ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 22 เธอเริ่มโตขึ้น

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 22 เธอเริ่มโตขึ้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ็ดปีต่อมา

มีครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ไม่ไกลจากวิหารแคว้นหนิง พวกเขาย้ายไปที่เมืองเล็ก ๆ นั้นเมื่อสิบปีก่อน และซื้อเรือนที่ดีที่สุดในเมืองไว้ หัวหน้าของครอบครัวนั้นชายหล่อเหลาหญิงก็งดงาม แต่แทบไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในเมืองนั้นเลย คนที่ไปมาจัดการเรื่องต่างๆ นั้นล้วนเป็นพ่อบ้านหรือบ่าวรับใช้ คนในเมืองนั้นรู้เพียงแค่ว่าเจ้าของเรือนนั้นนามสกุลเซียว ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกเขาไม่ทราบอะไรเลย

ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มหนาวเย็นลงแล้ว มีคนสองคนนั่งอยู่ในศาลาหลังบ้านอันลึกลับของจวนเซียว ผู้ชายอายุประมาณสี่สิบปี เขาสวมชุดสีน้ำเงินไว้และหว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน " ข้าลงหมากที่จุดนี้"

"ท่านตาแน่ใจแล้วหรือ? " ตรงข้ามนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ อายุราวๆ สิบสี่สิบห้า ดวงตาราวน้ำใส แต่มีความเย็นชาเบาๆ นิ้วทั้งสิบของเธอเรียวสวย ผิวของเธอเป็นสีครีม ขาวอมชมพูราวกับว่าอมน้ำอยู่ ริมฝีปากที่หนาและสวยงาม รอยยิ้มและคำพูดนั่นงดงามเหลือทน ผมของเธอยาวถึงข้อเท้าเธอใช้เส้นคาดผมมัดผมอย่างลวมๆ เส้นคาดผมสีน้ำเงินก็เต้นไปกับสายลม เธอสวมชุดสีขาวลากยาวถึงพื้น มีลวดลายของผีเสื้ออยู่รางๆ สวยงามจนน่าตื่นเต้น เมื่อมองอย่างตั้งใจ ผู้หญิงคนนี้ก็คือหนิงหยุนชางที่โตแล้วนั่นเอง

เซียวหย่วนซายพยักหน้า "ข้ามั่นใจ"

หนิงหยุนชางยิ้มเล็กน้อย เธอถือหมากตัวสีดำขึ้นแล้ววางลง "ท่านตาออมมือให้กับหนู ชางเอ๋อร์ชนะอีกแล้วค่ะ"

เซียวหย่วนซางขมวดคิ้วและมองไปที่กระดานหมากรุก นานกว่าจะพูดขึ้นมาว่า "เฮ้อ ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนสอนเจ้าเล่นหมากรุกนี้ แต่นี่ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ข้าก็เอาชนะเจ้าไม่ได้เสียแล้ว คราวหน้าหากไปที่วิหารแคว้นหนิงต้องให้เจ้าอาวาสอู๋น่าตาแก่นั่นมาลองริมรสความรู้สึกนี้ให้ได้"

หยุนชางกระพริบตา เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้ว่าท่านตาของตนจะอายุมากแล้ว แต่เขาก็ชอบมีปัญหากับเจ้าอาวาสอู๋น่าอยู่ตลอด ผ่านไปช่วงหนึ่งก็จะไปหาเรื่องแกล้งเขาอยู่บ่อยๆ ว่ากันว่าก่อนที่เจ้าอาวาสอู๋น่าจะบวช เขาสนิทสนมกับท่านยายของตนอย่างมาก ต่อมาท่านยายของตนแต่งงานกับท่านตา เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่างอู๋นาเองก็ออกบวช ก็ ทั้งสองคนก็มักจะไม่ถูกกัน หากพูดตามความหมายของท่านตา เขาสองคนนั้นเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่หยุนชางกลับรู้สึกว่ามิตรภาพของพวกเขานั้นกลับแข็งแกร่งมาก

"มีเรื่องหนึ่ง ชางเอ๋อร์ พระอู๋น่าตาแก่นั่นบอกว่าฮ่องเต้ได้ส่งคนมารับเจ้าที่วิหารแคว้นหนิงอีกแล้ว เขาบอกว่าอีกเดือนกว่าก็จะเป็นวันเกิดปีที่สิบห้าของเจ้าแล้ว เขาอยากจะรับหนูกลับไป ฮ่องเต้นี้ก็ช่างน่ารำคาญจริงๆ เลยนะ มารับทุกปีเขาไม่เหนื่อยหรือไง ข้าบอกกับพระอู๋น่าตาแก่นั้นแล้ว ให้เขาปฏิเสธไปเหมือนเช่นเคยแล้ว….. "

เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเธอก็มองไปที่บึงข้างๆ นั้นอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา "ท่านตาคะ คราวนี้ข้าวางแผนไว้ว่าจะกลับไปที่วังแล้วค่ะ …"

มือของเซียวหย่วนซานที่กำลังเก็บหมากอยู่ก็ชะงัก "เป็นอะไรหรือ? เบื่อที่จะอยู่กับตาแล้วเหรอ? "

หยุนชางยืนขึ้น แล้วเดินไปนั่งข้างๆเซียวหย่วนซาน เธอมองไปที่เซียวหย่วนซานแล้วพูดเบาๆว่า "จะเป็นไปได้ยังไงคะท่านตา ท่านตาเป็นคนที่ดีกับหนูที่สุดแล้วค่ะ ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านตาตามขอความช่วยเหลือจากหลายๆคนเพื่อหนู แถมยังขอให้คนสอนเล่มขิม สอนหมากรุก สอนพู่กันจีน สอนวาดภาพ และยังสอนหนูให้วางกลยุทธ์ทหาร สอนให้หนูทำการค้า สอนให้หนูรู้จักฝึกฝนอำนาจของตน ความรักเหล่านี้ ฉางเอ๋อร์ทราบดีค่ะ และช่วงเวลาเหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับชางเอ๋อร์เช่นกันค่ะ พระราชวังเป็นสถานที่ที่หนูไม่อยากกลับไปมากที่สุด แต่ว่าเสด็จแม่ของหนูยังอยู่ที่นั่นนะคะ และบางสิ่งบางอย่างก็ต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว ชางเอ๋อร์กำลังจะบรรลุนิติภาวะและโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกอย่างด้วยการฝึกฝนดูแลอย่างดีของท่านตาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ชางเอ๋อร์ได้แข็งแกร่งขึ้น และไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่อ่อนแออีกต่อไปแล้วนะคะ ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูจะดูแลปกป้องตัวเองและปกป้องเสด็จแม่ให้ดีอย่างแน่นอนค่ะ"

เซียวหย่วนซานเงียบเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจและกล่าวว่า "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายอู๋น่าตาแก่นั้นก็พูดถูกจริงด้วย คนที่มาส่งข่าวนั้นยังอยู่ที่วิหารแคว้นหนิง แต่ว่า ต้องกลับมาเยี่ยมตาบ่อยๆนะ ตาอยู่ที่นี่น่าเบื่อมาก ท่านลุงของหนูก็ไม่ค่อยกลับมาบ้านอีก……"

"ชางเอ๋อร์จะกลับมาอยู่แล้วค่ะ" หยุนชางยิ้ม และนั่งอยู่ในศาลากับเซียวหย่วนซานอยู่เป็นเวลานาน วันที่สองเธอก็เก็บของเรียบร้อยตั้งแต่เช้า และเดินทางไปที่วิหารแคว้นหนิง

"องค์หญิงจะกลับวังจริงๆ หรือเพคะ?" ฉินยีเห็นหยุนชางเดินเข้ามาเธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างเร่งรีบผู้หญิงในชุดสีขาวนั่งอยู่ข้างๆ ก็ยืนขึ้นและแสดงความเคารพอย่างเงียบ ๆ

หยุนชางยิ้มออกมา "ทำไมหรือ เจ้าไม่อยากกลับไปแล้วหรือ?"

ฉินยีครุ่นคิดสักพักจึงพูดว่า "ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับไปเพคะ แต่เพียงแค่บ่าวรู้สึกว่าอยู่ที่นี่มาเจ็ดปี บ่าวไม่ทราบว่าตอนนี้พระราชวังเป็นอย่างไรบ้าง บ่าวรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อรู้ว่ากำลังจะกลับไปเพคะ"

"เจ้ากังวลไม่ได้นะ พวกเรากลับไปต้องเตรียมแรงไว้สองเท่าเพื่อต่อสู้นะ เจ็ดปีที่ไม่ได้เจอกัน ข้ารู้สึกตื่นเต้นนะเนี่ย" หยุนชางเหลือบมองไปที่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงมุมที่กำลังอ่านตำราพระไตรปิฎกอย่างเงียบๆ จากนั้นเธอก็โบกมือให้ฉินยี แล้วกระซิบบางอย่างข้างหูฉินยี จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและพูดว่า "เจ้าไปเก็บข้าวของก่อนเถิด ข้าจะไปบอกกับเจ้าอาวาสอู๋น่าก่อน ให้เขาตอบกลับขันทีที่มาส่งข่าวว่ารอสักครู่ อีกสักพักก็ออกเดินทางได้เลย "

ภายใต้ควันที่คละคลุ้ง มีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ หยุนชางเปิดประตูและเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ สายตาของเธอกวาดไปทั่วพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในชั้นบูชา เธอก้มศีรษะลงและพึมพำคำสวดของพระพุทธเจ้าว่า "อมิตาพุทธ"

พระรูปนั้นลืมตาขึ้นมา เขามองไปที่หยุนชางและถอนหายใจพร้อมกล่าว " เธอเป็นเพียงคนบริสุทธิ์ หากโยมกลัวว่าเธอจะปล่อยความลับรั่วไหลออกไป โยมสามารถส่งเธอไปที่แดนไกลได้ เหตุใดโยมจึงต้องการฆ่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่งด้วย? "

หยุนชางเงยหน้าขึ้น และมองดูควันสีเขียวที่ลอยขึ้นมาจากธูป และพูดอย่างเบาๆ ว่า "ข้าไม่กล้าปล่อยให้สิ่งอันตรายนี้ไว้ใกล้ตน มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถรับประกันได้ว่าปากจะปิดสนิทได้ เจ้าอาวาสโปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้สถานที่บริสุทธิ์แสนสงบของท่านได้แปดเปื้อนมลทินอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ"

อู๋น่าถือลูกปัดไว้และพูดว่า "ความบริสุทธิ์และสงบนั้นอยู่ที่ใจคน เพียงแต่ชาตินี้บาปแห่งการฆ่าของโยมนั้นหนักเกินไป ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องดีอันใด"

หยุนชางได้ยินอู๋น่าพูดว่า "ชาตินี้" แววตาของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วก็มองมุมต่ำลงอย่างเงียบ ๆ เธอยิ้มพร้อมพูดว่า " หากข้าไม่สามารถปกป้องคนที่ข้าต้องการปกป้องได้ ข้าเกิดใหม่อีกหนึ่งชาตินั้นจะมีประโยชน์อันใด?"

อู๋น่าไม่ได้พูดอะไร หยุนชางจึงพูดต่อว่า " ชางเอ๋อร์ไปคราวนี้ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จึงจะมีโอกาสกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ต้องวานให้เจ้าอาวาสช่วยดูแลท่านปู่ของข้าด้วยเจ้าค่ะ"

อู๋น่าพยักหน้า "แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นเพื่อนกับเขามานานหลายปี เขาเป็นคนที่มีบุญ โยมมิต้องเป็นห่วง"

หยุนชางได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเธอจึงกล่าวลาและออกจากห้องพระไป

"องค์หญิงเพคะ บ่าวจัดการหญิงสาวนั้นเรียบร้อยแล้วเพคะ ข้าวของเก็บเรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านว่า… เราจะไปกันเมื่อไหร่ดีคะ?" ฉินยีเห็นว่าหยุนชางเดินเข้ามา จึงเข้าไปถามเธอ

หยุนชางยืนอยู่ตรงประตูและครุ่นคิดสักพัก จึงตอบว่า "ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่เจ้าอาวาสรายงานไป ข้าขอให้เจ้าอาวาสรายงานว่าข้านั้นร่างกายอ่อนแอและป่วยบ่อย เราต้องทำการแสดงนี้ให้มันดี เจ้าไปต้มยามาหนึ่งหม้อ แล้วเอามารมควันใส่เสื้อข้า เดี๋ยวข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดสีซีดๆ เจ้ากางร่มให้ข้า แล้วเราค่อยออกไป "

ฉินยีพยักหน้าและกล่าวว่า " เรากลับวังกันแค่สองคนเหรอเพคะ? แล้วหนิงเฉียนพวกเขาล่ะ?"

หนิงเฉียนเป็นหัวหน้ากองกำลังที่หยุนชางได้ฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงสาว แต่เธอเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่ง

หยุนชางเดินไปด้านข้างและนั่งลง " พวกเขาไปถึงพระราชวังก่อนเราแล้ว การที่ต้องเตรียมนั้น ก็เตรียมพร้อมแล้ว คราวนี้ ข้าจะคอยดูว่าใครโหดร้ายใครใจเหี้ยมกว่ากัน……." หยุนชางยิ้มมุมปาก แววตาของเธอปรากฏความเย็นชาออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด