ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 320 อุบายเมืองร้าง

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 320 อุบายเมืองร้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าจะตกใจกับข่าวที่กะทันหันนี้ แต่จิ้งอ๋องก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขาเข้าไปในค่ายทหารนอกเมืองจิ้งหยาง โยนบังเหียนม้าให้ทหารใกล้ชิด และรีบเดินเข้าไปในกระโจม

จางฉีและเหล่านายพลในกระโจมคงทราบเรื่องนี้แล้ว ยืนอยู่หน้าผังทรายจำลองกำลังหารือกัน จิ้งอ๋องได้ยินคนพูดว่า “เรามีหารในค่ายไม่เกินสองแสนนาย รัชทายาทแคว้นเซี่ยนำกำลังพลมาสี่แสนนาย บวกกับสองแสนห้าหมื่นนายในฝั่งตรงข้ามที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังมีมากกว่าเราสี่แสนห้าหมื่นาย แม้ว่าเราจะมีวิชาระดับเทพ ก็เกรงว่าคราวนี้จะตกอยู่ในอันตราย”

จางฉีเป็นคนแรกที่พบว่าจิ้งอ๋องเข้ามาในกระโจม รีบยืนตรงและมองไปที่จิ้งอ๋อง “ท่านอ๋องมาแล้วหรือขอรับ”

จิ้งอ๋องพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้า ทุกคนถอยออกไป ให้จิ้งอ๋องเดินไปที่ตรงกลาง จิ้งอ๋องคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์รอบๆเมืองจิ้งหยางมากแล้ว แม้เขาไม่ได้ดูผังทรายจำลอง แต่ในใจก็รู้อย่างชัดเจน

“กองทัพเซี่ยลงมาตามแม่น้ำจิ้ง เส้นทางทหารอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำจิ้ง เราถอยกลับไปที่ฝั่งใต้ของแม่น้ำจิ้ง” จิ้งอ๋องชี้มือไปที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจิ้ง

“นั่นจะไม่ใช่การละทิ้งเมืองจิ้งหยางหรอกหรือ แล้วราษฎรในเมืองล่ะ? ยิ่งกว่านั้น น้ำในแม่น้ำจิ้งก็หมดไปนานแล้ว และมันก็ไม่ค่าอะไรสำหรับศัตรูเลย” นายพลหัวหงอกท่านหนึ่งขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

จิ้งอ๋องหรี่ตาของเขา แต่เขารู้สึกโชคดีเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเกรงว่าจะมีน้ำในแม่น้ำจิ้งแล้ว จางฉีส่งทหารไปตรวจสอบดูสิ เมื่อคืนนี้ พระชายาได้ระเบิดทะเลสาบใหญ่ที่อยู่เหนือแหล่งน้ำของแม่น้ำจิ้ง กองทัพเซี่ยมีหนึ่งแสนนายถูกฝังอยู่ที่ก้นแม่น้ำ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าน้ำในทะเลสาบจะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ข้าต้องใช้แม่น้ำจิ้งมาเป็นเครื่องกีดขวาง ต่อต้านซักพัก ค่อยวางแผนกันอีกที เมืองจิ้งหยางจำต้องสละ เรามีแค่สองแสนนาย ถ้าศัตรูโจมตีเมือง เกรงจะอยู่ได้ไม่นาน ราษฎรทั้งหมดจะอพยพไปทางเหนือของ แม่น้ำจิ้ง หลังจากที่ทุกคนข้ามแม่น้ำแล้ว ก็ทำลายสะพานในแม่น้ำซะ และไม้ในเมืองก็ทั้งหมด หรือสิ่งที่สามารถใช้สร้างเป็นเรือได้ ก็ทำลายทิ้งให้หมด”

ดูเหมือนว่าหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ เผาเมืองเสีย ทุกอย่างในเมืองนี้ห้ามทิ้งให้กองทัพเซี่ย”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของพวกเขาต่างซีดขาว พวกเขาถูกส่งตัวมาประจำการในเมืองจิ้งหยางนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาผูกพันต่อเมืองจิ้งหยางแล้ว เมืองใหญ่เช่นนี้ ต้องเผาทิ้ง…

“ท่านอ๋อง…” มีคนต้องการจะพูด แต่ถูกจางฉีขัดจังหวะ “สำหรับแผนปัจจุบัน ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว ฟังคำสั่งท่านอ๋อง ปกป้องรักษาชีวิตราษฎรในเมือง คือประเด็นสำคัญ ไปเตรียมการกันเร็ว”

นายพลคนอื่นๆ เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าวิธีของจิ้งอ๋องเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถใช้ได้ จึงค่อยๆถอยออกจากกระโจม

จิ้งอ๋องไม่กล้าที่จะชักช้าเสียเวลาอีกต่อไป แม้ว่าตอนที่เขารู้ชาติกำเนิดของตัวเอง เขาจะเคยคิดมาว่า หากวันหนึ่งตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเขาควรจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า จะเกิดขึ้นในภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ หลังจากคร่ำครวญในใจ ก็หยิบพู่กันและกระดาษมา แล้วรีบเขียนจดหมาย จากนั้นเรียกองครักษ์ลับออกมา “ส่งจดหมายนี้ไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว”

แม้ว่าเมืองหลวงจะห่างไกลจากชายแดนอยู่บ้าง ข่าวอาจจะยังเข้าถึงหูของจักรพรรดิหนิงได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่กล้าเดิมพัน มิฉะนั้น เกรงว่าใต้หล้านี้ จะโกลาหลวุ่นวายจริงๆ

องครักษ์ลับได้นำจดหมายไปส่ง และจิ้งอ๋องออกจากค่าย และเข้าไปในเมืองจิ้งหยาง ในเมืองจิ้งหยางมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ จิ้งอ๋องยืนอยู่บนประตูเมือง มองดูผู้คนที่หลบหนีด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเขาค่อยๆเกิดความเศร้าเล็กน้อย เขาเคยชินกับการตายจากในสนามรบมาหลายปี เขาคิดว่าใจของเขาแข็งเหมือนเหล็กแล้ว แต่ตอนนี้ ได้เห็นผู้คนมากมายพลัดที่นาคาที่อยู่ ระเหเร่ร่อน ต้นเหตุเป็นเพียงเพราะเขา มันยากที่จะเมินเฉยได้

“ท่านอ๋อง ทหารทั้งหมดในค่ายนอกเมืองได้เข้ามาในเมืองแล้ว กำลังนำราษฎรให้หนีไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ น้ำของแม่น้ำจิ้งกำลังสูงขึ้นจริงๆ…” จางฉีพูดด้วยเสียงเบา “กองทัพของเซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงยังมีอีกหนึ่งชั่วยามก็จะมาถึงนอกเมือง”

จิ้งอ๋องพยักหน้า “ให้พวกเขาอพยพ เร็วกว่านี้ด้วย” หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังจะมืดมิด แล้วยิ้มเล็กน้อย ” วันนี้ ข้าจะแสดงอุบายเมืองร้างให้กับกองทัพเซี่ย”

จางฉีมองจิ้งอ๋องที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็โล่งใจเล็กน้อย มีจิ้งอ๋องอยู่ ทุกอย่างจะเรียบร้อย

จิ้งอ๋องหันหลัง และเรียกองครักษ์ลับออกมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเอาขลุ่ยหยกของข้าออกมา”

จางฉีไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดูองครักษ์ลับรีบออกไป และหลังจากนั้นไม่นาน ก็นำขลุ่ยหยกมา จิ้งอ๋องก็ลูบไล้ขลุ่ยหยก แล้วยิ้มเบาๆ “ไปกันเถอะ ไปที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก เพื่อต้อนรับกองทัพเซี่ยกัน”

เมื่อกองทัพเซี่ยมาถึง จิ้งอ๋องเกือบจะถอนคนในเมืองออกไปหมดแล้ว มีเพียงองครักษ์ลับที่มีวิชาการต่อสู้ที่เหนือกว่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยสวมชุดเกราะของทหารเฝ้าประตูเมืองเมืองยืนอยู่บนกำแพงเมือง

เซี่ยโหเหยียนมองไปที่กำแพงเมืองที่มืดมิด ยิ้มและพูดว่า “ท่านกุนซือ ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองจิ้งหยางแล้ว” แต่ไม่มีร่องรอยของความสุขในสายตาของเขา เขาขมวดคิ้วและมองไปที่เมืองจิ้งหยางตัวหนังสือขนาดใหญ่นั่น “เพียงแต่ว่า แม้ว่าเราจะใช้กลอุบายสับขาหลอกกับฉีหล่าง แต่ฉีหล่างคงได้รับข่าวว่าเรากำลังมุ่งหน้ามายังเมืองจิ้งหยางแล้ว จิ้งอ๋องเป็นแม่ทัพที่ชนะในสนามรบมาโดยตลอด และออกศึกในสนามรบมานับไม่ถ้วน เขาย่อมมีวิธีการ ไม่น่าจะไม่สังเกตเห็นร่องรอยของเรา แต่ทำไม เมืองจิ้งหยางแห่งนี้จึงไม่เห็นร่องรอยของการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับศัตรูนะ?”

หลิ่วหยินเฟิงก็มองไปที่เมืองจิ้งหยาง สายตาของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ “เกรงว่านี่จะเป็นอุบายของจิ้งอ๋องแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยลอยมาจากกำแพงเมือง หากมีก็เหมือนไม่มี เป็นเงาตะคุ่ม เหมือนเสียงครวญคราง ฟังแล้วให้ความรู้สึกแปลกๆ

“นี่คืออะไร?” ดวงตาของเซี่ยโหเหยียนเบิกกว้าง มองไปที่หอคอยมืดมิด ที่มีโคมไฟเพียงสองดวงแขวนอยู่บนประตูเมือง

หลิ่วหยินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หม่อมฉันนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นนิทานเรื่องหนึ่งในตำรายุทธพิชัยสงครามได้ ชื่อของนิทานเรื่องถูกเรียกว่าอุบายเมืองร้าง เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างกองทัพสองฝั่ง กองทหารฝั่งศัตรูมีมากและฝั่งตนมีน้อย กุนซือท่านนั่นจึงให้ทหารอพยพจากเมือง และตัวเขาเองก็เอาแค่พิณ ขึ้นไปบนหอคอย จุดเครื่องหอมและเล่นพิณ ร้องเพลงเสียงอันดัง และหลอกฝั่งศัตรูได้”

หลิ่วหยินเฟิงพูดท่อนนี้จบ จู่ๆก็เห็นโคมไฟหนึ่งดวงสว่างขึ้นบนกำแพงเมือง เห็นคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองจากระยะไกล มองไม่เห็นรูปร่างของเขา เห็นเพียงเงาสีดำ ยกมือขึ้น และวางมันไว้ข้างๆใบหน้าของเขา ราวกับว่าเขากำลังเป่าขลุ่ยอยู่ คิดว่าเสียงขลุ่ยที่เลือนลางนั้นดังมาจากที่นั่น

“อุบายเมืองร้าง?” เซี่ยโหวหยานกัดริมฝีปากและทำเสียงเชอะอย่างเย็นชา “คนๆนี้ช่างกล้านัก เขากล้าที่จะเป่าขลุ่ยบนกำแพงเพียงลำพังต่อหน้ากองทัพสี่แสนนาย เมื่อครู่ข้ายังพูดอยู่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จิ้งอ๋องจะไม่รู้ว่าเรามา แต่เรากลับไม่รู้ว่า จิ้งอ๋องได้จัดเตรียมการแสดงที่น่าชมเช่นนี้ไว้ ในเมื่อเป็นเป็นอุบายเมืองร้าง ข้าจะต้องไปดูสักหน่อย ไม่รู้มีความสามารถแค่ไหน หลังจากที่ข้ายึดครองเมืองจิ้งหยาง และเอาชีวิตของลั่วชิงเหยียนซะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 320 อุบายเมืองร้าง

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 320 อุบายเมืองร้าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าจะตกใจกับข่าวที่กะทันหันนี้ แต่จิ้งอ๋องก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขาเข้าไปในค่ายทหารนอกเมืองจิ้งหยาง โยนบังเหียนม้าให้ทหารใกล้ชิด และรีบเดินเข้าไปในกระโจม

จางฉีและเหล่านายพลในกระโจมคงทราบเรื่องนี้แล้ว ยืนอยู่หน้าผังทรายจำลองกำลังหารือกัน จิ้งอ๋องได้ยินคนพูดว่า “เรามีหารในค่ายไม่เกินสองแสนนาย รัชทายาทแคว้นเซี่ยนำกำลังพลมาสี่แสนนาย บวกกับสองแสนห้าหมื่นนายในฝั่งตรงข้ามที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังมีมากกว่าเราสี่แสนห้าหมื่นาย แม้ว่าเราจะมีวิชาระดับเทพ ก็เกรงว่าคราวนี้จะตกอยู่ในอันตราย”

จางฉีเป็นคนแรกที่พบว่าจิ้งอ๋องเข้ามาในกระโจม รีบยืนตรงและมองไปที่จิ้งอ๋อง “ท่านอ๋องมาแล้วหรือขอรับ”

จิ้งอ๋องพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้า ทุกคนถอยออกไป ให้จิ้งอ๋องเดินไปที่ตรงกลาง จิ้งอ๋องคุ้นเคยกับภูมิศาสตร์รอบๆเมืองจิ้งหยางมากแล้ว แม้เขาไม่ได้ดูผังทรายจำลอง แต่ในใจก็รู้อย่างชัดเจน

“กองทัพเซี่ยลงมาตามแม่น้ำจิ้ง เส้นทางทหารอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำจิ้ง เราถอยกลับไปที่ฝั่งใต้ของแม่น้ำจิ้ง” จิ้งอ๋องชี้มือไปที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจิ้ง

“นั่นจะไม่ใช่การละทิ้งเมืองจิ้งหยางหรอกหรือ แล้วราษฎรในเมืองล่ะ? ยิ่งกว่านั้น น้ำในแม่น้ำจิ้งก็หมดไปนานแล้ว และมันก็ไม่ค่าอะไรสำหรับศัตรูเลย” นายพลหัวหงอกท่านหนึ่งขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

จิ้งอ๋องหรี่ตาของเขา แต่เขารู้สึกโชคดีเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเกรงว่าจะมีน้ำในแม่น้ำจิ้งแล้ว จางฉีส่งทหารไปตรวจสอบดูสิ เมื่อคืนนี้ พระชายาได้ระเบิดทะเลสาบใหญ่ที่อยู่เหนือแหล่งน้ำของแม่น้ำจิ้ง กองทัพเซี่ยมีหนึ่งแสนนายถูกฝังอยู่ที่ก้นแม่น้ำ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าน้ำในทะเลสาบจะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ข้าต้องใช้แม่น้ำจิ้งมาเป็นเครื่องกีดขวาง ต่อต้านซักพัก ค่อยวางแผนกันอีกที เมืองจิ้งหยางจำต้องสละ เรามีแค่สองแสนนาย ถ้าศัตรูโจมตีเมือง เกรงจะอยู่ได้ไม่นาน ราษฎรทั้งหมดจะอพยพไปทางเหนือของ แม่น้ำจิ้ง หลังจากที่ทุกคนข้ามแม่น้ำแล้ว ก็ทำลายสะพานในแม่น้ำซะ และไม้ในเมืองก็ทั้งหมด หรือสิ่งที่สามารถใช้สร้างเป็นเรือได้ ก็ทำลายทิ้งให้หมด”

ดูเหมือนว่าหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ เผาเมืองเสีย ทุกอย่างในเมืองนี้ห้ามทิ้งให้กองทัพเซี่ย”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของพวกเขาต่างซีดขาว พวกเขาถูกส่งตัวมาประจำการในเมืองจิ้งหยางนี้มาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาผูกพันต่อเมืองจิ้งหยางแล้ว เมืองใหญ่เช่นนี้ ต้องเผาทิ้ง…

“ท่านอ๋อง…” มีคนต้องการจะพูด แต่ถูกจางฉีขัดจังหวะ “สำหรับแผนปัจจุบัน ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว ฟังคำสั่งท่านอ๋อง ปกป้องรักษาชีวิตราษฎรในเมือง คือประเด็นสำคัญ ไปเตรียมการกันเร็ว”

นายพลคนอื่นๆ เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าวิธีของจิ้งอ๋องเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถใช้ได้ จึงค่อยๆถอยออกจากกระโจม

จิ้งอ๋องไม่กล้าที่จะชักช้าเสียเวลาอีกต่อไป แม้ว่าตอนที่เขารู้ชาติกำเนิดของตัวเอง เขาจะเคยคิดมาว่า หากวันหนึ่งตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเขาควรจัดการกับเหตุการณ์นี้อย่างไร แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า จะเกิดขึ้นในภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ หลังจากคร่ำครวญในใจ ก็หยิบพู่กันและกระดาษมา แล้วรีบเขียนจดหมาย จากนั้นเรียกองครักษ์ลับออกมา “ส่งจดหมายนี้ไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว”

แม้ว่าเมืองหลวงจะห่างไกลจากชายแดนอยู่บ้าง ข่าวอาจจะยังเข้าถึงหูของจักรพรรดิหนิงได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่กล้าเดิมพัน มิฉะนั้น เกรงว่าใต้หล้านี้ จะโกลาหลวุ่นวายจริงๆ

องครักษ์ลับได้นำจดหมายไปส่ง และจิ้งอ๋องออกจากค่าย และเข้าไปในเมืองจิ้งหยาง ในเมืองจิ้งหยางมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ จิ้งอ๋องยืนอยู่บนประตูเมือง มองดูผู้คนที่หลบหนีด้วยความตื่นตระหนก หัวใจของเขาค่อยๆเกิดความเศร้าเล็กน้อย เขาเคยชินกับการตายจากในสนามรบมาหลายปี เขาคิดว่าใจของเขาแข็งเหมือนเหล็กแล้ว แต่ตอนนี้ ได้เห็นผู้คนมากมายพลัดที่นาคาที่อยู่ ระเหเร่ร่อน ต้นเหตุเป็นเพียงเพราะเขา มันยากที่จะเมินเฉยได้

“ท่านอ๋อง ทหารทั้งหมดในค่ายนอกเมืองได้เข้ามาในเมืองแล้ว กำลังนำราษฎรให้หนีไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ น้ำของแม่น้ำจิ้งกำลังสูงขึ้นจริงๆ…” จางฉีพูดด้วยเสียงเบา “กองทัพของเซี่ยโหเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงยังมีอีกหนึ่งชั่วยามก็จะมาถึงนอกเมือง”

จิ้งอ๋องพยักหน้า “ให้พวกเขาอพยพ เร็วกว่านี้ด้วย” หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังจะมืดมิด แล้วยิ้มเล็กน้อย ” วันนี้ ข้าจะแสดงอุบายเมืองร้างให้กับกองทัพเซี่ย”

จางฉีมองจิ้งอ๋องที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็โล่งใจเล็กน้อย มีจิ้งอ๋องอยู่ ทุกอย่างจะเรียบร้อย

จิ้งอ๋องหันหลัง และเรียกองครักษ์ลับออกมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเอาขลุ่ยหยกของข้าออกมา”

จางฉีไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดูองครักษ์ลับรีบออกไป และหลังจากนั้นไม่นาน ก็นำขลุ่ยหยกมา จิ้งอ๋องก็ลูบไล้ขลุ่ยหยก แล้วยิ้มเบาๆ “ไปกันเถอะ ไปที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก เพื่อต้อนรับกองทัพเซี่ยกัน”

เมื่อกองทัพเซี่ยมาถึง จิ้งอ๋องเกือบจะถอนคนในเมืองออกไปหมดแล้ว มีเพียงองครักษ์ลับที่มีวิชาการต่อสู้ที่เหนือกว่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยสวมชุดเกราะของทหารเฝ้าประตูเมืองเมืองยืนอยู่บนกำแพงเมือง

เซี่ยโหเหยียนมองไปที่กำแพงเมืองที่มืดมิด ยิ้มและพูดว่า “ท่านกุนซือ ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองจิ้งหยางแล้ว” แต่ไม่มีร่องรอยของความสุขในสายตาของเขา เขาขมวดคิ้วและมองไปที่เมืองจิ้งหยางตัวหนังสือขนาดใหญ่นั่น “เพียงแต่ว่า แม้ว่าเราจะใช้กลอุบายสับขาหลอกกับฉีหล่าง แต่ฉีหล่างคงได้รับข่าวว่าเรากำลังมุ่งหน้ามายังเมืองจิ้งหยางแล้ว จิ้งอ๋องเป็นแม่ทัพที่ชนะในสนามรบมาโดยตลอด และออกศึกในสนามรบมานับไม่ถ้วน เขาย่อมมีวิธีการ ไม่น่าจะไม่สังเกตเห็นร่องรอยของเรา แต่ทำไม เมืองจิ้งหยางแห่งนี้จึงไม่เห็นร่องรอยของการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับศัตรูนะ?”

หลิ่วหยินเฟิงก็มองไปที่เมืองจิ้งหยาง สายตาของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ “เกรงว่านี่จะเป็นอุบายของจิ้งอ๋องแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยลอยมาจากกำแพงเมือง หากมีก็เหมือนไม่มี เป็นเงาตะคุ่ม เหมือนเสียงครวญคราง ฟังแล้วให้ความรู้สึกแปลกๆ

“นี่คืออะไร?” ดวงตาของเซี่ยโหเหยียนเบิกกว้าง มองไปที่หอคอยมืดมิด ที่มีโคมไฟเพียงสองดวงแขวนอยู่บนประตูเมือง

หลิ่วหยินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หม่อมฉันนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นนิทานเรื่องหนึ่งในตำรายุทธพิชัยสงครามได้ ชื่อของนิทานเรื่องถูกเรียกว่าอุบายเมืองร้าง เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างกองทัพสองฝั่ง กองทหารฝั่งศัตรูมีมากและฝั่งตนมีน้อย กุนซือท่านนั่นจึงให้ทหารอพยพจากเมือง และตัวเขาเองก็เอาแค่พิณ ขึ้นไปบนหอคอย จุดเครื่องหอมและเล่นพิณ ร้องเพลงเสียงอันดัง และหลอกฝั่งศัตรูได้”

หลิ่วหยินเฟิงพูดท่อนนี้จบ จู่ๆก็เห็นโคมไฟหนึ่งดวงสว่างขึ้นบนกำแพงเมือง เห็นคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองจากระยะไกล มองไม่เห็นรูปร่างของเขา เห็นเพียงเงาสีดำ ยกมือขึ้น และวางมันไว้ข้างๆใบหน้าของเขา ราวกับว่าเขากำลังเป่าขลุ่ยอยู่ คิดว่าเสียงขลุ่ยที่เลือนลางนั้นดังมาจากที่นั่น

“อุบายเมืองร้าง?” เซี่ยโหวหยานกัดริมฝีปากและทำเสียงเชอะอย่างเย็นชา “คนๆนี้ช่างกล้านัก เขากล้าที่จะเป่าขลุ่ยบนกำแพงเพียงลำพังต่อหน้ากองทัพสี่แสนนาย เมื่อครู่ข้ายังพูดอยู่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จิ้งอ๋องจะไม่รู้ว่าเรามา แต่เรากลับไม่รู้ว่า จิ้งอ๋องได้จัดเตรียมการแสดงที่น่าชมเช่นนี้ไว้ ในเมื่อเป็นเป็นอุบายเมืองร้าง ข้าจะต้องไปดูสักหน่อย ไม่รู้มีความสามารถแค่ไหน หลังจากที่ข้ายึดครองเมืองจิ้งหยาง และเอาชีวิตของลั่วชิงเหยียนซะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+