ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 463 ผลการตรวจสอบ

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 463 ผลการตรวจสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่หลิ่วหยินเฟิงกลับมองหลิ่วจิ้นอย่างไม่แยแส และกล่าวเบา ๆ ว่า ” ท่านควรคิดดีๆ เรื่องนี้คงจะไม่ทำให้ท่านนั้นรู้สึกโกรธเคืองใช่หรือไม่ ท่านนั้นได้วางแผนมานานหลายปี กว่าจะได้ชื่อเสียงดีๆในแคว้นเซี่ยนี้มา หากเขาทราบว่าฮวานเชิงได้สร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา ก็คงยากที่จะไม่โกรธเคือง”

หลิ่วจิ้นตัวสั่น แต่ก็กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้เขาโตขึ้นแล้ว ปีกกล้าขาแข็ง เมื่อก่อนเขาจะยังฟังข้าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้คำพูดของข้านั้นเป็นเหมือนลมปาก ช่างเถอะ ข้าเองก็เกียจคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของข้า อีกทั้งความเฉลียวฉลาดของเขาเหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิด ข้าหวังว่าเขาจะดีขึ้นบ้างหลังจากที่ผ่านความลำบากที่แคว้นหนิงมา เช่นนี้ก็ไม่เสียแรงที่ข้าไปขอร้องฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตเขา เรื่องสังหารพี่น้องเขาทำออกมาได้อย่างไร หากมิใช่เพราะว่าฝ่าบาท…..เกรงว่าเขาคง…..”

หลิ่วจิ้นถอนหายใจ “แม้ว่าเราจะสามารถควบคุมอำนาจในพระราชวังได้ทันที เมื่อรุ่นอ๋องกลับมา แต่หลังจากการรบของชาวหย่าแล้ว เกรงว่าหลายๆเรื่องคงจะมีการเปลี่ยนแปลง”

เปลือกตาของหลิ่วหยินเฟิงสั่นอย่างแรงเมื่อได้ยินคำว่าชาวหย่า สุดท้ายเขาก็มิได้เอ่ยปากกล่าวอะไร

หลิ่วจิ้นกล่าวต่ออีกว่า “ข้าไม่ทราบเช่นกันว่าแผนของท่านนั้นไปถึงไหนแล้ว บรรพบุรุษของนางเป็นคนชาวหย่า ด้วยเหตุที่นางได้มีอำนาจกลายเป็นพระราชินี เช่นนี้พ่อและแม่ของนางจึงถือว่ามีความสำคัญต่อชาวหย่าอย่างมาก หากพวกเขาลงมือก็คงง่ายอย่างมาก หวังว่ารุ่ยอ๋องจะไม่มีโอกาสได้กลับจากถิ่นชาวหย่า เช่นนั้นทุกๆอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่สิ องค์รัชทายาทไม่อยู่แล้ว ทุกๆอย่างก็จะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก”

หลิ่วหยินเฟิงเงียบตลอด แต่ความคิดของเขาล่องลอยไปไกลแล้ว

เมื่อหลิ่วจิ้นเห็นเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง และใช้ไม้เท้าเคาะผนังรถม้าดังตึกตึกตึก แล้วกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า ” หากว่ามีเจ้าคอยช่วยเสี่ยวชีก็ดียิ่งกว่าเดิม แต่เจ้ากลับ…….”

หลิ่วหยินเฟิงเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วก้มหน้าลง เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับคำถามเดิมๆเหล่านี้ ” นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท จัดการของฝ่าบาท ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อ๋องเจ็ดจะได้เป็นจักรพรรดิหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาท”

เมื่อหลิ่วจิ้นได้ยินเช่นนี้ เขาจึงทำเสียงไม่พอใจออกมา แล้วเอนกายพิงผนังรถม้า และมิได้กล่าวกระไร

“ไม่ทราบว่าท่านพ่อจะจัดการอย่างไรกับเรื่องฮูเหรินน้อยขอรับ?” หลิ่วหยินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา

“จัดการ?” หลิ่วจิ้นกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ข้าสามารถจัดการอะไรได้บ้างหรือ? ในเมื่อมอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของกรมอาญาแล้ว เช่นนั้นก็ให้คนของกรมอาญาไปปวดหัวกับมันแล้วกัน ข้าจะไปทรมานตัวเองทำไมกัน รองเจ้ากรมอาญาคนใหม่ชื่ออะไรหรือ? หลี่เฉี่ยนโม่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าตัวตนของหมอนั่นแปลกๆ ได้ข่าวว่าเป็นเพราะเขาเคยช่วยองค์ชายสิบเอ็ดเอาไว้ เสิ่นซูเฟยจึงพบว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ฉะนั้นจึงได้แนะนำให้ฝ่าบาท หลังจากที่ฝ่าบาททรงพบเขามาหลายครั้งก็ได้ชื่นชมเขาอย่างมาก ก่อนหน้านี้ข้าก็สังเกตเป็นพิเศษ พบชายคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ และเขาก็จัดการเรื่องต่างๆได้โฉบเฉี่ยวและรอบคอบ ตอนนี้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เขาก็ได้ไต่ขึ้นตำแหน่งรองเจ้ากรมอาญาแล้ว ตั้งแต่ข้าเป็นขุนนางมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีการเลื่อนขั้นเร็วเช่นนี้”

หลิ่วหยินเฟิงพยักหน้า ” ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงสงสัยตัวตนของคนนั้น จึงได้ส่งคนจำนวนมากไปตรวจสอบโดยเฉพาะ  ข้าได้ไปเยี่ยมหลิวหยุนฉีเป็นการส่วนตัวและทราบมาว่าคนคนนั้นเป็นศิษย์ของท่านจริงๆ ได้ฝึกฝนวิชากับท่านมาเป็นเวลาหกปี ก่อนหน้านี้เขาได้อาศัยอยู่ในป่าลับกับหลิ่วหยุนฉี เขาเพิ่งถูกหลิ่วหยุนฉีส่งตัวออกมาฝึกฝนเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว”

หลิ่วจิ้นขมวดคิ้ว “เช่นนี้เขาก็เป็นคนมีความสามารถอย่างมาก เหตุใดเราจึงไม่พบเขาก่อน มิน่าปล่อยให้เสิ่นซู่เฟยได้ของดีเช่นนี้ ต่อไปองค์ชายสิบเอ็ดจะมีที่ปรึกษาอีกคนที่ต้องระวังให้ดี”

หลังจากพูดคุยเรื่องต่างๆกันเป็นเวลานาน หลิ่วจิ้นก็นึกถึงเจ้าเด็กไม่เอาไหนของตระกูลตัวเองขึ้นมา เขากัดฟันและกล่าวว่า “หลิ่วฮวานเชิงไอ้สารเลวนี่ ครั้งนี้เขาทำตัวเหลวไหลอย่างมาก กลับจวนไปข้าจะสั่งสอนมันให้ดี ให้มันไม่สามารถออกนอกจวนได้สักครึ่งปี”

เมื่อหลิ่วหยินเฟิงได้เช่นนี้ก็มิได้เอ่ยปากต่อไป เขาคิดในใจว่าเพียงแต่เรื่องนี้ใหญ่โตเช่นนี้ อ๋องเจ็ดต้องทราบอย่างแน่นอน ตอนนี้นิสัยของอ๋องเจ็ดมิได้อ่อนโยนเหมือนตอนที่ท่านยังเป็นนักเรียน บางครั้งจิตใจของท่านก็มืดมนมากจนแม้แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่ทราบว่าต่อไปอ๋องเจ็ดจะใช้วิธีไหนจัดการเมื่อทราบเรื่องนี้

รถม้าหยุดลง หลิ่วหยินเฟิงผลักประตูและลงจากรถก่อน จากนั้นหันไปพยุงหลิ่วจิ้น เนื่องจากว่าฮูเหรินน้อยของจวนได้เสียชีวิตแล้ว ฉะนั้นจึงมีป้ายงานศพสีขาวแขวนอยู่หน้าประตูจวน ดอกไม้ผ้าสีขาวที่แขวนอยู่บนจวนหลิ่วนั้นดูสะดุดตาเป็นพิเศษ หลิ่วจิ้นเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วและมองเป็นเวลานาน จากนั้นก็ก้มหน้าลงและด่าว่า “อัปมงคล” แล้วจึงย่างเท้าเข้าไปในจวน

หลังจากเข้าประตูจวนไป ก็เห็นว่ามีเปลตั้งอยู่ บนนั้นมีศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว เสียงร้องไห้นั้นดังสนั่น หลิ่วฮูเหรินจับเปลนั้นไว้ แล้วคุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดเจ้าจึงเสียชีวิตไปเช่นนี้? เจ้าจะให้พวกข้าอยู่อย่างไร?” มีคนคุกเข่าอยู่ข้างหลังนางอีกหลายแถว

หลิ่วจิ้นขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วกระทืบไม้เท้าในมือและตะโกนว่า ” พวกเจ้าทำอะไรกัน?” เมื่อเห็นว่าหลิ่วฮูเหรินยังคงร้องไห้อยู่ เขาก็ยิ่งโกรธเคืองมากกว่าเดิม ” ก็แค่ผู้หญิงที่ไม่มีความสำคัญใดๆตายไป เจ้าร้องไห้ทำไม? คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่าข้าเสียชีวิตกระมั้ง”

จวนหลิ่วเคยจนมากก่อน เมื่อก่อนหลิ่วฮูเหรินเป็นเพียงหญิงสาวสถุ่นกลางตลาด แต่ด้วยเหตุที่นางสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก จึงได้ค่อยๆร่ำรวยขึ้นมา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้นางแสร้งทำตัวสูงส่งเป็นผู้ดีมาตลอด แต่นางก็ยังเป็นคนเจ้าอารมณ์คนเดิม นางยืนขึ้นและด่าพร้อมชี้หน้าหลิ่วจิ้น ” หากเจ้าตายไป ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เพราะเจ้านี่แหละ หากไม่ใช่เพราะเจ้า อาเชิงจะเสียชีวิตได้อย่างไร? เจ้าคืนอาเชิงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

หลิ่วจิ้นชะงัก ดูเหมือนเขาจะไม่ทันตอบสนองต่อสิ่งที่หลิ่วฮูเหรินกล่าว เขามองไปที่หลิ่วฮูเหรินอย่างมึนงง

หลิ่วหยินเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา “ท่านแม่ขอรับ ท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร อาเชิงเป็นอะไร?”

“อาเชิงของข้า อาเชิงของข้านอนอยู่ที่นี่ ตายแล้ว! เขาตายแล้ว! เพราะพวกเจ้า!” หลังจากพูดจบเขาก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง “ข้าบอกแล้วว่าอาเชิงไม่มีพรสวรรค์ด้านเหล่านั้นก็อย่างบังคับให้เขาไปฝึก แต่พวกเจ้าก็ยังจะบีบบังคับเขา เขาชอบเล่นผู้หญิงก็ตามใจเขา ชอบพนันก็ให้เขาเล่นไป จวนหลิ่วเราไม่ได้ขาดสนขนาดที่ว่าเล่นพนันไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าบีบบังคับเขาจนเขาเสียชีวิต พวกเจ้ามีความสุขหรือยัง”

หลิ่วหยินเฟิงมิได้รอให้หลิ่วฮูเหรินพูดจบ เขารีบเดินเข้าไปเปิดผ้าขาวที่คลุมศพออก แล้วพบว่าคนที่นอนอยู่บนนั้นมิใช่ฮูเหรินน้อยหลิ่วที่พวกเขาคิดไว้ แต่เป็นหลิ่วฮวานเชิง ใบหน้าของหลิ่วฮวานเชิงขาวซีด มีรอยช้ำเขียวอยู่บนหน้าผาก ดูจากร่างกายของเขา เหมือนจะเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากน้ำ ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยรอยน้ำ

ดวงตาของหลิ่วจิ้นเบิกกว้างในทันที ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ร่างกายของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง ริมฝีปากของเขาเป็นสีดำ และเขาชี้ไปที่ศพและตะโกนอย่างสั่นเทาว่า “อาเชิง……..” จากนั้นก็ล้มตัวไปด้านหลัง……..

โชคดีที่มีผู้ติดตามอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเห็นเช่นนี้จึงรีบตะโกน “นายท่านสลบไปแล้ว!” ต่างก็รีบวิ่งเข้าไปรับร่างของหลิ่วจิ้นไว้

หลิ่วฮูเหรินก็ผงะเช่นกัน แม้ว่านางเอาแต่พูดว่าอยากให้เขาไปตาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีที่อยู่คู่ตนมาทั้งชีวิต เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้ไปนางก็ร้อนรนอย่างมากและทำอะไรไม่ถูก มี “เร็วเข้า .. … ”

นางเอาแต่ร้องว่าเร็วเข้า แต่ก็ไม่พูดออกมาเสียทีว่าให้รีบทำกระไร

หลิ่วหยินเฟิงรีบลุกขึ้นและกล่าวว่า “นำตัวนายท่านไปที่ห้อง แล้วไปตามตัวท่านหมอมา”

หลิ่วฮูเหรินพยักหน้า คนใช้จึงรีบไปทำตามคำสั่งของหลิ่วหยินเฟิงด้วยความตื่นตระหนก หลิวฮูเหรินรีบเดินตามคนใช้ที่นำตัวหลิ่วจิ้นกลับไปที่ห้องไปทางลานบ้าน และบ่นพึมพำว่า ” อย่าได้มีใครเป็นกระไรไปอีกเลย อย่า หากว่าเสียชีวิตไปหมดจะทำอย่างไร?”

เรื่องนี้ทำให้ภายในจวนนั้นวุ่นวายอย่างมาก ไม่สามารถหาใครที่สามารถเป็นคนออกคำสั่งได้เลย หลิ่วหยินเฟิงจึงครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ไปสั่งทำโลงศพแล้วจัดการกับศพของคุณชายเสีย ให้พ่อบ้านเตรียมการต่างๆ แล้วก็ใครก็ได้มาเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 463 ผลการตรวจสอบ

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 463 ผลการตรวจสอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่หลิ่วหยินเฟิงกลับมองหลิ่วจิ้นอย่างไม่แยแส และกล่าวเบา ๆ ว่า ” ท่านควรคิดดีๆ เรื่องนี้คงจะไม่ทำให้ท่านนั้นรู้สึกโกรธเคืองใช่หรือไม่ ท่านนั้นได้วางแผนมานานหลายปี กว่าจะได้ชื่อเสียงดีๆในแคว้นเซี่ยนี้มา หากเขาทราบว่าฮวานเชิงได้สร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา ก็คงยากที่จะไม่โกรธเคือง”

หลิ่วจิ้นตัวสั่น แต่ก็กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้เขาโตขึ้นแล้ว ปีกกล้าขาแข็ง เมื่อก่อนเขาจะยังฟังข้าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้คำพูดของข้านั้นเป็นเหมือนลมปาก ช่างเถอะ ข้าเองก็เกียจคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของข้า อีกทั้งความเฉลียวฉลาดของเขาเหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิด ข้าหวังว่าเขาจะดีขึ้นบ้างหลังจากที่ผ่านความลำบากที่แคว้นหนิงมา เช่นนี้ก็ไม่เสียแรงที่ข้าไปขอร้องฝ่าบาทให้ไว้ชีวิตเขา เรื่องสังหารพี่น้องเขาทำออกมาได้อย่างไร หากมิใช่เพราะว่าฝ่าบาท…..เกรงว่าเขาคง…..”

หลิ่วจิ้นถอนหายใจ “แม้ว่าเราจะสามารถควบคุมอำนาจในพระราชวังได้ทันที เมื่อรุ่นอ๋องกลับมา แต่หลังจากการรบของชาวหย่าแล้ว เกรงว่าหลายๆเรื่องคงจะมีการเปลี่ยนแปลง”

เปลือกตาของหลิ่วหยินเฟิงสั่นอย่างแรงเมื่อได้ยินคำว่าชาวหย่า สุดท้ายเขาก็มิได้เอ่ยปากกล่าวอะไร

หลิ่วจิ้นกล่าวต่ออีกว่า “ข้าไม่ทราบเช่นกันว่าแผนของท่านนั้นไปถึงไหนแล้ว บรรพบุรุษของนางเป็นคนชาวหย่า ด้วยเหตุที่นางได้มีอำนาจกลายเป็นพระราชินี เช่นนี้พ่อและแม่ของนางจึงถือว่ามีความสำคัญต่อชาวหย่าอย่างมาก หากพวกเขาลงมือก็คงง่ายอย่างมาก หวังว่ารุ่ยอ๋องจะไม่มีโอกาสได้กลับจากถิ่นชาวหย่า เช่นนั้นทุกๆอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ไม่สิ องค์รัชทายาทไม่อยู่แล้ว ทุกๆอย่างก็จะดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก”

หลิ่วหยินเฟิงเงียบตลอด แต่ความคิดของเขาล่องลอยไปไกลแล้ว

เมื่อหลิ่วจิ้นเห็นเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง และใช้ไม้เท้าเคาะผนังรถม้าดังตึกตึกตึก แล้วกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า ” หากว่ามีเจ้าคอยช่วยเสี่ยวชีก็ดียิ่งกว่าเดิม แต่เจ้ากลับ…….”

หลิ่วหยินเฟิงเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วก้มหน้าลง เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับคำถามเดิมๆเหล่านี้ ” นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท จัดการของฝ่าบาท ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อ๋องเจ็ดจะได้เป็นจักรพรรดิหรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฝ่าบาท”

เมื่อหลิ่วจิ้นได้ยินเช่นนี้ เขาจึงทำเสียงไม่พอใจออกมา แล้วเอนกายพิงผนังรถม้า และมิได้กล่าวกระไร

“ไม่ทราบว่าท่านพ่อจะจัดการอย่างไรกับเรื่องฮูเหรินน้อยขอรับ?” หลิ่วหยินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา

“จัดการ?” หลิ่วจิ้นกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ “ข้าสามารถจัดการอะไรได้บ้างหรือ? ในเมื่อมอบเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของกรมอาญาแล้ว เช่นนั้นก็ให้คนของกรมอาญาไปปวดหัวกับมันแล้วกัน ข้าจะไปทรมานตัวเองทำไมกัน รองเจ้ากรมอาญาคนใหม่ชื่ออะไรหรือ? หลี่เฉี่ยนโม่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าตัวตนของหมอนั่นแปลกๆ ได้ข่าวว่าเป็นเพราะเขาเคยช่วยองค์ชายสิบเอ็ดเอาไว้ เสิ่นซูเฟยจึงพบว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ฉะนั้นจึงได้แนะนำให้ฝ่าบาท หลังจากที่ฝ่าบาททรงพบเขามาหลายครั้งก็ได้ชื่นชมเขาอย่างมาก ก่อนหน้านี้ข้าก็สังเกตเป็นพิเศษ พบชายคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ และเขาก็จัดการเรื่องต่างๆได้โฉบเฉี่ยวและรอบคอบ ตอนนี้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เขาก็ได้ไต่ขึ้นตำแหน่งรองเจ้ากรมอาญาแล้ว ตั้งแต่ข้าเป็นขุนนางมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีการเลื่อนขั้นเร็วเช่นนี้”

หลิ่วหยินเฟิงพยักหน้า ” ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงสงสัยตัวตนของคนนั้น จึงได้ส่งคนจำนวนมากไปตรวจสอบโดยเฉพาะ  ข้าได้ไปเยี่ยมหลิวหยุนฉีเป็นการส่วนตัวและทราบมาว่าคนคนนั้นเป็นศิษย์ของท่านจริงๆ ได้ฝึกฝนวิชากับท่านมาเป็นเวลาหกปี ก่อนหน้านี้เขาได้อาศัยอยู่ในป่าลับกับหลิ่วหยุนฉี เขาเพิ่งถูกหลิ่วหยุนฉีส่งตัวออกมาฝึกฝนเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว”

หลิ่วจิ้นขมวดคิ้ว “เช่นนี้เขาก็เป็นคนมีความสามารถอย่างมาก เหตุใดเราจึงไม่พบเขาก่อน มิน่าปล่อยให้เสิ่นซู่เฟยได้ของดีเช่นนี้ ต่อไปองค์ชายสิบเอ็ดจะมีที่ปรึกษาอีกคนที่ต้องระวังให้ดี”

หลังจากพูดคุยเรื่องต่างๆกันเป็นเวลานาน หลิ่วจิ้นก็นึกถึงเจ้าเด็กไม่เอาไหนของตระกูลตัวเองขึ้นมา เขากัดฟันและกล่าวว่า “หลิ่วฮวานเชิงไอ้สารเลวนี่ ครั้งนี้เขาทำตัวเหลวไหลอย่างมาก กลับจวนไปข้าจะสั่งสอนมันให้ดี ให้มันไม่สามารถออกนอกจวนได้สักครึ่งปี”

เมื่อหลิ่วหยินเฟิงได้เช่นนี้ก็มิได้เอ่ยปากต่อไป เขาคิดในใจว่าเพียงแต่เรื่องนี้ใหญ่โตเช่นนี้ อ๋องเจ็ดต้องทราบอย่างแน่นอน ตอนนี้นิสัยของอ๋องเจ็ดมิได้อ่อนโยนเหมือนตอนที่ท่านยังเป็นนักเรียน บางครั้งจิตใจของท่านก็มืดมนมากจนแม้แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่ทราบว่าต่อไปอ๋องเจ็ดจะใช้วิธีไหนจัดการเมื่อทราบเรื่องนี้

รถม้าหยุดลง หลิ่วหยินเฟิงผลักประตูและลงจากรถก่อน จากนั้นหันไปพยุงหลิ่วจิ้น เนื่องจากว่าฮูเหรินน้อยของจวนได้เสียชีวิตแล้ว ฉะนั้นจึงมีป้ายงานศพสีขาวแขวนอยู่หน้าประตูจวน ดอกไม้ผ้าสีขาวที่แขวนอยู่บนจวนหลิ่วนั้นดูสะดุดตาเป็นพิเศษ หลิ่วจิ้นเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วและมองเป็นเวลานาน จากนั้นก็ก้มหน้าลงและด่าว่า “อัปมงคล” แล้วจึงย่างเท้าเข้าไปในจวน

หลังจากเข้าประตูจวนไป ก็เห็นว่ามีเปลตั้งอยู่ บนนั้นมีศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว เสียงร้องไห้นั้นดังสนั่น หลิ่วฮูเหรินจับเปลนั้นไว้ แล้วคุกเข่าลงกับพื้นและร้องไห้เสียงดัง “เหตุใดเจ้าจึงเสียชีวิตไปเช่นนี้? เจ้าจะให้พวกข้าอยู่อย่างไร?” มีคนคุกเข่าอยู่ข้างหลังนางอีกหลายแถว

หลิ่วจิ้นขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วกระทืบไม้เท้าในมือและตะโกนว่า ” พวกเจ้าทำอะไรกัน?” เมื่อเห็นว่าหลิ่วฮูเหรินยังคงร้องไห้อยู่ เขาก็ยิ่งโกรธเคืองมากกว่าเดิม ” ก็แค่ผู้หญิงที่ไม่มีความสำคัญใดๆตายไป เจ้าร้องไห้ทำไม? คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่าข้าเสียชีวิตกระมั้ง”

จวนหลิ่วเคยจนมากก่อน เมื่อก่อนหลิ่วฮูเหรินเป็นเพียงหญิงสาวสถุ่นกลางตลาด แต่ด้วยเหตุที่นางสนมหลิ่วได้รับความโปรดปรานอย่างมาก จึงได้ค่อยๆร่ำรวยขึ้นมา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้นางแสร้งทำตัวสูงส่งเป็นผู้ดีมาตลอด แต่นางก็ยังเป็นคนเจ้าอารมณ์คนเดิม นางยืนขึ้นและด่าพร้อมชี้หน้าหลิ่วจิ้น ” หากเจ้าตายไป ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว เพราะเจ้านี่แหละ หากไม่ใช่เพราะเจ้า อาเชิงจะเสียชีวิตได้อย่างไร? เจ้าคืนอาเชิงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

หลิ่วจิ้นชะงัก ดูเหมือนเขาจะไม่ทันตอบสนองต่อสิ่งที่หลิ่วฮูเหรินกล่าว เขามองไปที่หลิ่วฮูเหรินอย่างมึนงง

หลิ่วหยินเฟิงขมวดคิ้วขึ้นมา “ท่านแม่ขอรับ ท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไร อาเชิงเป็นอะไร?”

“อาเชิงของข้า อาเชิงของข้านอนอยู่ที่นี่ ตายแล้ว! เขาตายแล้ว! เพราะพวกเจ้า!” หลังจากพูดจบเขาก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง “ข้าบอกแล้วว่าอาเชิงไม่มีพรสวรรค์ด้านเหล่านั้นก็อย่างบังคับให้เขาไปฝึก แต่พวกเจ้าก็ยังจะบีบบังคับเขา เขาชอบเล่นผู้หญิงก็ตามใจเขา ชอบพนันก็ให้เขาเล่นไป จวนหลิ่วเราไม่ได้ขาดสนขนาดที่ว่าเล่นพนันไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าบีบบังคับเขาจนเขาเสียชีวิต พวกเจ้ามีความสุขหรือยัง”

หลิ่วหยินเฟิงมิได้รอให้หลิ่วฮูเหรินพูดจบ เขารีบเดินเข้าไปเปิดผ้าขาวที่คลุมศพออก แล้วพบว่าคนที่นอนอยู่บนนั้นมิใช่ฮูเหรินน้อยหลิ่วที่พวกเขาคิดไว้ แต่เป็นหลิ่วฮวานเชิง ใบหน้าของหลิ่วฮวานเชิงขาวซีด มีรอยช้ำเขียวอยู่บนหน้าผาก ดูจากร่างกายของเขา เหมือนจะเพิ่งถูกนำขึ้นมาจากน้ำ ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยรอยน้ำ

ดวงตาของหลิ่วจิ้นเบิกกว้างในทันที ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ร่างกายของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง ริมฝีปากของเขาเป็นสีดำ และเขาชี้ไปที่ศพและตะโกนอย่างสั่นเทาว่า “อาเชิง……..” จากนั้นก็ล้มตัวไปด้านหลัง……..

โชคดีที่มีผู้ติดตามอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเห็นเช่นนี้จึงรีบตะโกน “นายท่านสลบไปแล้ว!” ต่างก็รีบวิ่งเข้าไปรับร่างของหลิ่วจิ้นไว้

หลิ่วฮูเหรินก็ผงะเช่นกัน แม้ว่านางเอาแต่พูดว่าอยากให้เขาไปตาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีที่อยู่คู่ตนมาทั้งชีวิต เมื่อเห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้ไปนางก็ร้อนรนอย่างมากและทำอะไรไม่ถูก มี “เร็วเข้า .. … ”

นางเอาแต่ร้องว่าเร็วเข้า แต่ก็ไม่พูดออกมาเสียทีว่าให้รีบทำกระไร

หลิ่วหยินเฟิงรีบลุกขึ้นและกล่าวว่า “นำตัวนายท่านไปที่ห้อง แล้วไปตามตัวท่านหมอมา”

หลิ่วฮูเหรินพยักหน้า คนใช้จึงรีบไปทำตามคำสั่งของหลิ่วหยินเฟิงด้วยความตื่นตระหนก หลิวฮูเหรินรีบเดินตามคนใช้ที่นำตัวหลิ่วจิ้นกลับไปที่ห้องไปทางลานบ้าน และบ่นพึมพำว่า ” อย่าได้มีใครเป็นกระไรไปอีกเลย อย่า หากว่าเสียชีวิตไปหมดจะทำอย่างไร?”

เรื่องนี้ทำให้ภายในจวนนั้นวุ่นวายอย่างมาก ไม่สามารถหาใครที่สามารถเป็นคนออกคำสั่งได้เลย หลิ่วหยินเฟิงจึงครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ไปสั่งทำโลงศพแล้วจัดการกับศพของคุณชายเสีย ให้พ่อบ้านเตรียมการต่างๆ แล้วก็ใครก็ได้มาเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+