ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 337 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง (๒)

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 337 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง (๒) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะที่นางพูดก็ได้ยินเสียงของจักรพรรดิหนิงแว่วมาจากด้านนอก “ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเจ้าดังมาแต่ไกล กำลังคุยอะไรกันหรือ?”

หยุนชางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจิ่นกุ้ยเฟยเลือนหายไปเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางอดลอบถอนหายใจในใจไม่ได้แล้วยืนขึ้นและแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรย่อกายทำความเคารพจักรพรรดิหนิงที่เดินเข้ามา “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพิ่งดุว่าชางเอ๋อร์บังอาจที่กล้าหนีไปที่สนามรบคนเดียว เพื่อทำให้เสด็จแม่ดีใจ ชางเอ๋อร์จึงเล่าเรื่องขายหน้ายามที่อยู่วิหารแคว้นหนิงเพคะ เมื่อครู่พูดถึงตอนเจ้าอาวาสอู๋น่าไม่ยอมให้ชางเอ๋อร์กินเนื้อในวิหารและให้กินมังสวิรัติอยู่เป็นเวลานาน วันหนึ่งชางเอ๋อร์อยากกินเนื้อมาก แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนมีเนื้อ เห็นว่าเจ้าอาวาสอู๋น่าเลี้ยงนกพิราบไว้สองสามตัว จึงแอบขอให้ฉินยีฆ่าพวกมันและเอามาย่าง ทำให้เจ้าอาวาสโมโหใหญ่เลยเพคะ”

จักรพรรดิหนิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน โดยไม่ทันสังเกตว่าหยุนชางนั้นมีแววตาเย็นชา “เจ้าเคยสร้างปัญหาบ่อยนักเมื่อครั้งยังเยาว์ เกรงว่าอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงก็คงไม่ต่างกัน ลำบากเจ้าอาวาสอู๋น่าแล้ว เขากลับไม่ได้เอามาฟ้องข้า”

หยุนชางก็หัวเราะไปกับเขาและเดินไปอยู่ด้านข้างจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องถูกขันทีผู้หนึ่งพยุงไว้ หยุนชางเดินไปช่วยพยุงเขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วยิ้มให้จิ่นกุ้ยเฟย “หลายวันมานี้ชางเอ๋อร์รีบร้อนเดินทาง วันนี้เสด็จแม่ต้องทำของอร่อยให้ชางเอ๋อร์กินนะเพคะ”

จิ่นกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ และพยักหน้า “ตกลง” จากนั้นนางก็มองไปที่ขาของจิ้งอ๋องแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือ?”

จิ้งอ๋องนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำถามของจิ่นกุ้ยเฟยก็เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าพลางหัวเราะ “หม่อมฉันถูกปิดล้อมโดยทัพเซี่ยที่เมืองจิ้งหยาง ตอนนั้นเรามีทหารเพียงสองแสนนายแต่ทัพเซี่ยมีถึงหกแสนนาย โชคดีที่ชางเอ๋อร์นำกำลังจากคังหยางมาช่วย มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ เพียงแต่หม่อมฉันก็ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปหลายวัน ตลอดทางที่กลับมาได้ชางเอ๋อร์เป็นคนดูแลมาโดยตลอด เพิ่งจะฟื้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”

“ร้ายแรงมากเลยหรือ? ให้หมอหลวงตรวจดูแล้วหรือยัง?” จิ่นกุ้ยเฟยเอ่ยถามด้วยความกังวล

จักรพรรดิหนิงที่อยู่ด้านข้างยิ้มและพูดว่า “เจิ้นเพิ่งเชิญหมอหลวงมาตรวจดูบอกว่าแผลหายดีแล้ว แต่เมื่อสองวันก่อนมันกลับปริแตกออกมาอีก เกรงว่าคงต้องอยู่เฉยๆ สักพัก ช่วงนี้จะให้เขาเหนื่อยมากไม่ได้”

จิ่นกุ้ยเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถอยออกไปด้านข้างและสั่งให้เจิ้งมามาเตรียมสำรับ

จิ้งอ๋องดูเหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองหยุนชาง หยุนชางยิ้มพลางส่ายหัว นางจับมือของจิ้งอ๋อง ดวงตาฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง จิ้งอ๋องจึงก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไร…

“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บก็ควรจะพักผ่อนอยู่ในจวน เสด็จพ่อห้ามให้ท่านอ๋องทำงานมากนะเพคะ” หยุนชางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง

จักรพรรดิหนิงถูกท่าทางไม่แยแสของจิ่นกุ้ยเฟยทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อหยุนชางกล่าวเช่นนั้น เขาจึงหัวเราะออกมา “เจิ้นไม่กล้าหรอก”

หยุนชางสนทนากับจักรพรรดิหนิงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาถามมากที่สุดก็คือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของหยุนชางในค่ายทหาร ระหว่างทางมานั้นหยุนชางและจิ้งอ๋องได้เตรียมคำตอบที่เหมือนกันเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงโต้ตอบกันได้อย่างไหลลื่น

ไม่นานจิ่นกุ้ยเฟยก็ให้คนยกอาหารเข้ามา ทั้งสี่กินอาหารด้วยกัน แม่นมนำเฉินซีออกมาพอดี หยุนชางจึงอุ้มเฉินซีไปเล่นอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เฉินซีอายุได้สี่เดือนแล้ว ตัวเขาโตขึ้นมาก ตัวขาวนุ่มนิ่ม น่ารักเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะยังจำคนแปลกหน้าไม่ค่อยได้ แต่เมื่อหยุนชางอุ้มเขา เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุขทำให้หยุนชางหัวเราะอยู่นาน

แม่นมบอกว่าได้เวลาให้นมองค์ชายน้อยแล้ว หยุนชางจึงคืนเฉินซีให้นางและหันไปมองจักรพรรดิหนิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อเห็นเฉินซี จู่ๆ หม่อมฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ชางเอ๋อร์อยู่ที่ชายแดน ได้ยินพ่อค้าที่กลับมาจากแคว้นเย้หลางบอกว่าเสด็จพี่กลายเป็นสนมคนโปรดขององค์ชายใหญ่และดูเหมือนกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่…”

ในตำหนักเงียบลง หยุนชางเห็นจักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาวาววับด้วยความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด

หยุนชางยิ้มจางๆ “เมื่อครู่ที่พบเฉินซี ชางเอ๋อร์จึงนึกขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอัครมหาเสนาบดีหลี่จะทำการก่อกบฏ แต่โทษนั้นก็ไม่ได้ไปถึงลูกหลาน อีกทั้งเลือกในกายของเสด็จพี่ก็ยังเป็นของเสด็จพ่อด้วย น่าเสียดายที่อัครมหาเสนาบดีหลี่ทำเช่นนั้น แม้แต่ฮองเฮาก็ช่วยเขา ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ก็เป็นอย่างนั้น” นางเว้นวรรคแล้วถอนหายใจ “ดูแล้วการกระทำของผู้ใหญ่นั้นในบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อลูกหลานเป็นอย่างมาก เพียงแต่องค์รัชทายาทแห้งแคว้นเย้หลางดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่และฮองเฮา ชางเอ๋อร์ได้ยินมาว่าเขากำลังคิดจะพาเสด็จพี่มาที่แคว้นหนิงเพื่อทักทายเสด็จพ่อด้วยนะเพคะ”

สายตาของจักรพรรดิหนิงเปล่งประกายอาฆาต เขาเพ่งมองมาที่หยุนชาง แต่กลับเห็นราวกับนางเพียงบังเอิญเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ในใจจึงยิ่งอึดอัด เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ลูกสาวที่ทำขายหน้าเช่นนั้น เจิ้นไม่มีเสียยังดีกว่า”

หยุนชางขมวดคิ้วน้อยๆ และถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ตอนข้ายังเล็ก เสด็จพี่ก็คอยปกป้องข้ามาตลอด เพียงแต่ต่อมา…” หลังจากนั้นนางก็ยิ้มและจับมือของจิ่นกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ชางเอ๋อร์จะดูแลเฉินซีเป็นอย่างดี หากมีใครต้องการรังแกเขา อย่างไรชางเอ๋อร์ก็จะไม่ปล่อยไว้แน่และจะรักและปกป้องเขาตลอดไป”

จิ่นกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ “แม่เชื่อชางเอ๋อร์”

จักรพรรดิหนิงมองกลับไปกลับมาระหว่างจิ่นกุ้ยเฟยและหยุนชางอยู่นาน สุดท้ายเขาก็เพียงขมวดคิ้วเท่านั้นแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หยุนชางจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดคุยหัวเราะขึ้นอีกครั้งกับจักรพรรดิหนิง

จักรพรรดิหนิงอยู่ที่วังจิ่นซิ่วไม่นานก็เห็นขันทีเจิ้งรีบเดินเข้ามาเรียกเขาอย่างรีบร้อน เขาเงยหน้ามองจิ้งอ๋อง หยุนชางและจิ่นกุ้ยเฟยทั้งสามคนและไม่ได้พูดอะไรอีก

จักรพรรดิหนิงเห็นว่าเป็นเพราะหยุนชางทำให้รอยยิ้มอันหายากยิ่งในช่วงนี้ของจิ่นกุ้ยเฟยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางได้ เขาจึงถามกลับอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “มีอะไรหรือ?”

ขันทีเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แม่นางจิ่งเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”

หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันใดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม่นางจิ่ง? เท่าที่ข้ารู้แม่นางที่แซ่จิ่งในเมืองหลวงนี้มีเพียงลูกสาวของจิ่งขุยหัวหน้าสำนักการบูชาจิ่งเหวินซีเท่านั้น แต่ข้าจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ผู้เป็นอีสุกอีใสใช้แล้วมาให้เฉินซีใช้ ทำให้เฉินซีเป็นอีสุกอีใสไปด้วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงได้คุมขังนางไว้ในคุก หรือว่านางถูกปล่อยตัวออกมาแล้วหรือ?”

สีหน้าของจักรพรรดิหนิงเริ่มอึดอัดขึ้นมาในทันที เขาหัวเราะและกล่าวว่า “ใช่แล้ว ในหลายวันมานี้ใต้เท้าจิ่งช่วยเจิ้นได้ไม่น้อย ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่มั่นคงนัก มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้งานได้ ดังนั้นเมื่อใต้เท้าจิ่งขอให้ปล่อยตัวลูกสาวของเขาออกมา เจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมตกลง นอกจากนี้เฉินซีก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เย็นเยียบ ใบหน้าของนางนิ่งเรียบไร้อารมณ์ เพียงก้มศีรษะและกระซิบเบาๆ “ในเมื่อเสด็จพ่อปล่อยตัวคนออกมาแล้ว หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก” เมื่อพูดจบก็ดูเหมือนนางจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้จึงหันไปหาจิ้งอ๋อง “เพียงแต่… แม่นางจิ่งนั้นมาสารภาพรักกับท่านอยู่หลายครั้งแล้ว ในเมื่อเสด็จพ่อบอกว่าใต้เท้าจิ่งมีความดีความชอบต่อแคว้นนักก็ทำตามที่แม่นางจิ่งปรารถนาเถอะเพคะ เสด็จพ่อแต่งตั้งนางให้เป็นชายารองของจิ้งอ๋องเถอะ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่มีอารมณ์ดีนัก แต่ก็ไม่ใช่คนใจแคบไม่เห็นใครในสายตา อย่างไรก็คงเข้ากับแม่นางจิ่งได้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 337 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง (๒)

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 337 การเปลี่ยนแปลงในวังหลวง (๒) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะที่นางพูดก็ได้ยินเสียงของจักรพรรดิหนิงแว่วมาจากด้านนอก “ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเจ้าดังมาแต่ไกล กำลังคุยอะไรกันหรือ?”

หยุนชางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจิ่นกุ้ยเฟยเลือนหายไปเมื่อได้ยินเสียงนั้น นางอดลอบถอนหายใจในใจไม่ได้แล้วยืนขึ้นและแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรย่อกายทำความเคารพจักรพรรดิหนิงที่เดินเข้ามา “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เพิ่งดุว่าชางเอ๋อร์บังอาจที่กล้าหนีไปที่สนามรบคนเดียว เพื่อทำให้เสด็จแม่ดีใจ ชางเอ๋อร์จึงเล่าเรื่องขายหน้ายามที่อยู่วิหารแคว้นหนิงเพคะ เมื่อครู่พูดถึงตอนเจ้าอาวาสอู๋น่าไม่ยอมให้ชางเอ๋อร์กินเนื้อในวิหารและให้กินมังสวิรัติอยู่เป็นเวลานาน วันหนึ่งชางเอ๋อร์อยากกินเนื้อมาก แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนมีเนื้อ เห็นว่าเจ้าอาวาสอู๋น่าเลี้ยงนกพิราบไว้สองสามตัว จึงแอบขอให้ฉินยีฆ่าพวกมันและเอามาย่าง ทำให้เจ้าอาวาสโมโหใหญ่เลยเพคะ”

จักรพรรดิหนิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน โดยไม่ทันสังเกตว่าหยุนชางนั้นมีแววตาเย็นชา “เจ้าเคยสร้างปัญหาบ่อยนักเมื่อครั้งยังเยาว์ เกรงว่าอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงก็คงไม่ต่างกัน ลำบากเจ้าอาวาสอู๋น่าแล้ว เขากลับไม่ได้เอามาฟ้องข้า”

หยุนชางก็หัวเราะไปกับเขาและเดินไปอยู่ด้านข้างจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องถูกขันทีผู้หนึ่งพยุงไว้ หยุนชางเดินไปช่วยพยุงเขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วยิ้มให้จิ่นกุ้ยเฟย “หลายวันมานี้ชางเอ๋อร์รีบร้อนเดินทาง วันนี้เสด็จแม่ต้องทำของอร่อยให้ชางเอ๋อร์กินนะเพคะ”

จิ่นกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ และพยักหน้า “ตกลง” จากนั้นนางก็มองไปที่ขาของจิ้งอ๋องแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “จิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บหรือ?”

จิ้งอ๋องนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินคำถามของจิ่นกุ้ยเฟยก็เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าพลางหัวเราะ “หม่อมฉันถูกปิดล้อมโดยทัพเซี่ยที่เมืองจิ้งหยาง ตอนนั้นเรามีทหารเพียงสองแสนนายแต่ทัพเซี่ยมีถึงหกแสนนาย โชคดีที่ชางเอ๋อร์นำกำลังจากคังหยางมาช่วย มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ เพียงแต่หม่อมฉันก็ได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปหลายวัน ตลอดทางที่กลับมาได้ชางเอ๋อร์เป็นคนดูแลมาโดยตลอด เพิ่งจะฟื้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง”

“ร้ายแรงมากเลยหรือ? ให้หมอหลวงตรวจดูแล้วหรือยัง?” จิ่นกุ้ยเฟยเอ่ยถามด้วยความกังวล

จักรพรรดิหนิงที่อยู่ด้านข้างยิ้มและพูดว่า “เจิ้นเพิ่งเชิญหมอหลวงมาตรวจดูบอกว่าแผลหายดีแล้ว แต่เมื่อสองวันก่อนมันกลับปริแตกออกมาอีก เกรงว่าคงต้องอยู่เฉยๆ สักพัก ช่วงนี้จะให้เขาเหนื่อยมากไม่ได้”

จิ่นกุ้ยเฟยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงถอยออกไปด้านข้างและสั่งให้เจิ้งมามาเตรียมสำรับ

จิ้งอ๋องดูเหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองหยุนชาง หยุนชางยิ้มพลางส่ายหัว นางจับมือของจิ้งอ๋อง ดวงตาฉายแววเย็นชาแวบหนึ่ง จิ้งอ๋องจึงก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไร…

“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บก็ควรจะพักผ่อนอยู่ในจวน เสด็จพ่อห้ามให้ท่านอ๋องทำงานมากนะเพคะ” หยุนชางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง

จักรพรรดิหนิงถูกท่าทางไม่แยแสของจิ่นกุ้ยเฟยทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เมื่อหยุนชางกล่าวเช่นนั้น เขาจึงหัวเราะออกมา “เจิ้นไม่กล้าหรอก”

หยุนชางสนทนากับจักรพรรดิหนิงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาถามมากที่สุดก็คือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของหยุนชางในค่ายทหาร ระหว่างทางมานั้นหยุนชางและจิ้งอ๋องได้เตรียมคำตอบที่เหมือนกันเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงโต้ตอบกันได้อย่างไหลลื่น

ไม่นานจิ่นกุ้ยเฟยก็ให้คนยกอาหารเข้ามา ทั้งสี่กินอาหารด้วยกัน แม่นมนำเฉินซีออกมาพอดี หยุนชางจึงอุ้มเฉินซีไปเล่นอยู่ด้านข้าง ตอนนี้เฉินซีอายุได้สี่เดือนแล้ว ตัวเขาโตขึ้นมาก ตัวขาวนุ่มนิ่ม น่ารักเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะยังจำคนแปลกหน้าไม่ค่อยได้ แต่เมื่อหยุนชางอุ้มเขา เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุขทำให้หยุนชางหัวเราะอยู่นาน

แม่นมบอกว่าได้เวลาให้นมองค์ชายน้อยแล้ว หยุนชางจึงคืนเฉินซีให้นางและหันไปมองจักรพรรดิหนิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เมื่อเห็นเฉินซี จู่ๆ หม่อมฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ชางเอ๋อร์อยู่ที่ชายแดน ได้ยินพ่อค้าที่กลับมาจากแคว้นเย้หลางบอกว่าเสด็จพี่กลายเป็นสนมคนโปรดขององค์ชายใหญ่และดูเหมือนกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่…”

ในตำหนักเงียบลง หยุนชางเห็นจักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาวาววับด้วยความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด

หยุนชางยิ้มจางๆ “เมื่อครู่ที่พบเฉินซี ชางเอ๋อร์จึงนึกขึ้นได้ ถึงแม้ว่าอัครมหาเสนาบดีหลี่จะทำการก่อกบฏ แต่โทษนั้นก็ไม่ได้ไปถึงลูกหลาน อีกทั้งเลือกในกายของเสด็จพี่ก็ยังเป็นของเสด็จพ่อด้วย น่าเสียดายที่อัครมหาเสนาบดีหลี่ทำเช่นนั้น แม้แต่ฮองเฮาก็ช่วยเขา ก่อนหน้านี้เสด็จพี่ก็เป็นอย่างนั้น” นางเว้นวรรคแล้วถอนหายใจ “ดูแล้วการกระทำของผู้ใหญ่นั้นในบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อลูกหลานเป็นอย่างมาก เพียงแต่องค์รัชทายาทแห้งแคว้นเย้หลางดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องของอัครมหาเสนาบดีหลี่และฮองเฮา ชางเอ๋อร์ได้ยินมาว่าเขากำลังคิดจะพาเสด็จพี่มาที่แคว้นหนิงเพื่อทักทายเสด็จพ่อด้วยนะเพคะ”

สายตาของจักรพรรดิหนิงเปล่งประกายอาฆาต เขาเพ่งมองมาที่หยุนชาง แต่กลับเห็นราวกับนางเพียงบังเอิญเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ ในใจจึงยิ่งอึดอัด เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ลูกสาวที่ทำขายหน้าเช่นนั้น เจิ้นไม่มีเสียยังดีกว่า”

หยุนชางขมวดคิ้วน้อยๆ และถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ตอนข้ายังเล็ก เสด็จพี่ก็คอยปกป้องข้ามาตลอด เพียงแต่ต่อมา…” หลังจากนั้นนางก็ยิ้มและจับมือของจิ่นกุ้ยเฟย “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ชางเอ๋อร์จะดูแลเฉินซีเป็นอย่างดี หากมีใครต้องการรังแกเขา อย่างไรชางเอ๋อร์ก็จะไม่ปล่อยไว้แน่และจะรักและปกป้องเขาตลอดไป”

จิ่นกุ้ยเฟยยิ้มบางๆ “แม่เชื่อชางเอ๋อร์”

จักรพรรดิหนิงมองกลับไปกลับมาระหว่างจิ่นกุ้ยเฟยและหยุนชางอยู่นาน สุดท้ายเขาก็เพียงขมวดคิ้วเท่านั้นแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หยุนชางจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดคุยหัวเราะขึ้นอีกครั้งกับจักรพรรดิหนิง

จักรพรรดิหนิงอยู่ที่วังจิ่นซิ่วไม่นานก็เห็นขันทีเจิ้งรีบเดินเข้ามาเรียกเขาอย่างรีบร้อน เขาเงยหน้ามองจิ้งอ๋อง หยุนชางและจิ่นกุ้ยเฟยทั้งสามคนและไม่ได้พูดอะไรอีก

จักรพรรดิหนิงเห็นว่าเป็นเพราะหยุนชางทำให้รอยยิ้มอันหายากยิ่งในช่วงนี้ของจิ่นกุ้ยเฟยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางได้ เขาจึงถามกลับอย่างไม่ค่อยใส่ใจว่า “มีอะไรหรือ?”

ขันทีเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แม่นางจิ่งเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”

หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันใดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม่นางจิ่ง? เท่าที่ข้ารู้แม่นางที่แซ่จิ่งในเมืองหลวงนี้มีเพียงลูกสาวของจิ่งขุยหัวหน้าสำนักการบูชาจิ่งเหวินซีเท่านั้น แต่ข้าจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ผู้เป็นอีสุกอีใสใช้แล้วมาให้เฉินซีใช้ ทำให้เฉินซีเป็นอีสุกอีใสไปด้วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงได้คุมขังนางไว้ในคุก หรือว่านางถูกปล่อยตัวออกมาแล้วหรือ?”

สีหน้าของจักรพรรดิหนิงเริ่มอึดอัดขึ้นมาในทันที เขาหัวเราะและกล่าวว่า “ใช่แล้ว ในหลายวันมานี้ใต้เท้าจิ่งช่วยเจิ้นได้ไม่น้อย ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่มั่นคงนัก มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้งานได้ ดังนั้นเมื่อใต้เท้าจิ่งขอให้ปล่อยตัวลูกสาวของเขาออกมา เจ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมตกลง นอกจากนี้เฉินซีก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”

เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เย็นเยียบ ใบหน้าของนางนิ่งเรียบไร้อารมณ์ เพียงก้มศีรษะและกระซิบเบาๆ “ในเมื่อเสด็จพ่อปล่อยตัวคนออกมาแล้ว หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก” เมื่อพูดจบก็ดูเหมือนนางจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้จึงหันไปหาจิ้งอ๋อง “เพียงแต่… แม่นางจิ่งนั้นมาสารภาพรักกับท่านอยู่หลายครั้งแล้ว ในเมื่อเสด็จพ่อบอกว่าใต้เท้าจิ่งมีความดีความชอบต่อแคว้นนักก็ทำตามที่แม่นางจิ่งปรารถนาเถอะเพคะ เสด็จพ่อแต่งตั้งนางให้เป็นชายารองของจิ้งอ๋องเถอะ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่มีอารมณ์ดีนัก แต่ก็ไม่ใช่คนใจแคบไม่เห็นใครในสายตา อย่างไรก็คงเข้ากับแม่นางจิ่งได้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+