ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 10 ระมัดระวังทุกย่างก้าว

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 10 ระมัดระวังทุกย่างก้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในตำหนักชิงซิน หยุนชางนั่งอยู่บนชิงช้าและรู้สึกเพียงว่าวันนี้อากาศแจ่มใส ฉิงยียืนอยู่ข้างหลังนางช่วยนางผลักชิงช้าพลางพูดกับนาง

"องค์หญิง ข้ารู้สึกว่าแม้ว่าเมื่อวานนี้ฝ่าบาทจะบอกว่าจะซู่เฟยเหนียงเหนียงจัดการเรื่องนี้ แต่ฮองเฮาจะต้องไม่ทรงยอมวางมือไปง่ายๆแน่ หากนางตามสืบเกรงว่า… " เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ ฉิงยีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านางได้รู้อะไรเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับองค์หญิงวัยแปดขวบที่อยู่ตรงหน้านาง

หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "นางต้องไม่ปล่อยมันไปแน่ ข้าคิดว่าอีกไม่เกินสองวัน นางจะพาพวกเจ้าไปซักถาม แต่ไม่เป็นไร เจ้าเพียงตอบตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว นางไม่มีทางพบข้อสงสัยใดๆจากข้าอย่างแน่นอน หลักฐานทั้งหมดจะแอบชี้ไปที่เจ้านายของวังซู่หย่า พอถึงเวลานั้นฮองเฮาย่อมไม่มีทางปล่อยเสิ่นซู่เฟยผู้บ้าคลั่งไปแน่ พวกเราเพียงแค่อยู่เฉยๆดูเสือสู้กันก็พอแล้ว"

ฉิงยีเงียบไป พระวังแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ทำให้คนสามารถเติบโตอย่างรวดเร็ว อายุแปดขวบ กลับสามารถทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้โดยไม่มีข้อบกพร่อง ไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือแย่กันแน่

"จริงสิ ฉิงยี เจ้าเคยสังเกตไหมว่ามีในครัวเล็กๆของเรามีใครมีกลิ่นไม้จันทน์?" จู่ๆนางก็นึกได้ วันนี้สุนัขเหล่านั้นเป็นบ้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะได้กลิ่นไม้จันทน์ นักพรตเต๋านั่นก็คิดหาทุกวิถีทางให้นางดมกลิ่นไม้จันทน์ คิดแล้วไม้จันทน์ก็เป็นกระสายยาตัวหนึ่ง เพียงแต่วันนั้นเสี่ยวหลินจื่อบอกว่าเขาใส่ยาลงในอาหารไก่ ไก่ก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา…

ฉิงยีครุ่นคิดเล็กน้อยจึงตอบว่าเกี่ยวเรื่องที่องค์หญิงให้นางคอยสังเกตุเหล่าคนรับใช้นั้น ดูเหมือนมามาที่ทำหน้าที่จุดไฟในครัวจะเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธ นางสวมกำไลลูกปัดไม้จันทน์ไว้ที่มือของนาง

"อ้อ… " ถ้าอย่างนั้นก็สมเหตุสมผล มิฉะนั้นเสี่ยวหลินจื่อก็จะน่าสงสัยมาก

หยุนชางครุ่นคิดสักพักและกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่กลับเห็นนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาซึ่งก็คือนางกำนัลอีกคนที่นางเลือกในวันนั้นนอกจากฉิงยี ฉินเมิ่ง

"องค์หญิง วันนี้อากาศร้อนมาก ห้องเครื่องทำต้มถั่วเถียว องค์หญิงทานสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นอะไร ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว อากาศร้อนเหลือเกินจริงๆ… "

"ฝนไม่ตก? ร้อน?" หยุนชางได้ยินคำนั้นก็ตัวสั่นเทิ่ม "ปีนี้ฝนไม่ตกมากี่วันแล้ว?"

ฉินเมิ่งตอบอย่างรวดเร็ว "ตั้งแต่ผ่านเดือนสองมาก็ไม่มีฝนตกอีก จนถึงเดือนแปดก็เกือบครึ่งปีแล้ว… "

หยุนชางตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จู่ๆนางก็นึกขึ้นได้ว่าในชาติก่อนฝนไม่ตกมาครึ่งปี ตอนนั้นนางรู้จักแต่บ่นเกี่ยวกับอากาศที่ร้อนระอุตลอดทั้งวันและให้ขันทีกับนางกำนัลคิดวิธีที่จะทำให้เธอเย็นขึ้น หลังจากเกิดใหม่แล้ว คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเหมือนกับชาติที่แล้ว เพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือนางไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่สนใจโลกอีกต่อไป

ยังจำได้ว่าในชาติก่อนหัวจิ้งยังได้รับความเคารพอย่างสูงจากเหล่าประชาชนแคว้นหนิง ความแห้งแล้งนี้เองที่ทำให้หัวจิ้งมีชื่อเสียงในหมู่คน ในชาติก่อนหยุนชางไม่รู้ว่าการฝนไม่ตกนานขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหากฝนไม่ตกมาครึ่งปี ผู้คนจะต้องประสบภัยแล้งอย่างแน่นอน ในวันพิธีบรรลุนิติภาวะของหัวจิ้งจู่ๆก็มีฝนตกลงมาอย่างกะทันหัน ดังนั้นในพิธีฮองเฮาจึงกล่าวว่า มีฝนตกลงมาในวันพิธีบรรลุนิติภาวะของหัวจิ้งเช่นนี้ หัวจิ้งช่างเป็นดาวนำโชคของแคว้นหนิงจริงๆ

เสด็จพ่อเองก็ยินดีมากและมอบที่ดินศักดินาให้หัวจิ้งทันทีและยังแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงฝูหัว ช่างเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ในชาติก่อนนางทำได้เพียงแอบอิจฉา แต่นางก็ยังเลือกของขวัญมากมายเพื่อมอบให้กับหัวจิ้ง

หากพลังวิเศษของฮองเฮานั้นยิ่งใหญ่จนสามารถควบคุมสภาพอากาศได้ นางย่อมไม่เชื่อแน่ มันคงเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ฮองเฮาผู้รอบคอบคนนั้น นางจะไม่พลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ผลักหัวจิ้งไปสู่จุดสูงสุดแห่งความชื่นชมของผู้คน

หยุนชางครุ่นคิดและในใจก็มีความคิดขึ้น นางจึงกลอกตาและพูดกับนางกำนัลคนนั้นว่า "ข้าได้ยินมาว่า คนส่วนใหญ่พึ่งพาพืชผลของตนเองเพื่อเลี้ยงครอบครัว หากฝนไม่ตกเช่นนั้นพืชผลก็ไม่โตใช่ไหม? พวกเขาจะอดตายหรือเปล่า… "

ฉินเมิ่งเป็นคิดปากไวและตรงไปตรงมาอยู่เสมอ ได้ยินดังนั้นนางจึงรีบพูดว่า "ใช่เจ้าค่ะ ก่อนที่ข้าจะเข้าวัง ครอบครัวของข้าก็ทำการเกษตร ปลูกพืชก็ต้องอาศัยฟ้า หากฝนแล้งหรือฝนตกหนักเป็นเวลานาน การเก็บเกี่ยวก็จะไม่ดี ปีนี้แล้งมานานขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าที่บ้านข้าเป็นอย่างไรบ้าง… "

หยุนชางถอนหายใจ "ฉิงยี อีกครู่เจ้านำเงินห้าตำลึงไปมอบให้ทุกคน ข้าไม่ได้มีเบี้ยหวัดมากมาย ทำได้เพียงสามารถให้พวกเจ้าได้เท่านี้ พวกเจ้าสามารถถือโอกาสในวันเยี่ยมญาติมอบให้กับญาติที่อยู่นอกวังของพวกเจ้าได้ อย่าปล่อยให้ครอบครัวของเจ้าหิวโหย"

ฉินเมิ่งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก นางรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว "ข้าขอขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับพระคุณนี้… "

หยุนชางพยักหน้าเล็กน้อยและลุกขึ้น "ไปเอาต้มถั่วเขียวมาให้ข้าเถอะ ข้าจะเอาไปให้เสด็จพ่อด้วยตัวเอง… "

หยุนชางเปลี่ยนเสื้อผ้าและนำฉิงยีที่ถือซุปถั่วเขียวไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง พลางคิดว่าในเวลานี้องค์จักรพรรดิน่าจะยังคงทรงงานอยู่ที่ตำหนักฉินเจิ้ง เมื่อมาถึงตำหนักฉินเจิ้งแล้วก็เห็นผู้ติดตามของฮ่องเต้ยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเขาเห็นหยุนชางก็รีบเข้าทักทาย "องค์หญิงหยุนชาง ท่านมาได้ยังไงขอรับ?"

หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "อากาศร้อนมาก ที่ตำหนักข้าทำต้มถั่วเขียว ข้าคิดว่าเสด็จพ่อคงจะกำลังทรงงานอยู่เลยแบ่งมาเล็กน้อยให้เสด็จพ่อกินคลายร้อน ขันทีเจิ้ง เสด็จพ่อกำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า?"

ขันทีเจิ้งยิ้มและกล่าวว่า "ข้าจะไปรายงานฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ขอรับ องค์หญิงโปรดรอสักครู่…"

หยุนชางพยักหน้าและมองขันทีเจิ้งเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้ง แต่ฉิงยีกลับรู้สึกงงงวยเล็กน้อย "องค์หญิง ปกติฝ่าบาทไม่ชอบให้คนมารบกวนที่ตำหนักฉินเจิ้ง ทำไมท่านถึง… "

หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า "ฮองเฮาขัดขวางข้าขนาดนั้น ยามเสด็จพ่อเสด็จออกมาจากตำหนักฉินเจิ้ง ข้าจะมีโอกาสไปพบง่ายๆได้อย่างไร เมื่อวานนี้ที่ข้าสามารถพบเสด็จพ่อได้ล้วนอาศัยบารมีของซู่เฟย วันนี้ข้ามีธุระ เสด็จพ่อต้องไม่โทษข้าแน่… "

"ธุระ?" ฉิงยีงงงวยเล็กน้อย กำลังจะเอ่ยถามอีกครั้ง แต่ก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดและประตูก็เปิดออก ขันทีเจิ้งยืนอยู่ที่ประตูและยิ้ม "องค์หญิง เชิญเข้ามาเถอะพ่ะย่ะค่ะ… "

หยุนชางรีบเก็บสีหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "ขอบใจนะ ขันที่เจิ้ง" พูดแล้วนางก็ส่งสีหน้าให้ฉิงยี ฉิงยีจึงรีบมอบเศษเงินให้ขันทีเจิ้ง

หยุนชางถือกล่องอาหารเดินเข้าไปในตำหนักฉินเจิ้งและพบว่าในตำหนักไม่ได้มีฮ่องเต้เพียงคนเดียว หยุนชางก้มลงมองปลายเท้าและเดินเข้าไปในตำหนัก กวาดสายตามองไปยังผู้คนที่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ

แม้ว่าในชาติที่แล้วหัวจิ้งจะมีความสัมพันธ์ลับกับสามีของนาง แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาเอกและมีการติดต่อระหว่างตระกูลไม่น้อย นางจึงมีความทรงจำเกี่ยวกับคนเหล่านี้

มหาเสนาบดีหลี่จิ้งเหยียน รองเจ้ากรมมหาดไทยเวินหยุนชิง และยังมีอีกหนึ่งคนกลับเป็นคนที่นางไม่เคยพบมาก่อน หลี่จิ้งเหยียนเป็นบิดาของหลีอี้หรานบิดาของหยวนเจิน เขาค่อนข้างมีอำนาจมากในราชสำนัก ส่วนรองเจ้ากรมมหาดไทยเวินหยุนชิงนางเคยพบเขาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอบอุ่น แต่ชายที่นางไม่เคยพบมาก่อน ดูแล้วก็เหมือนจะมีฐานะไม่ต่ำนัก รูปลักษณ์ของเขาก็โดดเด่นมาก เขาสวมชุดสีเขียว ไม่ใช่เครื่องแบบทางการ หยุนชางจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเขาอยู่ตำแห่งใด ใบหน้าของเขาคิ้วดาบคมชัดเฉียงขึ้นเล็กน้อย มุมปากของเขามีรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามหยุนชางสามารถมองเห็นความอิจฉาริษยาได้อย่างชัดเจนในดวงตาของเขา

มีบุคคลดังกล่าวในเมืองนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ข้ากลับไม่เคยพบเห็นเขามาก่อนในชาติที่แล้ว? หยุนชางคิดแต่ก็ไม่กล้าที่จะมองเขาอย่างโจ่งแจ้งจึงเพียงแค่แอบเหลือบมองอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ถอนสายตาไป นางย่อกายคำนับฮ่องเต้และเดินไปที่ด้านหน้าโต๊ะของฮ่องเต้และวางกล่องอาหารในมือ

"ข้าไม่รู้ว่าเสด็จพ่อกำลังสนทนากับเหล่าขุนนางอยู่ หยุนชางเสียมารยาทแล้ว" สายตาของหยุนชางกวาดมองทั้งสามคนในตำหนักก่อนที่จะมองไปที่ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ยิ้มและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์มาได้ยังไง?"

สายตาของชางเอ๋อร์กวาดมองใบหน้าของหลี่จิ้งเหยียนอย่างเงียบเชียบ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า "อากาศร้อน นางกำนัลในตำหนักของข้าทำต้มถั่วเขียว ชางเอ๋อร์รู้สึกว่ามันคลายร้อยได้ดีมากจึงเอามาให้เสด็จพ่อ" ขณะพูดนางก็นำต้มถั่วเขียวออกมายื่นให้ฮ่องเต้

จักรพรรดิหนิงดื่มเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า "เพียงแค่มาส่งต้มถั่วเขียว?"

หยุนชางได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "เสด็จพ่อช่างรู้จักชางเอ๋อร์ดีจริงๆ วันนี้ตอนที่ข้ากำลังทานต้มถั่วเขียวได้ยินนางกำนัลพูดขึ้นมาว่าปีนี้ฝนไม่ตกมาครึ่งปีแล้ว ถ้าฝนไม่ตกพืชผลที่ราษฎรปลูกไว้ก็จะไม่มีการเก็บเกี่ยวหาก การเก็บเกี่ยวไม่ดีก็จะไม่มีอาหาร ชางเอ๋อร์คิดว่าข้าคงช่วยอะไรไม่ได้ พรุ่งนี้จึงอยากจะไปอยู่ที่วัดแคว้นหนิงสักสองสามวันเพื่ออธิษฐานให้ฝนตก เหล่าผู้คนจะได้รู้สึกดีขึ้น"

ฮ่องเต้มองลูกสาวของเขา ในใจรู้สึกทอดถอนใจ ตอนแรกเขาไล่สนมจิ่นเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น ลูกสาวคนนี้ก็ให้เป็นลูกบุญธรรมของฮองเฮา เขาเป็นหนี้ต่อนาง ก่อนหน้านี้มักจะได้ยินคนในวังพูดถึงเรื่องความชั่วร้ายนางเสมอ เขาเองก็เห็นกับตาตนเองอยู่สองสามครั้งยามนางบันดาลโทสะและลงโทษผู้คนตามอำเภอใจ จึงทำให้ผิดหวังในตัวนางมากขึ้นเรื่อยๆและใส่ใจนางน้อยลง แต่ในสองวันที่ผ่านมาเขาพบว่าลูกสาวคนนี้แตกต่างจากข่าวลือเล็กน้อย นางสงบเสงี่ยมและใจกว้าง ดูแล้วตอนนี้นางก็ยังมีจิตใจดีอีกด้วย นับว่าเป็นโชคของเขา จิ่นเฟย ตั้งแต่แรกจนจบเขาเป็นหนี้นางมาตลอด ตอนนี้เมื่เห็นลูกสาวเป็นคนมีเหตุผล ในใจจึงรู้สึกราวได้รับการปลอบประโลม

"ยากที่ชางเอ๋อร์จะมีความคิดเช่นนี้ ถ้าเจิ้นไม่อนุญาตก็คงจะไม่ได้ เจิ้นอนุญาติแล้ว เพียงแต่เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวออกไปไม่ปลอดภัย อีกครู่เจิ้นจะให้ผู้บัญชาการทหารองครักษ์พาคนไปคุ้มครองเจ้าด้วย… "

หยุนชางยิ้มบางๆและกำลังจะขอบคุณ แต่กลับได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้น "วังหลังไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้ว่าองค์หญิงจะยังเด็ก แต่ก็ควรรู้กฎพื้นฐานเหล่านี้ด้วย"

หลี่จิ้งเหยียน…

หยุนชางปกปิดความเย็นชาในดวงตาของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีพูดมา ชางเอ๋อร์ย่อมรู้โดยธรรมชาติและพยายามทำตามอย่างดีที่สุด หยุนชางเพียงแต่คุยกับนางกำนัลเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของนางก่อนที่นางจะเข้าวังจึงได้รู้เรื่องนี้ ชางเอ๋อร์ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ แต่ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นหนิง การอธิษฐานเพื่อบ้านเมืองคงไม่ได้ว่าเป็นการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรอกใช่ไหม?" นางพูดพลางเงยหน้ามองไปที่หลี่จิ้งเหยียนด้วยท่าทางไร้เดียงสา

ฮ่องเต้หัวเราะและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์ช่างเป็นลูกสาวที่ดีของราชวงค์หนิงจริงๆ เรื่องนี้เอาอย่างนี้ล่ะ พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเถอะ"

หยุนชางย่อกายขอบคุณและกล่าวว่า "ในเมื่อเสด็จพ่อยังมีเรื่องต้องหารือกับเหล่าขุนนาง ชางเอ๋อร์ก็จะไม่รบกวนแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ" เมื่อเห็นฮ่องเต้พยักหน้า นางก็ถอยออกไป หยุนชางรู้สึกว่ามีสายตาแผดเผาอยู่ข้างหลังแต่นางไม่ได้หันกลับไปมอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด