ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 219 แผนร้าย

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 219 แผนร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยุนชางหรี่ตาลงแววตามีประกายโหดเหี้ยมฉายเข้ามาแวบหนึ่ง "กลับวัง"

ทันทีที่นางกลับมาถึงตำหนักชิงซิน นางก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดพระราชวังและไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง จักรพรรดิหนิงไม่ได้อยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง หยุนชางกังวลใจจึงไปตามหาเขาและพบเขากำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวง หยุนชางก้าวไปข้างหน้าและร้องเรียกเสียงเบา "เสด็จพ่อ"

จักรพรรดิหนิงหันกลับมา หยุนชางจึงเห็นได้ชัดเจนว่าสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหนิงคือหลี่ฝูยี

หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เสด็จพ่อใกล้ชิดกับหลี่ฝูยีเช่นนี้และเหตุใดนางจึงไม่เคยรู้เลย

"ชางเอ๋อร์?" จักรพรรดิหนิงเอ่ยเสียงเบาและกวักมือเรียกหยุนชางพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา "ชางเอ๋อร์ออกไปเที่ยวนอกวังอีกแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้พ่อได้ผ้าดีๆ มาฝืนหนึ่ง ให้ขันทีเจิ้งส่งมันไปให้เจ้าเพื่อทำเป็นชุดแต่งงานให้เจ้า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในวัง"

หัวใจของหยุนชางกระตุกวาบ แต่ใบหน้าของนางยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส "ชุดแต่งงานของชางเอ๋อร์เสด็จแม่เตรียมไว้ให้นานแล้วเพคะ ยี่สิบปีที่แล้วก็ทำเสร็จแล้ว สวยมากเลยเพคะ เมื่อครู่นี้ชางเอ๋อร์ไปเยี่ยมเสด็จพี่ที่จวนมา เมื่อวานนางกำนัลในวังของชางเอ๋อร์กลับมาจากไปเยี่ยมญาติและบอกเรื่องที่เขาลือกันไปทั่วตามโรงน้ำชา ชางเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็กังวลเสด็จพี่จึงได้ไปเยี่ยมนาง เห็นว่านางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เสด็จพ่อเพคะ ชางเอ๋อร์ว่าชางเจียชิงซูก็เป็นผู้มากความสามารถ วันนั้นที่เขาทูลขอแต่งงานกับเสด็จพี่ ทำไมเสด็จพ่อไม่อนุญาตหรือเพคะ หากเสด็จพ่ออนุญาตก็คงไม่มีคนนินทาว่าร้ายเสด็จพี่มากมายขนาดนี้"

จักรพรรดิหนิงหรี่ตามองลูกสาวที่อยู่ด้านหน้า เขาคิดประเมินความจริงจากคำพูดของนาง ยังไม่ทันได้ตอบก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของหลี่ฝูยีดังขึ้นเบาๆ "ฝ่าบาท อย่างไรองค์หญิงหัวจิ้งก็นับว่าเป็นหลานสาวของหม่อมฉัน เดิมทีหม่อมฉันไม่ควรพูด แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินองค์หญิงหยุนชางพูดแล้ว หม่อมฉันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงหัวจิ้งก็เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ของเรา ตั้งแต่เล็กจนโตนางได้รับการสอนมารยาทมาอย่างดีที่สุดในแคว้นหนิง นางย่อมไม่อาจทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน หม่อมฉันรู้สึกมาตลอดว่าเรื่องเหล่านี้ราวกับมีคนจงใจเล็งเป้าไปที่นาง หม่อมฉันเกรงว่าจะมีใครบางคนต้องการเล็งเป้าไปที่ฮองเฮาเพคะ"

หยุนชางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่เพคะ"

ดวงตาของจักรพรรดิหนิงเป็นประกายเย็นวาบ เขาเหลือบมองหญิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขาและยิ้มเย็น "เรื่องนี้เจิ้นมีข้อสรุปของตัวเอง พวกเจ้าอย่าได้พูดอะไรอีก"

หยุนชางก้มศีรษะลงอย่างเศร้าใจ จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า "เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว เจิ้นได้เตรียมคนที่จะสอนงานเจ้าไว้แล้วสองคน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกนางจะไปสอนเจ้าในสิ่งที่จำเป็นต่ออนาคต เจ้าจงเรียนให้ดี เมื่อเจ้าแต่งงานออกไปแล้ว มามาสองคนนั้นก็จะตามไปอยู่ข้างกายเจ้าด้วย หากเจ้ารู้จักใช้คน พวกนางจะช่วยเจ้าได้มาก"

"เพคะ ชางเอ๋อร์ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ" หยุนชางขานรับ แต่ในใจกลับรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย นางมาที่นี่เพื่อทูลขออนุญาตออกไปข้างนอก นางต้องการไปที่ภูเขากิเลนด้วยตนเอง นางอยากรู้ว่าทำไมเซี่ยโหจิ้งถึงได้ปรากฏตัวที่นั่น แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จักรพรรดิหนิงก็พูดเรื่องมามาฝึกสอนนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วและนางก็เคยใช้ข้ออ้างนี้ในการปฏิเสธตอนที่ฮองเฮาต้องการมอบมามาให้นางสองคน แต่จักรพรรดิหนิงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกมาอีกครั้งในยามนี้… ดังนั้นนางคงจะออกจากวังลำบากเสียแล้ว

หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดคุยอีกสองสามประโยคกับจักรพรรดิหนิงและหลี่ฝูยีแล้วจึงรีบกลับไปที่ตำหนักชิงซิน "จิ้งอิ่ง ไปบอกเจ้านายของเจ้าว่าข้าอยากพบเขา"

เสียงขานรับเบาๆ ดังขึ้นจากในตำหนัก หยุนชางถอนหายใจและล้มตัวลงบนเบาะนุ่ม เซี่ยโหจิ้ง หากนางไม่ได้คาดผิดไปแล้วละก็เกรงว่าผู้ที่ทำตัวเสมือนไร้ตัวตนผู้นี้คงจัดการยากไม่แพ้ชางเจียชิงซูเลย

หยุนชางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากตะลอนอยู่นอกวังมาทั้งวัน เพียงไม่นานนางก็ผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นนอน นางก็รู้สึกได้ว่าในตำหนักมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่ไม่ฉินยีและเฉี่ยนอิน หยุนชางรีบลืมตาขึ้นทันทีและมองไปยังที่ที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนนั้นก็เห็นจิ้งอ๋องสวมชุดสีขาวนวลนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะด้านข้าง หนังสือเล่มนั้นน่าจะเป็นหนังสือเล่มโปรดที่นางชอบอ่านในยามปกติ ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นตำราพิชัยสงครามสกุลชี

ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจิ้งอ๋องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีนี้ หยุนชางตะลึงงันไปเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาสวมอาภรณ์สีนี้แล้วกลับทำให้เดิมทีคนที่เย็นชาไม่เป็นมิตรกลับดูไม่เหมือนเดิม ยิ่งขับให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นงดงามราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน

"ตื่นแล้วหรือ?" จิ้งอ๋องพูดอย่างราบเรียบโดยไม่เงยหน้าขึ้น

หยุนชางพยักหน้าแต่คิ้วน้อยๆ กลับขมวดมุ่น ทำไมจิ้งอ๋องจึงได้มาที่นี่ หนำซ้ำเฉี่ยนอินและฉินยียังอนุญาตให้เขาเข้ามาอีก แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นคู่หมั้นกัน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงคำครหานินทา เพราะอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน

จิ้งอ๋องวางหนังสือในมือลงและมองดูหยุนชาง สีหน้าของเขาดูตกตะลึงเล็กน้อย หยุนชางเพิ่งตื่นขึ้น ดวงตาของนางก็ยังปรืออยู่เล็กน้อย ผมสยายไปทั่วเบาะ ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่ออย่างหายาก กลับทำให้จิ้งอ๋องอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย หยุนชางที่เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาไม่อาจต้านทานไหว

"เจ้ามักจะอ่านหนังสือเล่มนี้หรือ?" จิ้งอ๋องละสายตาจากนาง ยกหนังสือในมือและถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

หยุนชางชะงักไปและพยักหน้า "อืม ก็อ่านดูเป็นบางครั้ง…" นางอดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ "จริงๆ แล้วก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ข้าอ่านไปเล็กน้อยก็จะเริ่มรู้สึกง่วง เหมาะสำหรับอ่านตอนที่นอนไม่หลับ"

มุมปากของจิ้งอ๋องปรากฏรอยยิ้มจาง "ข้าก็ว่าอย่างนั้น ว่าแต่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ? ทำไมจึงได้เรียกข้ามาพบอย่างรีบร้อนนัก?"

หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองจิ้งอ๋อง ดวงตาของนางสบเข้ากับดวงตาของเขา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม "หม่อมฉันส่งคนไปสืบเรื่องที่ภูเขากิเลน ตอนนี้มีขั้วอำนาจสามกลุ่มอยู่ที่นั่น ชางเอ๋อร์คิดว่าคงจะคนของเสด็จอาและเสด็จพ่อ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งสืบได้น่าจะเป็นคนของเซี่ยโหจิ้ง หนิงเชียนบอกว่าเซี่ยโหจิ้งไปถึงที่เชิงเขากิเลนแล้ว ในใจหม่อมฉันฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก ทหารเหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ ท่านตาก็เป็นเพราะบังเอิญไปเจอเข้า แต่ทำไมเซี่ยโหจิ้งถึงไปอยู่ที่นั่นได้? หม่อมฉันเกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

หยุนชางเห็นจิ้งอ๋องฟังอย่างตั้งใจก็พูดขึ้นอีกว่า "ชางเอ๋อร์สงสัยว่าเซี่ยโหจิ้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกทหารเหล่านั้น ดังนั้นจึงอยากไปดูที่ภูเขากิเลนด้วยตนเอง เพียงแต่เมื่อครู่ไปพบเสด็จพ่อ เสด็จพ่อบอกว่าเขาได้เชิญมามาสองสามคนมาสอนบางเรื่องแก่หม่อมฉัน เกรงว่าคงจะปลีกตัวไปได้ยาก…"

จิ้งอ๋องราวกับฟังอยู่แต่ก็ราวกับไม่ได้ฟัง เขาจ้องมองหยุนชางโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย หยุนชางก้มศีรษะลงหลบเลี่ยงสายตาร้อนแรงของเขา "หม่อมฉันรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่เสมอ"

"อืม" จิ้งอ๋องตอบเบาๆ ก้มศีรษะลงแล้วพลิกหนังสือไปมาในมือของเขา เสียงของเขาดังขึ้นแผ่วเบา "เจ้าว่างมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่ายังมีแก่ใจคิดเรื่องพวกนี้…"

หยุนชางได้ยินไม่ชัดนักจึงนิ่งไปเล็กน้อย เพียงแต่รู้สึกว่าคำพูดของจิ้งอ๋องค่อนข้างประหลาด ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร นางจึงตะโกนขึ้น "เสด็จอา ท่านคิดว่าอย่างไร?"

จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเงยหน้าขึ้น "เจ้าต้องการไปดูที่เชิงเขากิเลนหรือ?"

หยุนชางพยักหน้า

"เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าเอง เรื่องมามาที่จะมาสอนเจ้าให้ข้าจัดการเองก็แล้วกัน เพียงแต่สาวใช้สองคนนี้ของเจ้าคงพาไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าพวกนางหายไปเกรงว่าเสด็จพ่อของเจ้าจะรู้อย่างรวดเร็วว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในวัง" จิ้งอ๋องพูดเบาๆ

หยุนชางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงรับคำ ไม่พาเฉี่ยนอินกับฉินยีไปด้วยก็ไม่เป็นไร คนของนางที่อยู่นอกวังมีมากมาย นางไม่ได้ถามว่าจิ้งอ๋องจะช่วยนางปกปิดเรื่องนี้อย่างไร แต่ถามเพียงว่า "จะไปเมื่อไหร่เพคะ?"

จิ้งอ๋องได้ยินคำพูดนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงอะไร มุมปากของเขายกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ดวงตาก็ฉายแววยิ้มน้อยๆ "รอยามดึกเดือนมืดและลมแรงแล้วข้าจะแอบพาเจ้าออกจากวัง"

"หา?" หยุนชางไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จิ้งอ๋องจึงได้พูดติดตลกเช่นนั้น แต่สัญชาตญาณนางบอกว่าจิ้งอ๋องออกจะประหลาดไปเล็กน้อย นางจึงจ้องไปที่เขา "งั้นคืนนี้เสด็จอาก็มารับข้าเถอะ"

ทันทีที่สิ้นเสียง หยุนชางก็ได้ยินเสียงหัวเราะของจิ้งอ๋องดังขึ้นในตำหนัก

ในวังชีอู๋ นางกำนัลเฒ่าคนหนึ่งกำลังช่วยฮองเฮาถอดปิ่นออกจากผม สยายผมลงมาและหวีผมให้นางอย่างช้าๆ "เหนียงเหนียง วันนี้องค์หญิงหัวจิ้งส่งจดหมายมาที่วังบอกว่านางต้องการพบท่านเพคะ"

หยวนเจินฮองเฮาถอนหายใจและหัวเราะอย่างขมขื่น "ลูกสาวของข้าคนนี้ ถ้านางฉลาดกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดี ความฉลาดของนางไม่เคยถูกนำมาใช้ในที่ที่ควรจะใช้เลย"

นางกำนัลเฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็หลุบตาลง คำพูดนี้นางไม่อาจตอบกลับได้

"ไม่รู้ว่าข้าจะปกป้องนางไปได้อีกนานแค่ไหน" สายตาของฮองเฮามองไปยังคนในกระจกอย่างแผ่วเบา ยกมือขึ้นปาดที่หางตา แล้วยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน "ข้าอยู่ในวังนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าแก่แล้ว…"

นางกำนัลเฒ่าส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว "ทำไมเหนียงเหนียงจึงได้กล่าวตัดพ้อตนเองเช่นนั้นล่ะเพคะ ท่านยังสาวอยู่นัก"

ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ยิ้มแต่อย่างใด นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น เพียงแต่การปลอบโยนเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการได้ยิน

"น้องชายของข้าได้เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์อย่างยากลำบาก แต่ก็ถูกปลดออกเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปท่านพ่อท่านแม่คงส่งข่าวเข้าวังมายากเสียแล้ว ตอนนี้อำนาจของข้าในวังก็ยิ่งลดน้อยถอยลง ข้าไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้อีกแล้ว…" ฮองเฮาหลับตาลง ในใจรู้สึกอึดอัดทรมาน

"มามา วันที่หกของเดือนหน้าเป็นโอกาสดี ตอนนี้ข้าได้ช่วยตระเตรียมงานแต่งและแอบเตรียมการบางอย่างไว้ ข้าจะต้องได้รับความนับถือคืนมาจากฝ่าบาทให้ได้ ข้ามีแต่ต้องลองเสียงดู เจ้าหาโอกาสออกจากวังแล้วน้ำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านพ่อ"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 219 แผนร้าย

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 219 แผนร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยุนชางหรี่ตาลงแววตามีประกายโหดเหี้ยมฉายเข้ามาแวบหนึ่ง "กลับวัง"

ทันทีที่นางกลับมาถึงตำหนักชิงซิน นางก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดพระราชวังและไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง จักรพรรดิหนิงไม่ได้อยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง หยุนชางกังวลใจจึงไปตามหาเขาและพบเขากำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวง หยุนชางก้าวไปข้างหน้าและร้องเรียกเสียงเบา "เสด็จพ่อ"

จักรพรรดิหนิงหันกลับมา หยุนชางจึงเห็นได้ชัดเจนว่าสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิหนิงคือหลี่ฝูยี

หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เสด็จพ่อใกล้ชิดกับหลี่ฝูยีเช่นนี้และเหตุใดนางจึงไม่เคยรู้เลย

"ชางเอ๋อร์?" จักรพรรดิหนิงเอ่ยเสียงเบาและกวักมือเรียกหยุนชางพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา "ชางเอ๋อร์ออกไปเที่ยวนอกวังอีกแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้พ่อได้ผ้าดีๆ มาฝืนหนึ่ง ให้ขันทีเจิ้งส่งมันไปให้เจ้าเพื่อทำเป็นชุดแต่งงานให้เจ้า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในวัง"

หัวใจของหยุนชางกระตุกวาบ แต่ใบหน้าของนางยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใส "ชุดแต่งงานของชางเอ๋อร์เสด็จแม่เตรียมไว้ให้นานแล้วเพคะ ยี่สิบปีที่แล้วก็ทำเสร็จแล้ว สวยมากเลยเพคะ เมื่อครู่นี้ชางเอ๋อร์ไปเยี่ยมเสด็จพี่ที่จวนมา เมื่อวานนางกำนัลในวังของชางเอ๋อร์กลับมาจากไปเยี่ยมญาติและบอกเรื่องที่เขาลือกันไปทั่วตามโรงน้ำชา ชางเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็กังวลเสด็จพี่จึงได้ไปเยี่ยมนาง เห็นว่านางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เสด็จพ่อเพคะ ชางเอ๋อร์ว่าชางเจียชิงซูก็เป็นผู้มากความสามารถ วันนั้นที่เขาทูลขอแต่งงานกับเสด็จพี่ ทำไมเสด็จพ่อไม่อนุญาตหรือเพคะ หากเสด็จพ่ออนุญาตก็คงไม่มีคนนินทาว่าร้ายเสด็จพี่มากมายขนาดนี้"

จักรพรรดิหนิงหรี่ตามองลูกสาวที่อยู่ด้านหน้า เขาคิดประเมินความจริงจากคำพูดของนาง ยังไม่ทันได้ตอบก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของหลี่ฝูยีดังขึ้นเบาๆ "ฝ่าบาท อย่างไรองค์หญิงหัวจิ้งก็นับว่าเป็นหลานสาวของหม่อมฉัน เดิมทีหม่อมฉันไม่ควรพูด แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินองค์หญิงหยุนชางพูดแล้ว หม่อมฉันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงหัวจิ้งก็เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ของเรา ตั้งแต่เล็กจนโตนางได้รับการสอนมารยาทมาอย่างดีที่สุดในแคว้นหนิง นางย่อมไม่อาจทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน หม่อมฉันรู้สึกมาตลอดว่าเรื่องเหล่านี้ราวกับมีคนจงใจเล็งเป้าไปที่นาง หม่อมฉันเกรงว่าจะมีใครบางคนต้องการเล็งเป้าไปที่ฮองเฮาเพคะ"

หยุนชางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่เพคะ"

ดวงตาของจักรพรรดิหนิงเป็นประกายเย็นวาบ เขาเหลือบมองหญิงที่ยืนอยู่ข้างกายเขาและยิ้มเย็น "เรื่องนี้เจิ้นมีข้อสรุปของตัวเอง พวกเจ้าอย่าได้พูดอะไรอีก"

หยุนชางก้มศีรษะลงอย่างเศร้าใจ จักรพรรดิหนิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า "เจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว เจิ้นได้เตรียมคนที่จะสอนงานเจ้าไว้แล้วสองคน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกนางจะไปสอนเจ้าในสิ่งที่จำเป็นต่ออนาคต เจ้าจงเรียนให้ดี เมื่อเจ้าแต่งงานออกไปแล้ว มามาสองคนนั้นก็จะตามไปอยู่ข้างกายเจ้าด้วย หากเจ้ารู้จักใช้คน พวกนางจะช่วยเจ้าได้มาก"

"เพคะ ชางเอ๋อร์ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ" หยุนชางขานรับ แต่ในใจกลับรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย นางมาที่นี่เพื่อทูลขออนุญาตออกไปข้างนอก นางต้องการไปที่ภูเขากิเลนด้วยตนเอง นางอยากรู้ว่าทำไมเซี่ยโหจิ้งถึงได้ปรากฏตัวที่นั่น แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จักรพรรดิหนิงก็พูดเรื่องมามาฝึกสอนนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วและนางก็เคยใช้ข้ออ้างนี้ในการปฏิเสธตอนที่ฮองเฮาต้องการมอบมามาให้นางสองคน แต่จักรพรรดิหนิงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกมาอีกครั้งในยามนี้… ดังนั้นนางคงจะออกจากวังลำบากเสียแล้ว

หยุนชางขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดคุยอีกสองสามประโยคกับจักรพรรดิหนิงและหลี่ฝูยีแล้วจึงรีบกลับไปที่ตำหนักชิงซิน "จิ้งอิ่ง ไปบอกเจ้านายของเจ้าว่าข้าอยากพบเขา"

เสียงขานรับเบาๆ ดังขึ้นจากในตำหนัก หยุนชางถอนหายใจและล้มตัวลงบนเบาะนุ่ม เซี่ยโหจิ้ง หากนางไม่ได้คาดผิดไปแล้วละก็เกรงว่าผู้ที่ทำตัวเสมือนไร้ตัวตนผู้นี้คงจัดการยากไม่แพ้ชางเจียชิงซูเลย

หยุนชางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากตะลอนอยู่นอกวังมาทั้งวัน เพียงไม่นานนางก็ผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นนอน นางก็รู้สึกได้ว่าในตำหนักมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่ไม่ฉินยีและเฉี่ยนอิน หยุนชางรีบลืมตาขึ้นทันทีและมองไปยังที่ที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนนั้นก็เห็นจิ้งอ๋องสวมชุดสีขาวนวลนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะด้านข้าง หนังสือเล่มนั้นน่าจะเป็นหนังสือเล่มโปรดที่นางชอบอ่านในยามปกติ ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นตำราพิชัยสงครามสกุลชี

ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจิ้งอ๋องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีนี้ หยุนชางตะลึงงันไปเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าเมื่อเขาสวมอาภรณ์สีนี้แล้วกลับทำให้เดิมทีคนที่เย็นชาไม่เป็นมิตรกลับดูไม่เหมือนเดิม ยิ่งขับให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นงดงามราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน

"ตื่นแล้วหรือ?" จิ้งอ๋องพูดอย่างราบเรียบโดยไม่เงยหน้าขึ้น

หยุนชางพยักหน้าแต่คิ้วน้อยๆ กลับขมวดมุ่น ทำไมจิ้งอ๋องจึงได้มาที่นี่ หนำซ้ำเฉี่ยนอินและฉินยียังอนุญาตให้เขาเข้ามาอีก แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นคู่หมั้นกัน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงคำครหานินทา เพราะอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน

จิ้งอ๋องวางหนังสือในมือลงและมองดูหยุนชาง สีหน้าของเขาดูตกตะลึงเล็กน้อย หยุนชางเพิ่งตื่นขึ้น ดวงตาของนางก็ยังปรืออยู่เล็กน้อย ผมสยายไปทั่วเบาะ ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่ออย่างหายาก กลับทำให้จิ้งอ๋องอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระสับกระส่าย หยุนชางที่เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาไม่อาจต้านทานไหว

"เจ้ามักจะอ่านหนังสือเล่มนี้หรือ?" จิ้งอ๋องละสายตาจากนาง ยกหนังสือในมือและถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

หยุนชางชะงักไปและพยักหน้า "อืม ก็อ่านดูเป็นบางครั้ง…" นางอดหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ "จริงๆ แล้วก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ข้าอ่านไปเล็กน้อยก็จะเริ่มรู้สึกง่วง เหมาะสำหรับอ่านตอนที่นอนไม่หลับ"

มุมปากของจิ้งอ๋องปรากฏรอยยิ้มจาง "ข้าก็ว่าอย่างนั้น ว่าแต่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ? ทำไมจึงได้เรียกข้ามาพบอย่างรีบร้อนนัก?"

หยุนชางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองจิ้งอ๋อง ดวงตาของนางสบเข้ากับดวงตาของเขา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม "หม่อมฉันส่งคนไปสืบเรื่องที่ภูเขากิเลน ตอนนี้มีขั้วอำนาจสามกลุ่มอยู่ที่นั่น ชางเอ๋อร์คิดว่าคงจะคนของเสด็จอาและเสด็จพ่อ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งสืบได้น่าจะเป็นคนของเซี่ยโหจิ้ง หนิงเชียนบอกว่าเซี่ยโหจิ้งไปถึงที่เชิงเขากิเลนแล้ว ในใจหม่อมฉันฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก ทหารเหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างลึกลับ ท่านตาก็เป็นเพราะบังเอิญไปเจอเข้า แต่ทำไมเซี่ยโหจิ้งถึงไปอยู่ที่นั่นได้? หม่อมฉันเกรงว่ามันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

หยุนชางเห็นจิ้งอ๋องฟังอย่างตั้งใจก็พูดขึ้นอีกว่า "ชางเอ๋อร์สงสัยว่าเซี่ยโหจิ้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกทหารเหล่านั้น ดังนั้นจึงอยากไปดูที่ภูเขากิเลนด้วยตนเอง เพียงแต่เมื่อครู่ไปพบเสด็จพ่อ เสด็จพ่อบอกว่าเขาได้เชิญมามาสองสามคนมาสอนบางเรื่องแก่หม่อมฉัน เกรงว่าคงจะปลีกตัวไปได้ยาก…"

จิ้งอ๋องราวกับฟังอยู่แต่ก็ราวกับไม่ได้ฟัง เขาจ้องมองหยุนชางโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย หยุนชางก้มศีรษะลงหลบเลี่ยงสายตาร้อนแรงของเขา "หม่อมฉันรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่เสมอ"

"อืม" จิ้งอ๋องตอบเบาๆ ก้มศีรษะลงแล้วพลิกหนังสือไปมาในมือของเขา เสียงของเขาดังขึ้นแผ่วเบา "เจ้าว่างมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่ายังมีแก่ใจคิดเรื่องพวกนี้…"

หยุนชางได้ยินไม่ชัดนักจึงนิ่งไปเล็กน้อย เพียงแต่รู้สึกว่าคำพูดของจิ้งอ๋องค่อนข้างประหลาด ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร นางจึงตะโกนขึ้น "เสด็จอา ท่านคิดว่าอย่างไร?"

จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มมุมปากแล้วเงยหน้าขึ้น "เจ้าต้องการไปดูที่เชิงเขากิเลนหรือ?"

หยุนชางพยักหน้า

"เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าเอง เรื่องมามาที่จะมาสอนเจ้าให้ข้าจัดการเองก็แล้วกัน เพียงแต่สาวใช้สองคนนี้ของเจ้าคงพาไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าพวกนางหายไปเกรงว่าเสด็จพ่อของเจ้าจะรู้อย่างรวดเร็วว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในวัง" จิ้งอ๋องพูดเบาๆ

หยุนชางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกลงรับคำ ไม่พาเฉี่ยนอินกับฉินยีไปด้วยก็ไม่เป็นไร คนของนางที่อยู่นอกวังมีมากมาย นางไม่ได้ถามว่าจิ้งอ๋องจะช่วยนางปกปิดเรื่องนี้อย่างไร แต่ถามเพียงว่า "จะไปเมื่อไหร่เพคะ?"

จิ้งอ๋องได้ยินคำพูดนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงอะไร มุมปากของเขายกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ดวงตาก็ฉายแววยิ้มน้อยๆ "รอยามดึกเดือนมืดและลมแรงแล้วข้าจะแอบพาเจ้าออกจากวัง"

"หา?" หยุนชางไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ จิ้งอ๋องจึงได้พูดติดตลกเช่นนั้น แต่สัญชาตญาณนางบอกว่าจิ้งอ๋องออกจะประหลาดไปเล็กน้อย นางจึงจ้องไปที่เขา "งั้นคืนนี้เสด็จอาก็มารับข้าเถอะ"

ทันทีที่สิ้นเสียง หยุนชางก็ได้ยินเสียงหัวเราะของจิ้งอ๋องดังขึ้นในตำหนัก

ในวังชีอู๋ นางกำนัลเฒ่าคนหนึ่งกำลังช่วยฮองเฮาถอดปิ่นออกจากผม สยายผมลงมาและหวีผมให้นางอย่างช้าๆ "เหนียงเหนียง วันนี้องค์หญิงหัวจิ้งส่งจดหมายมาที่วังบอกว่านางต้องการพบท่านเพคะ"

หยวนเจินฮองเฮาถอนหายใจและหัวเราะอย่างขมขื่น "ลูกสาวของข้าคนนี้ ถ้านางฉลาดกว่านี้สักหน่อยก็คงจะดี ความฉลาดของนางไม่เคยถูกนำมาใช้ในที่ที่ควรจะใช้เลย"

นางกำนัลเฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็หลุบตาลง คำพูดนี้นางไม่อาจตอบกลับได้

"ไม่รู้ว่าข้าจะปกป้องนางไปได้อีกนานแค่ไหน" สายตาของฮองเฮามองไปยังคนในกระจกอย่างแผ่วเบา ยกมือขึ้นปาดที่หางตา แล้วยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน "ข้าอยู่ในวังนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าแก่แล้ว…"

นางกำนัลเฒ่าส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว "ทำไมเหนียงเหนียงจึงได้กล่าวตัดพ้อตนเองเช่นนั้นล่ะเพคะ ท่านยังสาวอยู่นัก"

ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ยิ้มแต่อย่างใด นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการปลอบใจตัวเองเท่านั้น เพียงแต่การปลอบโยนเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการได้ยิน

"น้องชายของข้าได้เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์อย่างยากลำบาก แต่ก็ถูกปลดออกเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปท่านพ่อท่านแม่คงส่งข่าวเข้าวังมายากเสียแล้ว ตอนนี้อำนาจของข้าในวังก็ยิ่งลดน้อยถอยลง ข้าไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้อีกแล้ว…" ฮองเฮาหลับตาลง ในใจรู้สึกอึดอัดทรมาน

"มามา วันที่หกของเดือนหน้าเป็นโอกาสดี ตอนนี้ข้าได้ช่วยตระเตรียมงานแต่งและแอบเตรียมการบางอย่างไว้ ข้าจะต้องได้รับความนับถือคืนมาจากฝ่าบาทให้ได้ ข้ามีแต่ต้องลองเสียงดู เจ้าหาโอกาสออกจากวังแล้วน้ำสิ่งนี้ไปมอบให้ท่านพ่อ"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+