ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 150 หัวจิ้งออกจากคุก

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 150 หัวจิ้งออกจากคุก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จักรพรรดิหนิงและหมิงไท่เฟยได้ยินเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึง แววตาของหมิงไท่เฟยจ้องมองไปที่หยุนชาง และพบว่าสีหน้าของหยุนชางนิ่งเงียบอย่างมาก นางครุ่นคิดและทรงตรัสว่า "ใช่แล้ว จิ้งเอ๋อร์ก็ถือเป็นพระราชนิกุล ไม่ว่านางจะทำผิดเรื่องอันใด หากว่านางรู้ว่าตนทำผิดก็ย่อมดี อีกทั้ง เรื่องนั้นฟังดูมีเงื่อนงำ แม้ว่าข้าทราบข่าวก็ยังรู้สึกแปลกใจ จิ้งอ๋องไม่ทำเช่นนั้นหรอก ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการปล่อยจิ้งเอ๋อร์ออกมาเถิด"

จักรพรรดิหนิงเงียบอยู่นานจึงตรัสว่า "เจิ้นขอกลับไปคิดดูก่อน"

ดูเหมือนว่าหมิงไท่เฟยไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้สักเท่าไหร่ สีหน้าของพระองค์ทรงแย่ลงเล็กน้อย หยุนชางเสวยซุปเห็ดหูหนูขาวพร้อมอมยิ้ม จักรพรรดิหนิงทรงลุกขึ้นและเสด็จ หยุนชางก็ลุกขึ้นและน้อมลาหมิงไท่เฟย และตามจักรพรรดิหนิงออกจากวังฉางชุนไป

ระหว่างทางที่เสด็จ จักรพรรดิหนิงทรงถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า "เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงคิดอยากจะขอร้องให้ปล่อยเสด็จพี่ของเจ้าล่ะ?"

หยุนชางยิ้มและกล่าวว่า " เสด็จอาทรงขอให้หม่อมฉันตรัสกับเสด็จพ่อเพคะ เสด็จอาทรงตรัสว่าให้ชางเอ๋อร์ทูลกับเสด็จพ่อว่า องค์ชายสามของแคว้นเย้หลางแอบเข้าเมืองหลวงมาแล้วเพคะ วันนี้ขณะที่ชางเอ๋อร์กำลังเดินทางด้วยเกวียนม้าของจิ้งอ๋อง และจู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ามา และโดนเกวียนม้าพุ่งเข้าใส่เพคะ ชายผู้นั้นจงใจกวนประสาทนางกำนัลของชางเอ๋อร์ เมื่อชางเอ๋อร์ลงจากเกวียนม้าเขาก็จงใจกล่าวคำที่แทงใจชางเอ๋อร์เพคะ และได้ทราบถึงตัวตนของชางเอ๋อร์ เสด็จอาทรงตรัสว่า ชายผู้นั้นคือองค์ชายสามของแคว้นเย้หลางเพคะ"

จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ และเข้าใจทันทีว่าเหตุใดจิ้งอ๋องจึงขอให้ชางเอ๋อร์อ้อนวอนและขอให้ปล่อยตัวหัวจิ้ง คนที่องค์ชายสามแห่งแคว้นหนิงต้องการสมรสด้วยนั้นคือหัวจิ้ง หลังจากที่เขามาถึงเมืองหลวง ก็คงทราบเรื่องที่หัวจิ้งอยู่ในคุก หลังจากที่เขาได้ทราบเรื่องนี้ เขากลับหาทางเพื่อพบหยุนชาง และเขาคงมีความคิดที่ไม่ดีต่อหยุนชางกระมั้ง

จักรพรรดิหนิงจ้องมองหยุนชางและส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้ ชางเอ๋อร์เป็นพระราชธิดาของจิ่นเฟย ตนได้ทำให้จิ่นเฟยเสียใจมามากแล้ว อย่าได้ทำให้นางต้องเสียใจอีก จักรพรรดิหนิงคิดในใจ และก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พระองค์ทรงพยักหน้าและตรัสว่า "ช่วงนี้เจ้ามิต้องออกวังไปไหน"

หยุนชางตอบกลับ "เสด็จอาก็ทรงตรัสเช่นนี้กับหม่อมฉันเช่นกันเพคะ ชางเอ๋อร์จะไม่ออกจากวังโดยไม่จำเป็นเจ้าค่ะ เสด็จพ่อทรงวางใจได้เลยเพคะ"

จักรพรรดิหนิงพยักหน้า "แล้วจู่ๆ เจ้าก็เสนอว่าให้หลิวเจ้าอี๋เข้าวัง นี่ก็เป็นคำสั่งของจิ้งอ๋องหรือ?" แววตาระแวงปรากฏขึ้นในดวงตาของจักรพรรดิหนิง หากเป็นเช่นนี้ ก็มิควรโปรดปรานหลิวเจ้าอี๋มากนัก

หยุนชางส่ายหน้าและก้มหน้าลง ราวกับว่าเขินอายเล็กน้อย " ชางเอ๋อร์เห็นว่าวันนั้นนางรำดาบได้สวยงามอย่างมาก และคิดว่าเสด็จอานั้นทรงอยู่ในสนามรบมานาน ท่านอาจจะชอบการเต้นรำเช่นนั้น ฉะนั้นจึงอยากฝึกเพคะ"

เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ และเห็นท่าทีที่เขินอายของหยุนชาง ก็อดหัวเราะไม่ได้และทรงตรัสว่า "ชางเอ๋อของเจิ้นโตขึ้นมากแล้ว"

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หยุนชางก็น้อมลาจักรพรรดิหนิงและกลับไปที่วังชิงซิน

วันที่สองจักรพรรดิหนิงก็ทรงออกพระราชโองการ และตรัสว่าจำตัวผู้ร้ายตัวจริงที่วางยาพิษหลี่อิ๋งอิ๋งในวันส่งท้ายปีเก่าได้แล้ว เป็นฝีมือของน้องสาวคนละมารดาของนาง พระมารดาของหญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวใช้ ไม่ค่อยมีหน้ามีตา ดังนั้นมหาเสนาบดีหลี่จึงมิได้ยอมรับในตัวนาง ให้นางเป็นเพียงสาวใช้และคอยปรนนิบัติหลี่อิ๋งอิ๋ง หญิงสาวผู้นั้นจึงแค้นใจ และคิดวางยาเพื่อทำร้ายหลี่อิ๋งอิ๋ง"

ไม่มีใครสนใจว่านางเป็นเพียงสาวใช้ในจวนมหาเสนาบดี แต่สามารถวางยาพิษบนสายของเครื่องขิมที่อยู่ในวังโดยมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาเช่นนี้ได้อย่างไร

และหัวจิ้งก็ถูกปล่อยตัวออกมา ไม่นาน จักรพรรดิหนิงได้ออกพระราชโองการฉบับที่สอง ให้หัวจิ้งและพระสวามีหย่าร้างกัน เนื่องจากจักรพรรดิหนิงได้ทรงปิดข่าวที่จ้าวอิงเจี๋ยยังมีชีวิตอยู่ไว้ ปวงประชาจึงไม่ได้คัดค้าน เมื่อคิดแล้วก็จริง องค์หญิงผู้สูงศักดิ์เช่นนี้จะเต็มใจเป็นม่ายได้อย่างไร ในแคว้นหนิงนี้ หญิงม่ายเป็นหญิงที่โชคร้ายมาก แต่หากหย่าร้างกันอย่างดี ก็จะทำให้อุปสรรคในงานอภิเษกสมรสของนางลดน้อยลง

หยุนชางยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางยิ้มเบาๆ หัวจิ้งเจ้าคิดว่าเจ้าหนีรอดแล้วหรือ? หายนะครั้งใหญ่กำลังจะมาถึงต่างหากล่ะ………..

"องค์หญิงเพคะ มีข่าวจากนอกวังว่าวันนี้องค์หญิงหัวจิ้งไปที่จวนมหาเสนาบดีเพคะ เหมือนว่าท่านจะทรงเสวยพระกระยาหารค่ำแล้วจึงกลับจวนองค์หญิงเพคะ" เฉี่ยนอินกล่าวด้วยเสียงเบาๆ อยู่ข้างๆ หยุนชาง

หยุนชางเลิกคิ้วขึ้น "หือ? หากเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องออกวังสักเที่ยวแล้ว เจ้าบอกกับเฉียนเฉี่ยนหรือยัง? ประเดี๋ยวนี้เจ้าอย่าลืมสวมหน้ากากหนังคน แล้วนอนพักบนเตียงนะ"

เฉี่ยนอินพยักหน้าและกล่าวว่า " เฉียนเฉี่ยนกล่าวว่าได้เตรียมการเรียบร้อยแล้วเพคะ"

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หยุนชางเปลี่ยนชุดเดินทางในยามมืด แล้วกระโดดออกนอกหน้าต่างไป เฉี่ยนอินสวมหน้ากากหนังคนที่เตรียมไว้อย่างพิเศษ แล้วนอนบนเตียงแกล้งว่าเจ็บไข้

แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อหยุนชางมาถึงนอกวัง ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว หยุนชางไปพบหนิงเฉี่ยนและผู้ติดตามอีกสองสามคน และเฝ้ารอดูเกวียนม้าที่จอดอยู่ตรงข้ามจวนมหาเสนาบดี ไม่นานเกวียนม้าก็เริ่มออกเดินทาง หยุนชางตามไปอย่างเงียบ ๆ และเดินทางไประยะหนึ่ง ตลอดทางนั้นเงียบสงบอย่างมาก หยุนชางขมวดคิ้ว แล้วเดินไปข้างหน้าและวางหินลงบนพื้น เกวียนม้าของหัวจิ้งมาชนกับหินก้อนนั้น ทำให้เกวียนม้านั้นสะดุดอย่างรุนแรง และหยุดลง เสียงที่ไม่สบอารมณ์ของหัวจิ้งดังมาจากด้านในเกวียนม้า "เกิดอะไรขึ้น?"

คนบังคับเกวียนม้าก็รีบกล่าวว่า "ไม่มีกระไรขอรับองค์หญิง เพียงแค่ไปสะดุดก้อนหินขอรับ" หลังจากที่ตอบกลับ เขากำลังจะขึ้นเกวียนไปเพื่อนเดินทางต่อ แต่ก็พบชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเกวียนม้า " เจ้า เจ้าคือใคร? คิดอยากทำอะไร?"

ชายผู้นั้นยิ้มเยาะเย้ย " ข้าหรือ? ข้าเป็นคนรู้จักขององค์หญิง ขอพบองค์หญิงขอรับ" คนที่อยู่บนเกวียนม้าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงผลักประตูออก หัวจิ้งยื่นศีรษะออกมาและมองไปที่ชายผู้นั้น และชะงักอย่างกะทันหัน "เจ้า เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ที่นี่คือเมืองหลวงของแคว้นหนิงนะ……"

สายตาของชายผู้นั้นจ้องไปที่ใบหน้าของนาง รอยยิ้มของเขาเย็นชาลงกว่าเดิม "เจ้าจริงๆ ด้วย ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะคุยที่นี่หรือไปที่ข้างหน้านั้นขอรับ?"

หัวจิ้งหันหน้ามา มองไปที่คนบังคับเกวียนม้าและสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ นางเอามือแตะที่ท้องของตน ผ่านไปอยู่นานจึงได้กัดปากแล้วกล่าวว่า " ไปที่อื่นดีกว่า"

ขณะที่พูด หัวจิ้งก็ลงจากเกวียนม้าและเดินอ้อมออกไปไกลๆ แต่ยังอยู่ในสายตาของคนบังคับเกวียน เมื่อคาดว่าอีกฝั่งคงไม่ได้ยินเสียงตนแล้ว จึงกล่าวว่า "ชางเจียชิงซูเจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ข้าไม่ทราบข่าวเลยว่าเจ้ามาที่เมืองหลวง เจ้ามาอย่างลับๆ หรือ?"

ที่แท้แล้ว ชายผู้นั้นเป็นองค์ชายสามของแคว้นเย้หลาง ชางเจียชิงซูนี่เอง

ชางเจียชิงซูยิ้มอย่างเย็นชา "หากข้าไม่มาที่นี่ แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าเจ้าใจกล้าเช่นนี้ กล้าแม้แต่จะหลอกข้า? เจ้าบอกกับข้าว่าเจ้าเป็นองค์หญิงฮุ่ยกั๋วมิใช่หรือ? แล้วเจ้ากลายเป็นองค์หญิงหัวจิ้งได้อย่างไร? หึหึ ข้าเองก็ช่างโง่เขลาที่เชื่อเจ้า โดยไม่คะนึงว่า องค์หญิงฮุ่ยกั๋วมีอายุเพียงสิบห้าปี อายุสิบห้าปีจะมีรูปลักษณ์เช่นเจ้าได้อย่างไร"

หัวจิ้งกัดฟันและนานจึงกล่าวไปว่า "ในสถานการณ์เช่นนั้น ข้าจะกล้าบอกตัวตนที่แท้จริงของข้าไปได้อย่างไร………."

ชางเจียชิงซูกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ " เจ้าเป็นคนที่สมรสไปแล้ว มิน่าล่ะถึงได้…เก่งเรื่องบนเตียง… เช่นนั้น เจ้าหลอกลวงข้างั้นหรือ อีกทั้งยังหลอกให้ข้าเขียนจดหมายขออภิเษกสมรสกับองค์หญิงฮุ่ยกั๋ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นความผิดเช่นไร? "

หัวจิ้งกล่าวอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินเช่นนี้ "เจ้าคิดว่าข้าไม่ทราบหรือว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาการแย่งชิงพระราชบัลลังก์ที่ดุเดือดที่สุดของแคว้นเย้หลาง หากว่าเจ้าสามารถอภิเษกสมรสกับน้องหญิงของข้าได้ และได้รับการสนับสนุนจากเสด็จพ่อของข้า และแน่นอนก็ต้องมีโอกาสชนะมากขึ้น และเจ้าก็คิดเช่นนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเจ้าจะเดินทางมาที่เมืองหลวงหรือ?"

ชางเจียชิงซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนี้ "ข้าไม่สนใจเด็กหญิงอายุ 15 ที่ยังพัฒนาการไม่เต็มที่ และดูอ่อนแอเช่นนั้นหรอก เจ้าแน่ใจหรือว่านางจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงแคว้นเย้หลางได้? หากว่านางป่วย และเสียชีวิตระหว่างทาง เช่นนี้ไม่เพียงแต่จักรพรรดิหนิงจะไม่ช่วยข้า อีกทั้งพระองค์คงคิดหาทางแก้แค้นข้าอย่างแน่นอน อีกอย่าง เสด็จพ่อของเจ้าได้ทรงพระราชทานสมรสให้กับองค์หญิงและจิ้งอ๋องแล้ว ข้าไม่อยากจะแย่งหญิงสาวกับจิ้งอ๋องหรอก"

หัวจิ้งกัดริมฝีปากและกล่าวว่า "หญิงสาวที่แม้แต่จิ้งอ๋องยังทรงโปรดปราน เจ้าไม่สนใจหรือ? แล้วเจ้าจะไม่รับการสนับสนุนจากเสด็จพ่อแล้วหรือ?"

"หึ ทางเลือกที่ดีกว่าอยู่ตรงนี้แล้วมิใช่หรือ? เสด็จแม่ของเจ้าเป็นพระราชินีมิใช่หรือ? ท่านตาของเจ้า เป็นมหาเสนาบดีหลี่ที่มีอำนาจมิใช่หรือ? หากว่าข้าอภิเษกสมรสกับเจ้า ก็ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ นอกจากจักรพรรดิหนิงแล้ว ยังมีการสนับสนุนจากพระราชินีและมหาเสนาบดี ทำไมหรือ เจ้านั้นเคยผ่านเรื่องนั้นๆ กับข้ามาแล้ว ไม่คิดอยากจะช่วยข้าเลยหรือ? อีกอย่างเจ้าเคยสมรสไปแล้ว ในแคว้นหนิงนี้ยังมีใครที่กล้าอภิเษกกับเจ้าอีกหรือ? หากว่าข้าได้เป็นองค์รัชทายาทของแคว้นเย้หลาง ฉะนั้นเจ้าก็คือพระชายาองค์รัชทายาท วันหน้าข้าได้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เจ้าก็คือราชินี เจ้าไม่อยากครองตำแหน่งราชินีหรือ?" ชางเจียชิงซูเลิกคิ้วและมองจ้องไปที่หัวจิ้งด้วยสายตาที่แผดเผา

ราชินี…ดวงตาของหัวจิ้งฉายแววโลภออกมาเล็กน้อยอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวและกล่าวว่า "ข้าคือองค์หญิงที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงโปรดปรานที่สุด พวกท่านคงไม่อยากให้ข้าอภิเษกไปแดนไกลเช่นนั้นหรอก ส่วนเรื่องอภิเษกสมรสนั้น องค์ชายสามมิต้องกังวลไปหรอก….."

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชางเจียชิงซูก็เผยรแววตาที่ดุร้ายออกมา แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแววตาที่มีเล่ศนัย "คืนนั้นบนเตียงในกระโจมขอข้า เรือนร่างขององค์หญิงช่างเข้ากับข้าได้ดีเหลือเกิน ข้าก็คิดคะนึงถึงองค์หญิงอย่างมาก องค์หญิงไม่คิดถึงข้าหรือ? ในที่สุดข้าก็แอบเข้ามาในเมืองหลวงนี้ได้ หรือว่าคืนนี้เรามารื้อฟื้นความรู้สึกมหัศจรรย์ของวันนั้นกันอีกดีหรือไม่ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่? "

หัวจิ้งชะงัก กัดริมฝีปากไว้ ผ่านไปอยู่นานจึงกล่าวว่า "เจ้าบ้าไปแล้ว"

ชางเจียชิงซูขยับเข้าใกล้หัวจิ้งและกล่าวว่า " ข้าบ้า ช้าบ้าไปแล้วจริงๆ แต่ก็เป็นเพราะคิดคะนึงถึงองค์หญิง องค์หญิงกลับไปรอที่ตำหนักองค์หญิงก่อนแล้วกัน อีกไม่นานข้าก็ไปถึง"

หัวจิ้งขมวดคิ้วพยายามที่จะโต้ตอบ แต่ชางเจียชิงซูได้หันหลังจากไปแล้ว

"องค์หญิง เป็นอันใดหรือเพคะ?" เมื่อเห็นชางเจียชิงซูจากไป สาวใช้จึงรีบเดินเข้าไปและถาม

หัวจิ้งกระทืบเท้าและกล่าวอย่างดุเดือดว่า "ไม่เป็นอันใด ในตำหนักมีทหารอยู่เท่าไหร่ ให้หัวหน้าออกคำสั่งไป ให้ทุกคนอยู่เวรตลอดทั้งคืน หากพบแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ให้ประหารทันที"

มีความสงสัยแวบเข้ามาในดวงตาของสาวใช้ แต่นางก็ยังตอบด้วยเสียงเบาๆ ว่า "เพคะ หม่อมฉันทราบเพคะค่ะ" ขณะที่กล่าวนางก็พยุงหัวจิ้งขึ้นบนเกวียนม้า และเกวียนม้าก็ออกเดินทางต่อไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด