ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 169-3 สอบได้ถงเซิง

Now you are reading ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 Chapter 169-3 สอบได้ถงเซิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนบนถนนมีมากกว่าปกติดังว่า นอกจากนักเรียนที่กุลีกุจอวิ่งมุ่งหน้าไปสนามสอบ ยังมีคนที่แต่งตัวมอซอรออยู่ข้างถนน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีบร้อน นำคนทั้งหมดเดินหย่อนใจมุ่งหน้าไปสนามสอบ บางครั้งมีนักเรียนที่รู้จักพวกเขาวิ่งผ่านมา ต่างมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง 

 

 

เดินผ่านถนนเส้นแรก ผ่านโรงเตี๊ยมจิ้นป่าง เห็นโคมไฟแดงแขวนประดับรอบโรงเตี๊ยมแล้ว หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อต่างแต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยม ยืนหน้าตาเบิกบานรอคนเข้ามาแจ้งข่าวที่หน้าประตู 

 

 

หลงจู๊เห็นพวกเขาไม่เหมือนนักเรียนและผู้ปกครองคนอื่น รีบไปรอที่จุดติดประกาศรายชื่อแต่เนิ่นๆ แต่กลับเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน นึกว่าเมิ่งอี้เซวียนสอบได้ไม่ดี พวกเขาไม่มีความหวัง จึงไม่ว้าวุ่นใจรีบไปดูเหมือนคนอื่น พูดขึ้นเสียงลั่นว่า “แม่นางน้อย ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว จะต้องพักที่โรงเตี๊ยมของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อ ตอนนี้ดีแล้ว ถ่วงอนาคตที่ดีของน้องชายเจ้าแล้ว ต้องรออีกหนึ่งปีถึงจะมาสอบได้” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ร้อนรน ยิ้มตาหยีตอบกลับ “ก็ไม่แน่หรอก ไม่แน่ว่าน้องชายข้าจะสอบได้ที่หนึ่งเทียว” 

 

 

หลงจู๊ถูกตอกกลับจนสะอึก เจือความเคืองขุ่น “หากน้องชายเจ้าคิดว่าทำการสอบได้ดี พวกเจ้าคงรีบไปรอที่จุดติดประกาศรายชื่อนานแล้ว ไหนเลยจะเป็นเหมือนตอนนี้ เดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย แสดงว่าน้องชายเจ้าสอบไม่ได้ชัดๆ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มตาหยีตอบกลับ “พวกเราไม่รีบร้อน เพราะน้องชายข้าจะต้องสอบได้” 

 

 

หลงจู๊ถูกตอกกลับอีกครั้งสะอึกจนพูดไม่ออก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก ยังคงเดินอย่างสบายอารมณ์มุ่งหน้าไปจุดติดประกาศรายชื่อ 

 

 

จุดติดประกาศรายชื่อมีผู้คนรายล้อมเบียดเสียดแน่นขนัดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีคนวิ่งมุ่งหน้าไปไม่หยุด 

 

 

เหวินหู่เริ่มกระสับกระส่าย “แม่นาง พวกเรารีบหน่อยเถอะ ถ้าคนมากกว่านี้ พวกเราจะเบียดเข้าไปไม่ได้แล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “พวกเราจะเบียดเข้าไปทำไม?” 

 

 

เหวินหู่ชะงักเล็กน้อย แล้วตอบกลับ “เข้าไปดูรายชื่ออย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “เหตุใดต้องเข้าไปดูรายชื่อ ข้างนอกดูไม่ได้หรือ?” 

 

 

เหวินหู่เริ่มงงงัน “แม่นาง คนล้อมมากเช่นนี้ อยู่ด้านนอกจะเห็นรายชื่อได้อย่างไร” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ก็ต้องคิดหาวิธีอย่างไรเล่า” 

 

 

เหวินหู่ถามทันควัน “คิดหาวิธีอะไร?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ แต่พูดโยกโย้ “ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” 

 

 

เหวินหู่หันไปมองเหวินเปียว เหวินเปียวก็กำลังประหลาดใจมีคนขวางมากมายขนาดนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้วิธีไหนถึงจะมองเห็นรายชื่อแผ่นเล็กๆ นั้นได้ 

 

 

ทั้งสี่คนหยุดยืนนิ่งไม่ห่างจากกลุ่มคนออกมา ผู้คนที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาต่างมองพวกเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ยังคงยืนสบายใจอยู่วงนอก 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนก็ไม่ร้อนรน ยิ่งข้างนางอย่างนิ่งสงบ 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เริ่มจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว คอยลอบมองเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นพักๆ หวังว่านางจะยอมเปลี่ยนใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น 

 

 

ประมาณหนึ่งเค่อได้ กลุ่มคนด้านหน้าเกิดความโกลาหล มีคนร้องตะโกน “รายชื่อมาแล้ว” 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เขย่งปลายเท้ามองไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่นายหนึ่งขับไล่บรรดานักเรียนคลุ้มคลั่งที่เฮโลเข้ามา เจ้าหน้าที่อีกนายด้านหลังถือใบรายชื่ออย่างระแวดระวัง ทั้งสองเดินมายังจุดติดประกาศรายชื่อ ช่วยกันติดรายชื่อบนผนัง 

 

 

นักเรียนทั้งหลายยิ่งทวีความคลุ้มคลั่งเบียดเสียดเข้าหาใบรายชื่อ ตรวจดูอย่างละเอียดก็ไม่มีชื่อตัวเอง 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ร้องเรียกอย่างว้าวุ่นใจ “แม่นาง!” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองพวกเขา 

 

 

ทั้งสองถามขึ้นพร้อมกัน “พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะเห็นรายชื่อได้?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดูรายชื่อทำไม? พวกเรารู้แค่ว่าอี้เซวียนผ่านหรือไม่ผ่านก็พอแล้ว” 

 

 

ทั้งสองยิ่งให้กระวนกระวายใจ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แกล้งพวกเขาแล้ว พูดกับพวกเขาเบาๆ สองสามคำ ทั้งสองเบิกตากว้าง มองนางอย่างตกตะลึง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเจ้าไปลองดู จะต้องใช้ได้ผล” 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่หันหน้ามองกันแวบหนึ่ง รวบรวมปราณภายใน หลับตาลง ในเวลาเดี๋ยวกันก็ร้องตะโกนลั่นไปทางคนที่อยู่ด้านหน้า “พวกเจ้าคนไหนเห็นชื่อเมิ่งอี้เซวียน แล้วบอกพวกเราก่อน จะมีรางวัลให้สองตำลึง” สิ้นเสียง รอปฏิกิริยาตอบสนองจากกลุ่มคน 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่มีปราณภายในลึกล้ำ เสียงที่ตะโกนออกไปพร้อมกันนี้สะท้อนดังไปไกล แม้แต่เจ้าหน้าที่ติดรายชื่อสองนายก็ยังได้ยิน พลันร้องตะโกนข้ามกลุ่มคนออกมา “เมิ่งอี้เซวียนได้อันดับหนึ่งของการสอบระดับจังหวัด อยู่แรกสุดของรายชื่อ” 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่คิดว่าจะมีคนตอบจริงๆ หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเลื่อมใสศรัทธา 

 

 

กลุ่มคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้พูดเสียงใส “พวกเราพักอยู่โรงเตี๊ยมซิงหลง หากพวกท่านมีเวลารบกวนไปรับรางวัลจากพวกเราที่นั่นด้วย” 

 

 

เจ้าหน้าทั้งสองนายรับหน้าที่เฝ้าดูใบรายชื่อ ในเวลานี้ย่อมไม่กล้าผละออกไป ได้ฟังก็รับคำอย่างสุขใจ “ทราบแล้ว หลังผลัดเวรพวกเราจะเข้าไป” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับพูดว่า “ไปเถอะ พวกเรากลับโรงเตี๊ยม” 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่หันหลังกลับอย่างเลื่อมใส เดินตามหลังนางไป 

 

 

คนที่มาดูรายชื่อด้านหน้าเบียดออกมาไม่ได้ คนที่อยากดูรายชื่อด้านหลังก็เบียดเข้าไปไม่ได้ ใครก็ไม่ได้ทราบข่าว ต่างร้อนใจกระวนกระวาย พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเป็นคนแรกสุดที่ได้รับทราบข่าว ในตอนนี้เหวินเปียวและเหวินหู่ก็สบายใจแล้ว เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไป 

 

 

“ดีใจหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ดีใจ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เหตุใดเจ้าถึงไม่กระโดดเล่า?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนงงงันเล็กน้อย “ยังไม่ออกจากสนามสอบข้าก็รู้แล้ว ไม่ได้ดีใจถึงขั้นนั้น” 

 

 

“งั้นหากข้าดีใจจนอยากกระโดดเล่าจะทำอย่างไร?” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนชะงักอึ้ง 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่ก็นิ่งงัน 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุดเดิน พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม พวกเราวิ่งตรงไปข้างหน้า ใครถึงประตูโรงเตี๊ยมก่อน ข้าจะรับปากเงื่อนไขคนผู้นั้นหนึ่งข้อ” 

 

 

ทั้งสามยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไม่มีปฏิกิริยา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินแช่มช้าไปพลางร้องตะโกน “หนึ่ง สอง สาม” ตะโกนเสร็จ ก็วิ่งแนบตรงไปที่โรงเตี๊ยม 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนได้สติกลับมาแล้ว ออกตัววิ่งตามหลังไป พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าขี้โกง พวกเรายังไม่ทันได้เตรียมตัวเลย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะดังแว่วมา “ข้าขี้โกงแล้วจะทำไม หากเจ้าแน่จริงก็แซงข้าให้ได้ ข้าจะส่งเจ้าไปโรงเรียนทุกวัน” 

 

 

เมิ่งอี้เซวียนดวงตาเปล่งประกาย “เจ้าพูดเองนะ” พูดจบ รวบรวมแรงกำลังวิ่งกวด 

 

 

เหวินเปียวและเหวินหู่หันสบตากันแวบหนึ่ง วิ่งเหยาะๆ ไล่ตามหลังทั้งสองคน 

 

 

เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังลอยแว่วมาลิบๆ “ใครวิ่งถึงเป็นคนสุดท้าย ขากลับบ้านจะให้เดินกลับไป” 

 

 

ทั้งสองหยุดชะงักเท้าเล็กน้อย แล้วเพิ่มความเร็วฉับพลัน 

 

 

หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมจิ้นป่างเห็นคนทั้งหมดวิ่งกลับ คิดจะพูดเหน็บแนมสองสามคำ ไม่คิดว่าเขายังไม่ทันอ้าปาก คนทั้งหมดก็วิ่งไปไกลเหมือนลมหอบหนึ่งแล้ว ทิ้งเขาและเสี่ยวเอ้อให้ตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวข่มกลั้นความยินดีในใจไม่อยู่ วิ่งสุดแรงเกิด ส่วนเมิ่งอี้เซวียนเพื่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งเขาทุกวัน วิ่งไล่กวดอย่างสุดชีวิต เหวินเปียวและเหวินหู่ทั้งสองเพื่อไม่ต้องเดินกลับบ้าน ก็วิ่งเต็มอัตราเช่นกัน 

 

 

คนบนท้องถนนต่างมองคนไม่ปกติทั้งสี่อย่างประหลาดใจ 

 

 

ทั้งสี่คนวิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมซิงหลงอย่างรวดเร็ว 

 

 

หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อกำลังรอคอยอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมอย่างงุ่นง่านใจ เห็นคนทั้งหมดวิ่งกลับมาก็ตกใจสะดุ้ง ลนลานถามขึ้น “แม่นาง เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เหตุใดพวกท่านถึงวิ่งเร็วเช่นนี้?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดปลายเท้าลงแล้ว หายใจกระหืดกระหอบ ถึงพูดกับหลงจู๊อย่างเกินเหตุ “หลงจู๊ เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว?” 

 

 

หลงจู๊ร้อนรนถาม “เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “น้อง-ชาย-ข้า-สอบ-ระ-ดับ-จัง-หวัด-ได้-ที่-หนึ่ง” 

 

 

หลงจู๊ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยังปลอบประโลมนาง “แม่นาง ใจเย็นๆ น้องชายท่านเพียงสอบได้ที่หนึ่ง…” พลันได้สติคืนกลับมา เปล่งเสียงถามอย่างดีใจระคนตกใจ “น้องชายท่านสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าดีใจ 

 

 

หลงจู๊พูดสะเปะสะปะอย่างตื่นเต้นยินดี “นี่ๆๆ…เหตุใดเจ้า…?” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะลั่น 

 

 

หลงจู๊สั่งการเสี่ยวเอ้อที่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “เร็วๆๆ รีบนำโคมแดงมาแขวน” 

 

 

เสี่ยวเอ้อขานรับคำอย่างสุขใจ รีบเร่งไปแขวนโคมไฟแดง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ “พวกเจ้าไปช่วยด้วยเถอะ แขวนให้หมดเลย” 

 

 

ทั้งสามคนคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานก็แขวนโคมไฟแดงรอบโรงเตี๊ยมเสร็จ 

 

 

หลงจู๊ก็ไม่ได้ว่าง ย้ายโต๊ะตัวหนึ่งออกมาวางไว้ในห้องโถงชั้นหนึ่ง แล้วย้ายเก้าอี้อีกสองตัวมาวางข้างๆ จากนั้นยกน้ำชาที่ชงเสร็จมาวางบนโต๊ะ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง อีกประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่แจ้งข่าวมงคลก็จะเข้ามา พวกท่านรีบนั่งลงเถอะ” 

 

 

หลังจากพวกเมิ่งเชี่ยนโยววิ่งจากไป ครู่ใหญ่ หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมจิ้นป่างถึงได้สติคืนมา ถามเสี่ยวเอ้อข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ “พวกเขาสอบไม่ได้ ถูกกระตุ้นเร้าจนเสียสติ จึงวิ่งคลุ้มคลั่งไปตามถนนอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์กลางวันแสกๆ หรือ?” 

 

 

เสี่ยวเอ้อพยักหน้าสนับสนุน “น่าจะเป็นประมาณนี้” 

 

 

หลงจู๊ยังคงกังขา “ดูท่าทางดีอกดีใจของพวกเขา ไม่เหมือนจะสอบไม่ได้นะ” 

 

 

เสี่ยวเอ้อไม่พูดอะไร 

 

 

หลงจู๊ขบคิดพักใหญ่ ก็คิดไม่ตกว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร จึงยอมล้มเลิก “ช่างนางเถอะ พวกเขาก็ไม่ได้พักโรงเตี๊ยมของพวกเรา สอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา พวกเรามารอฟังข่าวดีจากบรรดานักเรียนดีกว่า เวลาก็ผ่านมาสักพักแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งข่าวชุดแรกน่าจะออกมาแล้ว” 

 

 

สิ้นเสียง ก็มีเสียงตีฆ้องร้องป่าวดังแว่วมาไกลๆ 

 

 

หลงจู๊จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง พูดกับเสี่ยวเอ้ออย่างตื่นเต้น “เร็วๆๆ เตรียมตัวให้ดี เจ้าหน้าที่มาแล้ว” 

 

 

เจ้าหน้าที่สองนายตีฆ้องดังใกล้เข้ามา หลงจู๊และเสี่ยวเอ้อเตรียมตัวพร้อมต้อนรับแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่สองนายไม่แม้แต่จะมองพวกเขาสักแวบหนึ่ง ก็ตีฆ้องเดินผ่านหน้าพวกเขาไป มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมซิงหลง 

 

 

ทั้งสองนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งหลงจู๊ถึงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “ไม่ใช่ว่าเด็กนักเรียนคนนั้นสอบได้ที่หนึ่งหรอกนะ?” 

 

 

เสี่ยวเอ้อรับคำ “น่าจะใช่ ข้าไปสืบมาแล้ว โรงเตี๊ยมของพวกเขามีนักเรียนพักอยู่ไม่กี่คน” 

 

 

หลงจู๊เตะอัดใส่เขา “อะไรคือน่าจะใช่? เจ้ารีบไปสืบข่าวมาให้ชัดเจน ตกลงว่าใช่หรือไม่?” 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด