้ยินข่าวนี้ทำให้ข้าตกใจเกินไป พวกเราคิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะยอมยกคุณหนูของพวกท่านให้แต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า ต้องรู้ว่าที่บ้านนอกของพวกเรา มีเพียงบุตรชายของหวังต้าซ่านที่ได้แต่งงานกับคุณหนูในเมือง”

 

 

“พวกเจ้าเป็นคนที่ไหน” ชายวัยกลางคนถาม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาโต พูดอย่างประหลาดใจ “พวกท่านไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนที่ไหน ก็กล้ายกคุณหนูให้มาแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า”

 

 

หญิงวัยกลางคนหน้าแดง ไม่ได้พูดต่อ

 

 

ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง พูดว่า “ก่อนปีใหม่ เรื่องที่รถม้าบ้านพวกเจ้าทำให้อวี่เอ๋อร์ตกใจล้มไปกองกับพื้น ถูกนำไปพูดครึกโครมไปทั่วตำบล ตอนนี้ไม่มีแม่สื่อคนไหนยินดีมาพูดทาบทามอวี่เอ๋อร์อีก อวี่เอ๋อร์อายุสิบห้าปีแล้ว หากยังไม่หมั้นหมายจะกลายเป็นสาวเทื้อคาเรือน พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก ถึงคิดอุบายนี้ อย่างไรบ้านพวกเจ้าก็มีรถม้า ไม่เหมือนคนยากจน แม้จะเป็นคนบ้านนอก หลังจากอวี่เอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วก็คงไม่ต้องลำบากมาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “สวรรค์ พวกท่านไม่รู้หรือ รถม้าที่พวกเรานำมาพวกเรายืมหวังต้าซ่านในหมู่บ้านมา บ้านพวกเราหาได้มีไม่”

 

 

ถ้วยชาในมือหญิงวัยกลางคนตกลงพื้นดัง “เคร้ง” น้ำชาข้างในสาดกระเซ็นออกมา ไม่ทันให้สาวใช้มาเช็ด รีบร้อนถามขึ้น “รถม้านั้นพวกเจ้ายืมมา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หวังต้าซ่านที่หมู่บ้านพวกเราเป็นคนดีมาก ไม่ว่าบ้านไหนมีเรื่องไปยืมรถม้าบ้านเขา เขาไม่เคยอิดออด”

 

 

หญิงวัยกลางคนหันไปร้องเรียกชายวัยกลางคน “ท่านพี่!”

 

 

ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะลึงงัน พอได้ยินหญิงวัยกลางคนร้องเรียกถึงตื่นจากภวังค์ ถามกลับอย่างไม่เชื่อ “รถม้านั้นพวกเจ้ายืมมาจริงๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริงแท้แน่นอน”

 

 

ชายวัยกลางคนมองประเมินพวกเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างข้องใจ “ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้า ก็ไม่เหมือนคนบ้านนอกยากจนข้นแค้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามจริงเพียงครึ่งเดียว “ท่านปู่ข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงหลายแห่ง ดังนั้นความเป็นอยู่ของพวกเราจึงดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย”

 

 

ชายวัยกลางคนมองประเมินพวกเขาอย่างไม่แน่ใจอีกครู่ใหญ่

 

 

เมิ่งเสียนไม่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาไม้ไหน แต่ก็ไม่กล้าพูดเปิดโปง ได้แต่แอบดึงเสื้อนาง อยากถามว่าเหตุใดนางต้องพูดโกหก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับจงใจพูดเสียงดังขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องกลัว ข้าว่านิสัยของคุณหนูคนนี้ดีใช้ได้อยู่ หากพวกท่านแต่งงานกันแล้ว ต่อไปพวกท่านก็ย้ายมาอยู่บ้านพวกเขา ถึงตอนนั้นข้ากับน้องเล็กและท่านพ่อท่านแม่ก็จะมาขออาศัยใบบุญ อยู่บ้านเศรษฐีด้วย”

 

 

เมิ่งเสียนรีบชักมือกลับ ร้อนรนพูด “น้องสาว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งบิดเบือนเจตนาเขา “ข้ารู้ ท่านไม่อยากมาอยู่บ้านคุณหนูท่านนี้ แต่บ้านเราเป็นเพียงบ้านกระต๊อบเก่าๆ สามห้อง ไม่มีที่เป็นห้องหอให้พวกท่าน”

 

 

เมิ่งเสียนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี กระวนกระวายจนเหงื่อผุดซึมหน้าผาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างเป็นกันเองแล้วพูดกับหญิงและชายวัยกลางคน “พี่ใหญ่ข้าเป็นคนเงียบๆ บางครั้งมีคำพูดที่ปลายลิ้นกลับพูดไม่ออก หวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสา” พูดจบหันไปพูดปลอบใจเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องใจร้อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูด เพราะนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว จะได้ให้พวกเขาจัดสำรับอาหารให้พวกเราสักมื้อ ข้าโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยกินข้าวในเมืองสักครั้ง อีกประเดี๋ยวจะต้องกินให้อิ่มหนำ”

 

 

ชายและหญิงวัยกลางคนหันหน้าสบตากัน

 

 

ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้ง พูดกับทุกคนว่า “เมื่อครู่ข้าคิดทบทวนดู พวกเราทำเช่นนี้ หุนหันพลันแล่นเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าและฮูหยินจะปรึกษากันอีกครั้ง ค่อยเชิญพวกเจ้ามาใหม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำอย่างผิดหวัง จากนั้นก็พูดอย่างเริงร่าอีกครั้ง “ข้าจะบอกว่าบ้านพวกเราอยู่ที่ไหนแล้วกัน เดี๋ยวพอพวกท่านหารือได้จะไม่รู้ว่าต้องไปหาพวกเราที่ไหน”

 

 

หญิงวัยกลางคนรีบโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจ “เหตุใดถึงไม่ต้องแล้ว พวกท่านจะกลับคำ ไม่อยากให้บุตรสาวของพวกท่านแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้าแล้วหรือ”

 

 

หญิงวัยกลางคนถูกพูดจี้จุด ใบหน้าแดงก่ำพลัน กลับยังฝืนพูด “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ได้หมายความเช่นนั้น พวกเราอยากถามความเห็นของอวี่เอ๋อร์ค่อยทำการตัดสินใจ”

 

 

สิ้นเสียงหญิงสาว ผ้าม่านประตูเล็กข้างห้องรับแขกก็ถูกเปิดออก คุณหนูใบหน้าซูบผอมถูกเซี่ยเหอประคองเข้ามา ด้านหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้า ด้านหนึ่งพูดขึ้น “ท่านแม่ ไม่ต้องแล้ว ข้ายินดีกับการแต่งงานนี้”

 

 

คนทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะปรากฏตัวขึ้นในห้องรับแขก ทั้งยังพูดวาจาเช่นนั้น พลันตะลึงงันกันอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครมีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

หญิงวัยกลางคนร้องเรียกอย่างปวดใจ “อวี่เอ๋อร์”

 

 

คุณหนูท่านนี้ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ ทั้งหมดนี้คือชะตาฟ้าลิขิต ท่านรับปากเถอะ”

 

 

“แต่พวกเขาเป็นคนบ้านนอกที่ไม่มีอะไรเลย แต่เล็กเจ้าไม่เคยต้องลำบาก หากแต่งงานไปแล้วต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างปวดใจ

 

 

คุณหนูพูดอย่างซังกะตาย “ชื่อเสียงข้าป่นปี้หมดแล้ว หากไม่แต่งกับเขา ภายหน้าก็จะไม่มีใครขอข้าอีกแล้ว”

 

 

หญิงวัยกลางคนมองสภาพบุตรสาว ปวดใจน้ำตาไหลพราก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูคุณหนูตรงหน้า ระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่โครงกระดูก รู้สึกตกใจไม่น้อย หยั่งเชิงถามขึ้น “คุณหนูท่านนี้ เจ้าป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด