ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 129 สำเร็จไปทีละด่าน

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 129 สำเร็จไปทีละด่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่เพียงแต่เชว่เอ๋อร์เท่านั้น แต่หยุนซีที่อยู่ด้านข้างก็ล้มลงกับพื้นด้วย

"ตายแล้วหรือ?" จิ้งอ๋องขมวดคิ้ว เขาก้มลงไปตรวจดูนางกำนัลทั้งสอง เมื่อยืนยันว่าทั้งสองสิ้นลมแล้ว เขาจึงตรวจร่างกายทั้งสองครู่หนึ่งแล้วจึงดึงเข็มเงินสองอันออกมาจากหลังคอของพวกนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "เข็มนี่มีพิษ ช่างเป็นวิธีที่อ่อนหัดเสียจริง ใส่ร้ายป้ายสีแล้วจึงฆ่าคนปิดปาก?"

ฮองเฮาหรี่ตามองแต่ไม่พูดอะไร หยุนชางมองผ่านใบหน้าของนางอย่างเฉยเมยและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม "เมื่อกี้นี้นางกำนัลคนนี้ตั้งใจจะชี้ตัวฆาตกรที่แท้จริงแต่กลับถูกฆ่าเสียแล้ว จากตำแหน่งของเข็มพิษ ฆาตกรต้องอยู่ข้างหลังเชว่เอ๋อร์และหยุนซี หากดูเช่นนี้ขอบเขตก็จะลดลงมาก"

ในตำหนักไม่มีใครกล่าวอะไร ในขณะที่ผู้คนในตำหนักยังตัวแข็งทื่อกันอยู่ก็มีขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน "ฝ่าบาท ตำหนักฉางชุนถูกรื้อ ตราประทับของฮองเฮาหายไปพ่ะย่ะค่ะ"

ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้น ดวงตาราวกับมีพายุ "ปิดวังค้นหาทีละคน"

"เป็นคลื่นแห่งความไม่สงบจริงๆ มีมาอีกคลื่นแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อโปรดนำคนที่อยู่ด้านหลังหยุนซีกับเชว่เอ๋อร์เฝ้าไว้ให้ดี ตราประทับของฮองเฮาสำคัญนัก หม่อมฉันขอไปดูก่อนว่าแม่นางหลี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว" หยุนชางกวาดสายตามองฝูงชน นางหันหลังกลับและเดินออกไปนอกตำหนัก

"เจ้ายังไปไม่ได้ ที่นี่ความน่าสงสัยของเจ้ายังมากที่สุด แต่เจ้ากลับจะไปหาน้องอิ๋งอิ๋ง เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?" เสียงของหัวจิ้งดังมาจากด้านหลัง หยุนชางหันศีรษะไปมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของหัวจิ้ง แต่มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น "เช่นนั้นองค์หญิงหัวจิ้งไปด้วยกันไหมเพคะ?"

หัวจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ต้องไปด้วยอยู่แล้ว อิ๋งอิ๋งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าย่อมต้องเป็นห่วงนาง" พูดจบแล้วนางก็เดินเฉียดร่างหยุนชางและเดินตรงไปที่ตำหนักข้าง

ทันทีที่เดินไปถึงประตู นางกลับถูกขันทีเด็กวิ่งเข้ามาชน ร่างหัวจิ้งซวนเซไปอย่างแรง แต่นางกลับปกป้องท้องของนางโดยไม่รู้ตัว คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของหัวจิ้ง แต่ท่าทางนี้กลับตกอยู่ในสายตาของหยุนชาง

"เจ้าเดินอย่างไรกัน?" หัวจิ้งดุอย่างโกรธจัด

ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงรีบพยุงหัวจิ้งและเมื่อนางยืนมั่นคงแล้ว เขาคุกเข่าลงและพูดว่า "องค์หญิงโปรดยกโทษให้ข้าด้วย องค์หญิงโปรดยกโทษให้ข้าด้วย"

หัวจิ้งกัดฟัน นี่เป็นในวัง แม้ว่าในหัวใจนางจะโมโหสักเพียงไหน แต่ก็ทำได้เพียงต้องอดกลั้น "ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ" หลังจากพูดจบนางก็ไปที่ตำหนักข้าง

หยุนชางก้มศีรษะลง "ในเมื่อเสด็จพี่ไปแล้ว อีกเดี๋ยวหยุนชางค่อยไปทีหลังก็แล้วกัน" นางทำหน้าน้อยใจ

เมื่อครู่ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหยุนชางถูกใส่ร้าย แต่องค์หญิงหัวจิ้งกลับยังทำกิริยาบีบคั้นนางราวกับนางจะไม่ชอบองค์หญิงหยุนชาง โดยคิดว่าองค์หญิงหยุนชางเป็นเพียงลูกของนางสนม แม้ว่าจิ่นเฟยจะได้รับความโปรดปรานอย่างมาก แต่พูดกันตามตรงแล้วก็เป็นเพียงอนุเท่านั้น สถานะของลูกอนุ แม้แต่ในบ้านของคนธรรมดาก็ต่ำมาก นับประสาอะไรกับในวังที่ซับซ้อนแห่งนี้

ฮ่องเต้รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเหลือบมองจิ่นเฟยกลับเห็นว่าจิ่นเฟยเองก็ดูหม่นหมอง นางยังคงจับจ้องไปที่ร่างของหยุนชาง ฮ่องเต้จึงไม่พอใจหัวจิ้งยิ่งนัก มีคำกล่าวว่าเด็กเป็นเนื้อก้อนหนึ่งของมารดา แม้ว่าจิ่นเฟยจะสัมผัสกับชองเอ๋อร์น้อยมาก แต่แม่ลูกก็ยังใจเชื่อมถึงกัน เมื่อเห็นว่าลูกสาวของนางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนั้น ในใจของจิ่นเฟย

จะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน

มีเหล่านางกำนัลและขันทีเดินเข้ามาจากนอกตำหนักกลุ่มใหญ่ เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักแล้วก็ทำความเคารพฮ่องเต้ ฮ่องเต้พยักหน้าและกล่าวว่า "ตราประทับของฮองเฮาหายไป เจิ้นเกรงว่าจะมีใครบางคนจงใจทำและต้องการฉวยโอกาสที่ในวันนี้ในวังมีคนพลุกพล่านแอบเอาตราประทับของฮองเฮาออกจากวังไปอย่างเงียบๆ หากตราประทับของราชินีหายไป ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ ดังนั้นทุกท่านโปรดให้ความร่วมมือในการค้นหาด้วย"

ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรและเดินตามสาวใช้หรือขันทีไปตำหนักข้างทีละคน ทุกคนในตำหนักถูกค้นตัวทีละคน แต่ก็ไม่พบตราประทับของฮองเฮา

ในตอนนี้เองหัวจิ้งก็เดินเข้ามา

"จิ้งเอ๋อร์ก็ไปค้นตัวด้วยเถอะ" ฮ่องเต้มองหัวจิ้งอย่างเรียบเฉย

หัวจิ้งขมวดคิ้ว "เสด็จพ่อ จิ้งเอ๋อร์จะเอาตราประทับของเสด็จแม่ไปทำไม? เรื่องตรวจค้นร่างกายข้ามมันไปเถอะเพคะ"

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทุกคนในตำหนักนี้ รวมทั้งชางเอ๋อร์และจิ้งอ๋องต่างก็ถูกตรวจแล้ว เจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น ไปเสีย"

หัวจิ้งกัดริมฝีปากของนาง แต่นางก็รู้ว่าหากนางพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันจะไปกระตุ้นความหงุดหงิดของฮ่องเต้อย่างแน่นอน หัวจิ้งยกมือขึ้นแตะท้อง โชคดีที่ยังไม่ได้เห็นชัดเจนนัก เมื่อคิดเช่นนี้หัวจิ้งก็เดินตามนางกำนัลออกไปที่ตำหนักข้าง

ผ่านไปไม่นาน นางกำนัลผู้นั้นก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน "ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่พบตราประทับของฮองเฮาในตัวขององค์หญิงหัวจิ้ง แต่หม่อมฉันพบสิ่งนี้ในแขนเสื้อขององค์หญิงเพคะ"

ในมือของนางกำนัลมีขวดหยกเขียวเล็กๆ ดวงตาของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อย "ตามหมอหลวงมาดูว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนี้คืออะไร"

คิ้วของฮองเฮาเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางมองอยู่ที่ขวดหยกเล็กๆ นั่น "คงเป็นเพียงยาธรรมดาเท่านั้น คงจะพกไว้เพียงป้องกันอุบัติเหตุบางอย่างเท่านั้นแหล่ะเพคะ"

ดวงตาหยุนชางมีแววเยาะเย้ย ใช่สิ แม่นางและคุณชายทั้งหลายคงจะมีนิสัยเคยชินที่จะพกขวดยาธรรมดาออกไปด้วยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรอกนะ เพียงแต่ของสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในครอบครองของหัวจิ้งตอนนี้เป็นเรื่องผิดปกติ ประการแรกเพราะขวดยาเหล่านี้มักพกโดยข้ารับใช้ ประการที่สองเป็นเพราะที่นี่คือในวัง ยามมาร่วมงานเลี้ยงจะต้องโดนตรวจอย่างเข้มงวด ของเช่นนี้ไม่สามารถนำเข้าวังมาได้

แต่อาจเป็นเพราะว่าฮองเฮาไม่ได้เข้าหรือออกจากวังมานานแล้ว นางจึงไม่รู้ข้อเท็จจริงง่ายๆ เช่นนี้

หมอหลวงยังไม่ได้มาจากตำหนักข้างแต่กลับเป็นหัวจิ้งวิ่งเข้ามาก่อน นางดูร้อนรนเล็กน้อย "เสด็จพ่อ เสด็จแม่ สิ่งนี้ไม่ใช่ของของลูกและลูกไม่รู้เลยว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในแขนเสื้อของลูกได้ เสด็จพ่อเสด็จแม่ต้องคืนความเป็นธรรมให้ข้านะเพคะ… "

"เสด็จพี่ ในวังนี้ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา มีใครบ้างที่สามารถใส่ขวดดังกล่าวลงในแขนเสื้อของท่านได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว" หยุนชางร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

หมอหลวงรีบไปรับขวดยาในมือนางกำนัลมาตรวจดูอย่างระมัดระวังครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาท มียาพิษอยู่ในขวดนี้และเป็นยาพิษชนิดเดียวกับของคุณหนูหลี่พ่ะย่ะค่ะ"

สีหน้าของหัวจิ้งเปลี่ยนไปทันที นางมองไปที่หยวนเจินฮองเฮา "เสด็จแม่ มีคนใส่ร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันถูกปรักปรำ…"

"แม่เชื่อในตัวเจ้า" ฮองเฮากัดฟัน ในใจของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทำไมขวดนั่นจึงมาอยู่ที่หัวจิ้งได้ มันควรจะอยู่ที่…

"ฮองเฮาเช่นนี้ออกไม่ยุติธรรมไปสักหน่อย เมื่อครู่เพียงนางกำนัลชั้นต่ำกล่าวหาว่านางกำนัลขององค์หญิงหยุนชางเคยไปที่หอพระราชสมบัติ ทุกคนก็เชื่อกันหมดว่าผู้วางยาต้องเป็นองค์หญิงหยุนชาง บัดนี้ขวดที่บรรจุยาพิษถูกพบที่องค์หญิงหัวจิ้ง เหตุใดฮองเฮาจึงคิดว่ามีคนกำลังใส่ร้ายองค์หญิงหัวจิ้ง?" ดวงตาของจ้องอ๋องแฝงแววประชดประชันเล็กน้อย คำพูดที่เข้าหูของทุกคนกลับมีความหมายอื่นแอบแฝงไว้

"มีรายงานพ่ะย่ะค่ะ…" มีทหารองครักษ์อีกคนวิ่งเข้ามา "กราบทูลฝ่าบาท ตอนที่กระหม่อมกำลังค้นวังอยู่ได้เห็นขันทีผู้หนึ่งทำท่าทางลับๆล่อๆ อยู่ใกล้กับหอเหมยอิ่ง น่าสงสัยยิ่งนักจึงพาเขาไปสอบปากคำ นี่คือคำสารภาพของขันทีผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ…" กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนมือขององครักษ์อย่างนิ่งๆ

หอเหมยอิ่ง ชื่อนี้ปรากฏมาครั้งหรือสองครั้งแล้วในเย็นนี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่กระดาษหนังแผ่นนั้น ไม่รู้ว่านี่มันคืออะไรอีก?

"นำขึ้นมา" ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชา

ขันทีเจิ้งรีบเดินลงมาจากด้านบน หยิบกระดาษในมือของทหารองครักษ์มามอบให้ฮ่องเต้ เขาคลี่มันออกและอ่านดูอย่างคร่าวๆ หน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน โทสะรวมตัวกันในดวงตาของเขา :

"ทหาร ไปเอาตัวขันทีนั่นมา"

ทหารองครักษ์สองคนลากขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ราวกับว่าเขาถูกทรมานมาแล้ว เลือดยังคงหยดไหลออกมาจากปลายนิ้วของขันทีคนนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 129 สำเร็จไปทีละด่าน

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 129 สำเร็จไปทีละด่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่เพียงแต่เชว่เอ๋อร์เท่านั้น แต่หยุนซีที่อยู่ด้านข้างก็ล้มลงกับพื้นด้วย

"ตายแล้วหรือ?" จิ้งอ๋องขมวดคิ้ว เขาก้มลงไปตรวจดูนางกำนัลทั้งสอง เมื่อยืนยันว่าทั้งสองสิ้นลมแล้ว เขาจึงตรวจร่างกายทั้งสองครู่หนึ่งแล้วจึงดึงเข็มเงินสองอันออกมาจากหลังคอของพวกนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "เข็มนี่มีพิษ ช่างเป็นวิธีที่อ่อนหัดเสียจริง ใส่ร้ายป้ายสีแล้วจึงฆ่าคนปิดปาก?"

ฮองเฮาหรี่ตามองแต่ไม่พูดอะไร หยุนชางมองผ่านใบหน้าของนางอย่างเฉยเมยและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม "เมื่อกี้นี้นางกำนัลคนนี้ตั้งใจจะชี้ตัวฆาตกรที่แท้จริงแต่กลับถูกฆ่าเสียแล้ว จากตำแหน่งของเข็มพิษ ฆาตกรต้องอยู่ข้างหลังเชว่เอ๋อร์และหยุนซี หากดูเช่นนี้ขอบเขตก็จะลดลงมาก"

ในตำหนักไม่มีใครกล่าวอะไร ในขณะที่ผู้คนในตำหนักยังตัวแข็งทื่อกันอยู่ก็มีขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน "ฝ่าบาท ตำหนักฉางชุนถูกรื้อ ตราประทับของฮองเฮาหายไปพ่ะย่ะค่ะ"

ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้น ดวงตาราวกับมีพายุ "ปิดวังค้นหาทีละคน"

"เป็นคลื่นแห่งความไม่สงบจริงๆ มีมาอีกคลื่นแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อโปรดนำคนที่อยู่ด้านหลังหยุนซีกับเชว่เอ๋อร์เฝ้าไว้ให้ดี ตราประทับของฮองเฮาสำคัญนัก หม่อมฉันขอไปดูก่อนว่าแม่นางหลี่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว" หยุนชางกวาดสายตามองฝูงชน นางหันหลังกลับและเดินออกไปนอกตำหนัก

"เจ้ายังไปไม่ได้ ที่นี่ความน่าสงสัยของเจ้ายังมากที่สุด แต่เจ้ากลับจะไปหาน้องอิ๋งอิ๋ง เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?" เสียงของหัวจิ้งดังมาจากด้านหลัง หยุนชางหันศีรษะไปมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของหัวจิ้ง แต่มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น "เช่นนั้นองค์หญิงหัวจิ้งไปด้วยกันไหมเพคะ?"

หัวจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ต้องไปด้วยอยู่แล้ว อิ๋งอิ๋งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าย่อมต้องเป็นห่วงนาง" พูดจบแล้วนางก็เดินเฉียดร่างหยุนชางและเดินตรงไปที่ตำหนักข้าง

ทันทีที่เดินไปถึงประตู นางกลับถูกขันทีเด็กวิ่งเข้ามาชน ร่างหัวจิ้งซวนเซไปอย่างแรง แต่นางกลับปกป้องท้องของนางโดยไม่รู้ตัว คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของหัวจิ้ง แต่ท่าทางนี้กลับตกอยู่ในสายตาของหยุนชาง

"เจ้าเดินอย่างไรกัน?" หัวจิ้งดุอย่างโกรธจัด

ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงรีบพยุงหัวจิ้งและเมื่อนางยืนมั่นคงแล้ว เขาคุกเข่าลงและพูดว่า "องค์หญิงโปรดยกโทษให้ข้าด้วย องค์หญิงโปรดยกโทษให้ข้าด้วย"

หัวจิ้งกัดฟัน นี่เป็นในวัง แม้ว่าในหัวใจนางจะโมโหสักเพียงไหน แต่ก็ทำได้เพียงต้องอดกลั้น "ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ" หลังจากพูดจบนางก็ไปที่ตำหนักข้าง

หยุนชางก้มศีรษะลง "ในเมื่อเสด็จพี่ไปแล้ว อีกเดี๋ยวหยุนชางค่อยไปทีหลังก็แล้วกัน" นางทำหน้าน้อยใจ

เมื่อครู่ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหยุนชางถูกใส่ร้าย แต่องค์หญิงหัวจิ้งกลับยังทำกิริยาบีบคั้นนางราวกับนางจะไม่ชอบองค์หญิงหยุนชาง โดยคิดว่าองค์หญิงหยุนชางเป็นเพียงลูกของนางสนม แม้ว่าจิ่นเฟยจะได้รับความโปรดปรานอย่างมาก แต่พูดกันตามตรงแล้วก็เป็นเพียงอนุเท่านั้น สถานะของลูกอนุ แม้แต่ในบ้านของคนธรรมดาก็ต่ำมาก นับประสาอะไรกับในวังที่ซับซ้อนแห่งนี้

ฮ่องเต้รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเหลือบมองจิ่นเฟยกลับเห็นว่าจิ่นเฟยเองก็ดูหม่นหมอง นางยังคงจับจ้องไปที่ร่างของหยุนชาง ฮ่องเต้จึงไม่พอใจหัวจิ้งยิ่งนัก มีคำกล่าวว่าเด็กเป็นเนื้อก้อนหนึ่งของมารดา แม้ว่าจิ่นเฟยจะสัมผัสกับชองเอ๋อร์น้อยมาก แต่แม่ลูกก็ยังใจเชื่อมถึงกัน เมื่อเห็นว่าลูกสาวของนางได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนั้น ในใจของจิ่นเฟย

จะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน

มีเหล่านางกำนัลและขันทีเดินเข้ามาจากนอกตำหนักกลุ่มใหญ่ เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักแล้วก็ทำความเคารพฮ่องเต้ ฮ่องเต้พยักหน้าและกล่าวว่า "ตราประทับของฮองเฮาหายไป เจิ้นเกรงว่าจะมีใครบางคนจงใจทำและต้องการฉวยโอกาสที่ในวันนี้ในวังมีคนพลุกพล่านแอบเอาตราประทับของฮองเฮาออกจากวังไปอย่างเงียบๆ หากตราประทับของราชินีหายไป ผลที่ตามมาจะเป็นหายนะ ดังนั้นทุกท่านโปรดให้ความร่วมมือในการค้นหาด้วย"

ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรและเดินตามสาวใช้หรือขันทีไปตำหนักข้างทีละคน ทุกคนในตำหนักถูกค้นตัวทีละคน แต่ก็ไม่พบตราประทับของฮองเฮา

ในตอนนี้เองหัวจิ้งก็เดินเข้ามา

"จิ้งเอ๋อร์ก็ไปค้นตัวด้วยเถอะ" ฮ่องเต้มองหัวจิ้งอย่างเรียบเฉย

หัวจิ้งขมวดคิ้ว "เสด็จพ่อ จิ้งเอ๋อร์จะเอาตราประทับของเสด็จแม่ไปทำไม? เรื่องตรวจค้นร่างกายข้ามมันไปเถอะเพคะ"

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ทุกคนในตำหนักนี้ รวมทั้งชางเอ๋อร์และจิ้งอ๋องต่างก็ถูกตรวจแล้ว เจ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น ไปเสีย"

หัวจิ้งกัดริมฝีปากของนาง แต่นางก็รู้ว่าหากนางพูดอะไรไปมากกว่านี้ มันจะไปกระตุ้นความหงุดหงิดของฮ่องเต้อย่างแน่นอน หัวจิ้งยกมือขึ้นแตะท้อง โชคดีที่ยังไม่ได้เห็นชัดเจนนัก เมื่อคิดเช่นนี้หัวจิ้งก็เดินตามนางกำนัลออกไปที่ตำหนักข้าง

ผ่านไปไม่นาน นางกำนัลผู้นั้นก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน "ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่พบตราประทับของฮองเฮาในตัวขององค์หญิงหัวจิ้ง แต่หม่อมฉันพบสิ่งนี้ในแขนเสื้อขององค์หญิงเพคะ"

ในมือของนางกำนัลมีขวดหยกเขียวเล็กๆ ดวงตาของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อย "ตามหมอหลวงมาดูว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนี้คืออะไร"

คิ้วของฮองเฮาเลิกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของนางมองอยู่ที่ขวดหยกเล็กๆ นั่น "คงเป็นเพียงยาธรรมดาเท่านั้น คงจะพกไว้เพียงป้องกันอุบัติเหตุบางอย่างเท่านั้นแหล่ะเพคะ"

ดวงตาหยุนชางมีแววเยาะเย้ย ใช่สิ แม่นางและคุณชายทั้งหลายคงจะมีนิสัยเคยชินที่จะพกขวดยาธรรมดาออกไปด้วยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรอกนะ เพียงแต่ของสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในครอบครองของหัวจิ้งตอนนี้เป็นเรื่องผิดปกติ ประการแรกเพราะขวดยาเหล่านี้มักพกโดยข้ารับใช้ ประการที่สองเป็นเพราะที่นี่คือในวัง ยามมาร่วมงานเลี้ยงจะต้องโดนตรวจอย่างเข้มงวด ของเช่นนี้ไม่สามารถนำเข้าวังมาได้

แต่อาจเป็นเพราะว่าฮองเฮาไม่ได้เข้าหรือออกจากวังมานานแล้ว นางจึงไม่รู้ข้อเท็จจริงง่ายๆ เช่นนี้

หมอหลวงยังไม่ได้มาจากตำหนักข้างแต่กลับเป็นหัวจิ้งวิ่งเข้ามาก่อน นางดูร้อนรนเล็กน้อย "เสด็จพ่อ เสด็จแม่ สิ่งนี้ไม่ใช่ของของลูกและลูกไม่รู้เลยว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในแขนเสื้อของลูกได้ เสด็จพ่อเสด็จแม่ต้องคืนความเป็นธรรมให้ข้านะเพคะ… "

"เสด็จพี่ ในวังนี้ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา มีใครบ้างที่สามารถใส่ขวดดังกล่าวลงในแขนเสื้อของท่านได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว เช่นนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว" หยุนชางร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

หมอหลวงรีบไปรับขวดยาในมือนางกำนัลมาตรวจดูอย่างระมัดระวังครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาท มียาพิษอยู่ในขวดนี้และเป็นยาพิษชนิดเดียวกับของคุณหนูหลี่พ่ะย่ะค่ะ"

สีหน้าของหัวจิ้งเปลี่ยนไปทันที นางมองไปที่หยวนเจินฮองเฮา "เสด็จแม่ มีคนใส่ร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันถูกปรักปรำ…"

"แม่เชื่อในตัวเจ้า" ฮองเฮากัดฟัน ในใจของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทำไมขวดนั่นจึงมาอยู่ที่หัวจิ้งได้ มันควรจะอยู่ที่…

"ฮองเฮาเช่นนี้ออกไม่ยุติธรรมไปสักหน่อย เมื่อครู่เพียงนางกำนัลชั้นต่ำกล่าวหาว่านางกำนัลขององค์หญิงหยุนชางเคยไปที่หอพระราชสมบัติ ทุกคนก็เชื่อกันหมดว่าผู้วางยาต้องเป็นองค์หญิงหยุนชาง บัดนี้ขวดที่บรรจุยาพิษถูกพบที่องค์หญิงหัวจิ้ง เหตุใดฮองเฮาจึงคิดว่ามีคนกำลังใส่ร้ายองค์หญิงหัวจิ้ง?" ดวงตาของจ้องอ๋องแฝงแววประชดประชันเล็กน้อย คำพูดที่เข้าหูของทุกคนกลับมีความหมายอื่นแอบแฝงไว้

"มีรายงานพ่ะย่ะค่ะ…" มีทหารองครักษ์อีกคนวิ่งเข้ามา "กราบทูลฝ่าบาท ตอนที่กระหม่อมกำลังค้นวังอยู่ได้เห็นขันทีผู้หนึ่งทำท่าทางลับๆล่อๆ อยู่ใกล้กับหอเหมยอิ่ง น่าสงสัยยิ่งนักจึงพาเขาไปสอบปากคำ นี่คือคำสารภาพของขันทีผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ…" กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนมือขององครักษ์อย่างนิ่งๆ

หอเหมยอิ่ง ชื่อนี้ปรากฏมาครั้งหรือสองครั้งแล้วในเย็นนี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่กระดาษหนังแผ่นนั้น ไม่รู้ว่านี่มันคืออะไรอีก?

"นำขึ้นมา" ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชา

ขันทีเจิ้งรีบเดินลงมาจากด้านบน หยิบกระดาษในมือของทหารองครักษ์มามอบให้ฮ่องเต้ เขาคลี่มันออกและอ่านดูอย่างคร่าวๆ หน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน โทสะรวมตัวกันในดวงตาของเขา :

"ทหาร ไปเอาตัวขันทีนั่นมา"

ทหารองครักษ์สองคนลากขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ราวกับว่าเขาถูกทรมานมาแล้ว เลือดยังคงหยดไหลออกมาจากปลายนิ้วของขันทีคนนั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+