ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 169-2 สอบได้ถงเซิง

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 169-2 สอบได้ถงเซิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อึดใจต่อมา จางฟู่กุ้ยกล่าวชมเชย “พวกเจ้าอายุเพียงเท่านี้ ก็สามารถรับผิดชอบการงานเองได้ บิดามารดาพวกเจ้าช่างโชคดีนัก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอมยิ้มไม่พูดอะไร 

 

 

จางฟู่กุ้ยหันมาถามเมิ่งอี้เซวียน “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาเจรจากัน พวกเจ้าจะขายกระเป๋านักเรียนอย่างไร?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนลอบมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทีจะช่วยเขาสักนิด กลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างประหม่า ถึงตอบออกไปเสียงแผ่ว “กระเป๋านักเรียนของพวกเรามีสองแบบ แบบหนึ่งใช้เนื้อผ้าชั้นดี แบบหนึ่งใช้เนื้อผ้าละเอียด แต่ละแบบก็จะมีลวดลายภาพแตกต่างกัน แต่แบบของกระเป๋าเหมือนกัน โดยปกติแบบคุณภาพดีพวกเราขายใบละสิบตำลึง คุณภาพรองลงมาราคาใบละห้าตำลึง” 

 

 

จางฟู่กุ้ยย่นหัวคิ้ว “ราคาสูงเช่นนี้ เกรงจะขายได้ยาก” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่หรอก บรรดานักเรียนในโรงเรียนประจำตำบลของพวกเราล้วนแต่ซื้อแบบคุณภาพดีไปแทบจะทุกคน อีกทั้งแต่ละคนยังซื้อหลายใบ แต่ละวันเปลี่ยนสะพายลวดลายไม่ซ้ำกันมา ความสามารถในการซื้อของผู้คนในตัวจังหวัดจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนตำบลเล็กๆ อย่างพวกเรา” 

 

 

เห็นเขาพูดจามีเหตุมีผล จางฟู่กุ้ยถึงเชื่อมั่นในคำพูดเมื่อครู่ของเขาอย่างสนิทใจ เก็บคืนปฏิกิริยาไม่แยแส เจรจากับเมิ่งอี้เซวียนอย่างจริงจัง “ที่เจ้าพูดมาเป็นสถานการณ์ที่มีช่องทางการค้าแล้ว ตอนนี้ในตัวจังหวัดยังไม่เคยมีกระเป๋านักเรียนอวดโฉม ทั้งราคาของพวกเจ้าก็สูงลิบ เกรงว่าในช่วงแรกจะขายไม่ค่อยดี” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มอ่อนเย้ายวน “เถ้าแก่จางผิดแล้ว วันนี้ข้าสะพายกระเป๋านักเรียนไปสนามสอบ มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยได้เห็นแล้ว เกรงว่าจากนี้ไปพวกเขาจะต้องเสาะถามไปทั่วว่าที่ไหนมีขายกระเป๋านักเรียนที่งดงามเช่นนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาทองของการค้าขาย หากท่านรับกระเป๋านักเรียนปริมาณมากมาขายตอนนี้ ข้าเชื่อว่าจะต้องถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว” 

 

 

คิดถึงแววตาอิจฉาอยากได้ของบุตรชายและนักเรียนคนอื่น จางฟู่กุ้ยก็รู้สึกว่าเมิ่งอี้เซวียนพูดถูกต้องทุกอย่าง ทว่าด้วยสัญชาตญาณพ่อค้าทำให้เขาพูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าพูดมาก็ถูก บางทีการรับกระเป๋านักเรียนมาขายต่อไปจะต้องขายดี แต่หากราคาแพงเกินไป อาจจะขายดีแค่ช่วงแรก ผ่านไปนานเข้าก็จะซบเซา ทว่าข้าอยากทำการค้าระยะยาว ดังนั้นเมื่อคิดถึงผลระยะยาว ข้าคิดว่าราคาของพวกเจ้ายังสูงไปเสียหน่อย” 

 

 

ในตอนนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูดว่า “ที่น้องชายข้าพูดเป็นกระเป๋านักเรียนราคาขายปลีก หากท่านรับสินค้าปริมาณมาก ราคาจะต้องถูกลงบ้าง” 

 

 

“อ่อ ถูกลงเท่าใด?” จางฟู่กุ้ยถามทันควัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้ม ตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “กระเป๋าคุณภาพดีของพวกเรา ต้นทุนอยู่ที่สี่ตำลึง พวกเราขอเป็นกำไรไว้สองตำลึง ส่วนที่เหลือก็เป็นของท่าน แน่นอน หากท่านคิดว่ากระเป๋านักเรียนขายดี คิดจะเพิ่มราคาขาย พวกเราก็ไม่สนใจ พวกเราต้องการเพียงหกตำลึง” 

 

 

“เช่นนั้นกระเป๋านักเรียนที่ถูกกว่าเล่า?” 

 

 

“กระเป๋านักเรียนที่ถูกกว่าได้กำไรทั้งหมดสามตำลึง พวกเราแบ่งกันคนละครึ่งก็แล้วกัน” 

 

 

จางฟู่กุ้ยไม่เห็นด้วย “พวกเจ้าแบ่งกำไรให้ข้าน้อยเกินไป ข้าแทบจะไม่ได้อะไรเลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ร้อนรน ยิ้มๆ แล้วมองเมิ่งอี้เซวียน 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนรับช่วงตอบกลับต่อ “ข้าคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระเป๋านักเรียนคุณภาพดีล้วนแต่เป็นนักเรียนที่มีฐานะทางบ้านดี ขอเพียงพวกเขาชอบ ก็จะไม่สนใจเรื่องราคาค่างวดเลย ส่วนกระเป๋านักเรียนคุณภาพรองจะขายให้นักเรียนที่มีฐานะทางบ้านธรรมดา ปกติหลังจากซื้อไปแล้วก็จะไม่ซื้ออีก ดังนั้นต่อให้ภายหน้ากระเป๋านักเรียนจะขายดีในจังหวัด กระเป๋านักเรียนคุณภาพรองก็จะเป็นเพียงสินค้าเสริม ขายได้ไม่กี่มากน้อย เมื่อคำนวณแล้ว มูลค่าที่ท่านได้รับย่อมมากกว่าพวกเราหลายต่อหลายเท่า” 

 

 

จางฟู่กุ้ยมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างพรึงเพริดอีกครั้ง ไม่คิดว่าเขาอายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักทำการบ้านมาเป็นอย่างดี อดชื่นชมอีกครั้งไม่ได้ “เจ้าอายุเพียงเท่านี้กลับมีพรสวรรค์ด้านการค้าได้ถึงเพียงนี้ อนาคตจะต้องรุ่งโรจน์เรืองรอง” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่าเขาจะชมเชยตนเองกะทันหันเช่นนี้ ใบหน้าน้อยๆ แดงฝาดระเรื่อพลัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “กระเป๋านักเรียนของครอบครัวพวกเราทุกใบล้วนแต่เป็นน้องชายข้าเป็นคนขายออกไป เขาย่อมรู้ลึกซึ้งดีว่ากระเป๋านักเรียนแบบไหนที่ขายดี นี่เป็นเพียงประสบการณ์ที่เขาได้รับมา ไม่ถือเป็นพรสวรรค์อะไร” 

 

 

จางฟู่กุ้ยเห็นนางถ่อมตนเช่นนี้ พูดด้วยแววอิจฉา “อยากพบบิดามารดาพวกเจ้านัก จะได้ขอคำชี้แนะจากพวกเขา ว่าเลี้ยงดูอย่างไรถึงได้เป็นบุตรชายบุตรีที่มีคุณภาพเช่นนี้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างซุกซน “หากพบบิดามารดาของข้าจริงๆ เกรงจะทำให้ท่านต้องผิดหวัง พวกเขาต่างเป็นเพียงคนบ้านนอกซื่อๆ ทำการค้าไม่เป็นหรอก” 

 

 

จางฟู่กุ้ยตกตะลึง “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าถึงทำการค้าได้เชี่ยวชาญเจนจัดเช่นนี้? มีผู้รู้คอยชี้แนะหรือ?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอก “ติดตัวพวกเราพี่น้องมาแต่เกิดกระมัง” 

 

 

จางฟู่กุ้ยหัวเราะเสียงลั่น 

 

 

หัวเราะเสร็จก็ชูนิ้วหัวแม่มือ “แม่นางกล่าววาจาได้อย่างไร้ช่องโหว่ น่านับถือยิ่ง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร 

 

 

จางฟู่กุ้ยเอ่ยปากต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตกลงตามราคาพวกเจ้า ข้าต้องการกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีหนึ่งร้อยใบ กระเป๋านักเรียนคุณภาพรองยี่สิบใบก่อน ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสามารถส่งสินค้าได้เมื่อใด?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ท่านไม่คิดจะไปดูที่บ้านพวกเราหรือ?” 

 

 

จางฟู่กุ้ยนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะร่วนอีกครั้ง “ได้ๆๆ ครั้งนี้ข้าจะไปดูที่บ้านพวกเจ้า ต่อไปพวกเจ้าจะต้องส่งสินค้าให้ข้า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” 

 

 

ทั้งสองฝ่ายเจรจาลุล่วง เมิ่งอี้เซวียนเขียนที่อยู่โดยละเอียดมอบให้จางฟู่กุ้ย 

 

 

จางฟู่กุ้ยรับมา พินิจดูอย่างถี่ถ้วน แล้วใส่ในอกเสื้อ ลุกขึ้นกล่าวคำลา 

 

 

จางเฉิงเดินไปพลางหันกลับมามองกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนอย่างอาวรณ์ไปพลาง 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนเห็นเช่นนั้น ร้องเรียกพวกเขา “ช้าก่อน” 

 

 

จางฟู่กุ้ยและภรรยาหยุดฝีเท้า หันกลับมาอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนนำสิ่งของทั้งหมดในกระเป๋านักเรียนของตัวเองออกมา นำกระเป๋านักเรียนยื่นไปตรงหน้าจางเฉิง “กระเป๋านักเรียนใบนี้ข้าเอามาสะพายก่อนที่จะเข้ามาในจังหวัด หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าขอมอบให้เจ้า” 

 

 

จางเฉิงยินดีมาก รับกระเป๋านักเรียนมาทันที แล้วทำตามอย่างเมิ่งอี้เซวียนนำมาสะพายหลังถามขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ ดูดีหรือไม่?” 

 

 

ฮูหยินจางเอาใจบุตรชาย พยักหน้ายิ้มๆ 

 

 

จางฟู่กุ้ยกล่าวอย่างรู้สึกไม่ดี “ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม จะเอากระเป๋านักเรียนของพวกเจ้าได้อย่างไร” แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่คงเพราะเห็นบุตรชายชอบมากจริงๆ จึงไม่ได้ให้เขาคืนกระเป๋านักเรียนให้เมิ่งอี้เซวียน 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับ “ข้ารู้สึกถูกชะตากับเขา ไม่แน่ว่าภายหน้าพวกเราจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กระเป๋านักเรียนนี้ถือว่าข้ามอบให้เขาเป็นของขวัญ” 

 

 

จางฟู่กุ้ยยิ่งทวีความชื่นชมเมิ่งอี้เซวียน 

 

 

ทั้งสามคนจากไปอย่างหน้าชื่นตาบาน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ที่คอยเฝ้าด้านนอกประตู “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” 

 

 

ทั้งสองพยักหน้า กลับเข้าห้องตัวเอง 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนหับบานประตู มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างปรีดา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชมเขา “ไม่เลวนะ เพียงแค่ใจร้อนไปเสียหน่อย ต่อไปเวลาเจรจาการค้าให้จำไว้ว่า อย่าให้อีกฝ่ายชักนำ จะต้องรักษาระดับความเร็วในการเจรจาของตัวเอง ถึงจะทำลายจังหวะของอีกฝ่าย ช่วงชิงผลประโยชน์สูงสุดให้ตัวเองได้” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหงึกๆ 

 

 

เจรจาการค้ากระเป๋านักเรียนลุล่วง เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกดีใจยิ่งกว่าที่ตัวเองสอบถงเซิงระดับอำเภอผ่านเสียอีก ลิงโลดตีหลังกากลิ้งบนเตียง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะว่ากล่าวเขา ก็คิดได้ว่าเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ได้เจรจาการค้าครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตสำเร็จ เลี่ยงไม่ได้ที่จะดีใจลิงโลด จึงไม่ได้ห้ามปราบเขา ปล่อยให้เขาทำอะไรแผลงๆ  

 

 

คงเพราะเมิ่งอี้เซวียนตื่นเต้นดีใจมากเกินไป พลิกตัวไปมาจนดึกดื่น ก็ยังไม่ยอมนอน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าเด็กบ้าพลังคนนี้ทำไมถึงมีเรี่ยวแรงมากเช่นนี้ เมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว จึงเอ็ดเขาไปสองสามคำ 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถึงเบิกดวงตากลมโตคู่งามนอนนิ่งบนเตียงอย่างเชื่อฟัง 

 

 

ขอเพียงเขาไม่กระโดดลิงโลด รบกวนคนจนนอนไม่ได้อีก เมิ่งเชี่ยนโยวคร้านจะแยแสเขาไม่ ไม่นานก็หลับเข้าสู่ห้วงฝัน 

 

 

เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ตื่น หลงจู๊กลับเข้ามาเคาะประตูอย่างเบิกบาน “แม่นาง ไม่เช้าแล้ว ข้าเตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกท่านแล้ว เมื่อพวกท่านกินเสร็จ รายชื่อก็น่าจะออกมาแล้ว” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถูกปลุกให้ตื่น ขยี้ตาง่วงงุนไม่อยากตื่น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะบริภาษไปหนึ่งคำ “สมน้ำหน้า!” แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง 

 

 

หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งยกอาหารเช้าอีกคนยกน้ำร้อนยืนนอกประตูอย่างเบิกบาน “แม่นาง นี่คืออาหารเช้าและน้ำร้อน พวกเรานำมาส่งให้ท่านแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบกล่าวขอบคุณ รับอาหารเช้าในมือหลงจู๊มา ให้เสี่ยวเอ้อช่วยยกน้ำร้อนเข้าไปวางในห้อง 

 

 

หลงจู๊ยิ้มหวานยืนรอหน้าประตู เห็นเมิ่งอี้เซวียนยังไม่ตื่นก็พูดว่า “อีกครึ่งชั่วยามรายชื่อก็จะออกมาแล้ว ท่านตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้าเสร็จก็ควรออกไปได้แล้ว ไปช้าจะเบียดเข้าไปไม่ถึง” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนถึงได้สติแจ่มแจ้ง ลุกลนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า 

 

 

เสี่ยวเอ้อยกน้ำร้อนเข้ามาวางในห้อง ปิดประตูให้พวกเขาอย่างรู้ความ เดินลงไปพร้อมหลงจู๊ แล้วยกอาหารเช้ามาส่งให้เหวินเปียวและเหวินหู่ 

 

 

คนทั้งหมดแยกกันกินอาหารเช้า แล้วลงมาชั้นล่าง เห็นห้องโถงชั้นหนึ่งมีโคมแดงวางเรียงรายมากมาย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนึกฉงน “หลงจู๊ โรงเตี๊ยมท่านมีเรื่องมงคลอันใด ถึงซื้อโคมแดงมากมายเช่นนี้?” 

 

 

หลงจู๊ยิ้มตอบ “โคมแดงพวกนี้เมื่อวานข้าสั่งให้เสี่ยวเอ้อซื้อมา ประเดี๋ยวพอประกาศรายชื่อออกมา หากน้องชายเจ้าสอบผ่าน ข้าจะนำโคมแดงพวกนี้ไปแขวนหน้าประตูโรงเตี๊ยมพวกเรา ให้ทุกคนได้รู้ว่า โรงเตี๊ยมของข้ามีถงเซิงที่อายุน้อยที่สุดมาเข้าพัก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งงันไป 

 

 

หลงจู๊นึกว่านางไม่พอใจ ปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดอย่างระวัง “แม่นาง ท่านอย่างถือสา ความจริงโรงเตี๊ยมจิ้นป่างก็ทำเช่นนี้ทุกปี เพียงแค่โคมแดงที่ข้าซื้อจำนวนมากไปบ้าง เกินเหตุไปเสียหน่อย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย “ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้ากำลังคิดว่าพวกเราก็ควรจะใช้โอกาสนี้ซื้ออะไรมาฉลองสักหน่อยหรือไม่” 

 

 

หลงจู๊โล่งอก “แม่นางไม่ต้องหาซื้อของ เตรียมซองแดงและเงินอีแปะจำนวนมากไว้ก็พอ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ “เพราะอะไร?” 

 

 

“หากน้องชายท่านสอบผ่านระดับจังหวัดจริงๆ จะมีคนเข้ามาแสดงความยินดีกับพวกเจ้าโดยเฉพาะ ชุดแรกเป็นคนของทางการ แม่นางจะต้องเตรียมซองแดงจำนวนหนึ่งให้พวกเขา ชุดที่สองเป็นพวกที่หาเลี้ยงชีพด้วยการแจ้งข่าวสำหรับงานนี้โดยเฉพาะทุกปี แม่นางเพียงให้เงินอีแปะพวกเขานิดหน่อยก็พอ แต่ก็อย่าให้น้อยเกินไป ปกติจะให้ยี่สิบสามสิบอีแปะ สุดท้ายเป็นพวกคนยากจนในละแวกโรงเตี๊ยม จะใช้โอกาสนี้มาอวยพรขอเงิน คนพวกนี้แม่นางให้สามอีแปะก็พอ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ สั่งการเหวินเปียว “เจ้าไปธนาคารใกล้ๆ นี้แลกเงินอีแปะจำนวนหนึ่งกลับมา” 

 

 

เหวินเปียวขานรับคำ 

 

 

หลงจู๊แย้มยิ้มพูดว่า “เงินอีแปะข้าแลกเตรียมไว้ให้แม่นางแล้ว ทั้งหมดสิบตำลึง” พูดจบ ยก**บใบน้อยจากใต้โต๊ะเก็บเงินมาเปิดวางไว้บนโต๊ะเก็บเงิน ด้านในเต็มไปด้วยเงินอีแปะเต็ม**บ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขอบคุณ หยิบเงินสิบตำลึงวางบนโต๊ะเก็บเงิน 

 

 

หลงจู๊ผลักกลับคืนไป “เงินอีแปะนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ให้ก่อน หากน้องชายแม่นางสอบผ่าน ค่อยให้พวกเขามายกไป หากสอบไม่ได้ เงินนี้ก็ยังเป็นของข้า ท่านจะได้ไม่ต้องยุ่งยากยกไปยกมา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มผลักเงินกลับไปอีกครั้ง “เงินสิบตำลึงนี้ท่านรับไว้เถอะ หากน้องชายข้าสอบถงเซิงได้ พวกเราจะต้องมารับเงินอีแปะนี้ หากสอบไม่ได้ เงินสิบตำลึงนี้ถือเป็นค่าซื้อโคมไฟก็แล้วกัน” 

 

 

หลงจู๊ลนลานโบกมือ “ไม่ได้เด็ดขาด โคมไฟพวกเราต้องการจะซื้อเอง ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน จะให้แม่นางควักเงินเองได้อย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับเงินคืน “หากหลงจู๊รู้สึกไม่เหมาะสม ก็นำเงินนี้ไปซื้อของกลับมาเลี้ยงฉลองเพิ่ม หากน้องชายข้าสอบได้จริงๆ พวกเราจะได้ฉลองกันให้เต็มที่” 

 

 

หลงจู๊ได้ฟังก็ไม่ปฏิเสธอีก “ก็ได้ แม่นางกล่าวเช่นนี้ เงินนี้ข้าจะเก็บไว้ก่อน” 

 

 

หลงจู๊เก็บเงินไว้อย่างดี แล้วเสนอแนะด้วยความปรารถนาดี “วันนี้คนบนถนนค่อนข้างมาก พวกท่านอย่าโดยสารรถม้าเลย เดินไปจะดีกว่า” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง นำคนทั้งหมดพ้นประตูออกไป 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด