ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 475 ถูกช่วย

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 475 ถูกช่วย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อองครักษ์เงาถอยออกไปแล้ว. หยุนชางจึงเดินไปที่ห้องพักของเฉียนยินเพื่อเยี่ยมนางอีกรอบหนึ่ง แผนการของหลิ่วหยินเฟิงคิดได้รอบคอบเป็นอย่างมาก เขาได้ให้สาวใช้นางหนึ่งมาเฝ้าเฉียนยินอยู่ข้างกาย ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวของท่านหมอร้านขายยากระมัง เมื่อครั้งที่หยุนชางไปหาเฉียนยินนั้น กำลังเห็นนางกำลังเปลี่ยนยาให้เฉียนยินอยู่พอดี ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยความคล่องแคล่วว่องไวและชำนาญมือเป็นอย่างมาก

เมื่อสตรีนางนั้นเห็นหยุนชาง จึงยิ้มให้เล็กน้อย. รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายของประชาชนคนธรรมดา “นายหญิงนั่งลงเถิด หม่อมฉันจะเปลี่ยนยาให้แม่นางผู้นี้ ” เมื่อพูดจบ พลางก้มหัวให้เล็กน้อย พร้อมทายาลงบนแผลอย่างระมัดระวัง

หยุนชางพยักหน้าลง พร้อมนั่งลงอยู่ข้าง ๆ เตียง สายตามองไปที่ใบหน้าของเฉียนยินเป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับไปไหน

เพียงชั่วครู่ สตรีผู้นั้นก็ได้เปลี่ยนยาจนเสร็จเรียบร้อย พลางลอบมองปฏิกิริยาของหยุนชาง พร้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยว่า “หม่อมฉันได้ยินจากคุณชายเล่าให้ฟังแล้วว่า นายหญิงเป็นเจ้านายของแม่นางท่านนี้หรือ ช่างเป็นนายหญิงที่ใส่ใจดูแลแม่นางผู้นี้เหลือเกิน”

หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันชะงักไปชั่วครู่ นางรู้มาว่าในตระกูลใหญ่หลาย ๆ ตระกูลมักจะทำการเฆี่ยนตีสาวใช้ตามใจชอบ นางพลันจ้องมองไปยังเฉียนยิน หยินชางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้ากับนางล้วนแต่โตขึ้นมาพร้อมกัน. แม้ว่าจะห่างกันไปหลายปี ทว่าครั้งนี้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตข้านางถึงได้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เป็นความผิดของข้าเอง. หากข้าฉุกคิดให้ละเอียดถีถ้วนมากกว่านี้ละก็ หากข้าใจเย็นสักนิด เรื่องราวเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น ”

สตรีนางนั้นพลันรีบร้อนพูดปลอบใจขึ้นมาว่า “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ. ที่พูดถึงเรื่องราวที่นายหญิงเศร้าเสียใจขึ้นมา”

หยุนชางพลันส่ายหน้าไปมา พลางนั่งอยู่ภายในห้องอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยกลับไปยังห้องของตนเอง

ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจไปพักฟื้นที่เมืองหลีแล้ว. ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอหลังจากเฉียนยินฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ถึงจะวางแผนขั้นต่อไป เฉียนยินยังมิได้ฟื้นขึ้นมาจึงมิสามารถเคลื่อนย้ายนางไปไหนได้

ตอนนี้อยู่ที่ตำบลฉีหลานมาได้สามวันแล้ว หยุนชางกำลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์เงาที่พูดถึงสถานการณ์ในตำบลฉีหลานว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาสอบถามตามบ้านในตำบลฉีหลานว่า มีใครเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองนี้บ้าง แต่เดิมผู้คนในตำบลฉีหลานล้วนแต่มีไม่เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นลักษณะการกระทำของกลุ่มคนน่ากลัวกลุ่มนี้ จึงเป็นที่หน้าจับตามองเป็นอย่างมาก

“ร้านยาของพวกเราตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก สองวันมานี้ ท่านพ่อเปิดปิดร้านตรงเวลาทุกวัน อีกทั้งยังตรวจคนไข้ตามปกติอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสมุนไพรของพวกเราส่วนใหญ่ก็ไปเก็บจากบนภูเขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกท่านได้เพคะ”

สตรีร้านยาที่คอยดูแลเฉียนยินอยู่นั้นชื่อหลานซิน. เป็นแม่นางที่มีความรู้เป็นอย่างมาก หากแต่แม่นางผู้นี้เสมือนว่าจะมีความประทับใจต่อหลิ่วหยินเฟิง เมื่อตอนที่ยืนอยู่ข้างตะแกรงตากสมุนไพรในลานบ้าน ก็คอยลอบมองลงไปดูหลิ่วหยินเฟิงที่กำลังยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนอนอ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ด้วย พร้อมแอบมองด้วยใบหน้าแดงก่ำ

เสมือนว่าหลิ่วหยินเฟิงจะไม่รู้เรื่องนี้กระมัง เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกระซิบตอบว่า “ต้องขอบคุณแม่นางหลานซินแล้ว”

หยุนชางที่ยืนอยู่ในห้อง. ในขณะที่กำลังเปิดหน้าต่างออกไปนั้น พลันนึกถึงเรื่องราวในวันที่หลิ่วหยินเฟิงสารภาพรักกับนางขึ้นมา สายตานางมองไปยังหลิ่วหยินเฟิง แม้ว่าจะอยู่ในตำบลเล็ก ๆ แห่งนี้ ทว่าชายผู้นี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากอิสตรีได้ง่ายดายเสีย ชายผู้นี้ที่ถูกเรียกว่ากุนซือจิ้งจอก เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การรบและการจัดทัพ กลับมาบอกว่าชอบนางงั้นหรือ ?

หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง พูดตามจริง ในเรื่องด้านอารมณ์ของนางมีความพัฒนาการมากขึ้นเป็นอย่างมาก จากชาติที่แล้ว นางถูกฮองเฮาและหัวจิ้งควบคุมให้ชอบโม่จิ้งหราน. ในเวลานั้นที่นางชอบโม่จิ้งหรานเป็นเพราะความหล่อเหลาและการพูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจของเขา เมื่อนางครุ่นคิดดูแล้ว เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะนาง ที่เติบโตมาจากส่วนลึกของวังหลัง จึงทำให้พบเจอผู้ชายน้อยมาก จึงมิรู้ว่าแท้จริงแล้ว ความรักคืออะไรกันแน่

ในชาตินี้ นางจึงมิได้ครุ่นคิดถึงความรักมากนัก หากแต่โดนลั่วชิงเหยียนดึงดูดความสนใจเข้าให้ และต้องแต่งให้เขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครั้งที่แต่งงานกันช่วงแรกเริ่มนั้น นางมิรู้จริง ๆ ว่าควรจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร จึงปฏิบัติตนให้ความเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส ในฐานะคนสนิทรวมถึงมิตรสหายด้วย เป็นการอยู่ด้วยกันโดยที่มิได้สนิทสนมกันมาก ทว่า ต่อมาเมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น  เสมือนว่าค่อย ๆคุ้นชินกับการอยู่ด้วยกันไปเสียแล้ว หลังจากนั้นความรักจึงค่อยๆ สลักเข้าไปภายในก้นบึ้งของจิตใจของนาง

ทว่า สำหรับหลิ่วหยินเฟิงนั้น ในคราที่พบกันครั้งแรก พวกเขากลับพบกันในฐานะศัตรู หยุนชางได้ให้คนไปสืบหาข้อมูลของเขารวมทั้งตรวจสอบภูมิหลังของเขาด้วย จึงถือว่าพอจะคุ้นเคยกับเขาอยู่บ้าง ทว่า เขากลับเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น อีกทั้งเขายังทำให้ลั่วชิงเหยียนเกือบไม่มีชีวิตรอด นั่นจึงทำให้ภายในใจของนางมิค่อยชอบหลิ่วหยินเฟิงมากนัก หลังจากนั้นเมื่อได้เจอกันที่พระราชวังอีกครั้ง เขาก็ได้ช่วยเหลือนางครั้งหนึ่ง นางรู้สึกซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย แต่นั้นมาจึงค่อย ๆ สนิทกันมาขึ้นเรื่อย ๆ จึงรู้สึกว่าหลิ่วหยินเฟิงผู้นี้สามารถนับเป็นสหายได้ แต่ว่า จากข้อมูลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อนั้น จึงทำให้ลั่วชิงเหยียนมิค่อยชอบที่นางไปเข้าใกล้หลิ่วหยินเฟิงมากนัก หยุนชางจึงมิได้คิดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าก็ค่อย ๆ รักษาระยะห่างกับเขา

หลังจากถึงแคว้นเซี่ยได้ไม่นานนั้น เนื่องจากคนในแคว้นเซี่ยที่รู้จักมีนิสัยน่ารัก หลิ่วหยินเฟิงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น จึงเกิดความไว้ใจบ้างเล็กน้อย หากแต่นางเข้าใจได้ว่า ตนเองกับหลิ่วหยินเฟิงความสัมพันธ์ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้แน่

หากแต่ คำสารภาพของหลิ่วหยินเฟิงก็ทำให้นางรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เกรงว่าหากปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งไป. อาจจะเป็นการหักหน้าหลิ่วหยินเฟิงได้ แต่ทว่า หากมิได้ปฏิเสธอะไรเลย ก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังต่อหลิ่วหยินเฟิง อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้

ภายในใจรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรดี

หยุนชางพลางถอนหายใจออกมาบาง ๆ พร้อมสติที่กลับมาครบถ้วนแล้ว จึงเดินไปยังเก้าอี้เพื่อนั่งลง พลางหยิบตำราแพทย์ขึ้นมาอ่านไปพลางพลาง

ภายในจวนนั้น หลิ่วหยินเฟิงพลันเงยหน้ามองบานหน้าต่างที่เปิดอยู่นั้น สายตาจดจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีอะไรแล้ว เขาจึงก้มหน้าอ่านตำราต่อไป

ใกล้ช่วงหัวค่ำแล้ว หยุนชางเพิ่งจะรับสำรับอาหารเย็นเสร็จ เมื่อดูตำราไปได้พักหนึ่ง กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนนั้น พลันได้ยินเสียงหลานซินวิ่งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “นายหญิง แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้วเพคะ”

หยุนชางตกตะลึงไปชั่วครู่ เพียงครู่หนึ่งจึงจับใจความคำพูดของหลานซินได้ พลางรีบร้อนลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักของเฉียนยิน เมื่อเดินไปถึงประตูแล้วพลางหยุดฝีเท้าลง ในใจกลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เฉียนยิน. เฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้ว หากแต่ ถ้านางรู้ว่ามือของนางไม่มีแล้ว. นางจะรู้สึกอย่างไร

“นายหญิง ทำไมถึงหยุดอยู่หน้าประตูละเพคะ ? ” หลานซินที่ตามทันนั้น เมื่อเห็นหยุนชางหยุดอยู่หน้าประตู มิได้เดินเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก พร้อมถามขึ้นด้วยความสงสัย

หยุนชางที่ชะงักไปชั่วครู่นั้น พลันได้ยินเสียงของเฉียนยินดังออกมา “นายท่าน ? ”

ทันใดนั้น จมูกของหยุนชางพลันรู้สึกตื้นตันขึ้นมา หากแต่ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง เฉียนยินลุกขึ้นมานั่งพึงกับหัวเตียงแล้วหันหน้ามายังทิศทางของประตู หยุนชางจึงรีบเดินไปนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมมองเฉียนยิน เพียงจ้องมองเฉียนยินอยู่นาน จึงสามารถระงับความตื้นตันความอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมาได้ แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “เจ้านอนพอแล้วใช่หรือไม่ ? แต่ก่อนเจ้าชอบบอกว่าข้าขี้เซานัก. เจ้าต่างหากที่ขี้เซากว่าข้าเป็นเท่าตัว”

เฉียนยินได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกโพลง พร้อมพูดพึมพำเบา ๆว่า “นู๋ปี๋ได้รับบาดเจ็บหรอกเพคะ นายท่านช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว นู๋ปี๋บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังไม่ให้นู๋ปี๋นอนพักผ่อน”

แต่เดิมหยุนชางพยายามควบคุมน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนยินนั้น น้ำตาที่ควบคุมเอาไว้กลับรู้สึกว่ากำลังไหลออกมาเสียได้

เฉียนยินเห็นดังนั้น จึงรีบร้อนพูดปลอบหยุนชางว่า “นายท่านอย่าได้ร้องให้ไปเลย ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมกับองครักษ์เงามิใช่พูดแล้วหรือ ความเป็นความตายของนู๋ปี๋ล้วนแต่อยู่นอกเหนือการควบคุม อีกทั้ง องครักษ์เงานั้นสามารถปกป้องนายท่านได้จากภัยอันตรายในความมืดที่มองไม่เห็น ทว่าการที่นู๋ปี๋สามารถอยู่ในที่แจ้งเพื่อปกป้องนายท่านได้นั้น นับเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับนู๋ปี๋แล้วเพคะ หากแต่. กลัวว่าหลังจากนี้ต่อไป นู๋ปี๋อาจจะไม่สามารถดูแลนายท่านได้อีกแล้ว นายท่านได้โปรดให้นู๋ปี๋แอบอู้งานด้วยเถิด ? ทว่า อย่าได้ให้นู๋ปี๋ออกไปจากชีวิตนายท่านเลย! ”

หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันพยักหน้ารับ “ได้. ข้าจะเลี้ยงดูเจ้า สาวใช้ของข้า ข้าสามารถเลี้ยงดูได้”

เฉียนยินได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมา รอยยิ้มยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความร่าเริง หากแต่ดวงตากลับมีความไม่แน่นอนปรากฏอยู่

หยุนชางทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว. จึงหาข้ออ้างเพื่อหลีกหนีออกมา ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าต่าง ก็มิได้หนีไปไหน เพียงหนึ่งจิบน้ำชานั้น จึงได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นในห้องดังออกมาว่า พร้อมเสียงเฉียนยินที่พูดพึมพำกับตนเองว่า “ข้าจักร้องให้เช่นนี้ไม่ได้ ร้องไม่ได้ หากพรุ่งนี้หวางเฟยเห็นดวงตาของข้าที่ปูดบวมขึ้นมา จะต้องเสียใจมากเป็นแน่ ข้าจักร้องให้ไม่ได้”

ภายในใจหยุนชางพลันสั่นเทา พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมา

เจ้าเด็กโง่เง่า. เมื่อครู่ยังทำใจแข็งปลอบข้าอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็แอบไปร้องให้เสียแล้ว เมื่อนางเช็ดน้ำตาเสร็จแล้ว หยุนชางจึงเดินอยู่ภายในใจจวนอยู่ครู่หนึ่ง พลันเห็นว่าประตูถูกเปิดออก หลิ่วหยินเฟิงที่เดินเข้ามานั้น เมื่อเห็นหยุนชางอยู่ในจวน จึงเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหยุนชางว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินมาจากหลานซินแล้วว่า แม่นางเฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้วหรือ ?”

หยุนชางพยักหน้ารับ “ฟื้นขึ้นมาแล้ว. ต้องขอบคุณคุณชายหลิ่วเป็นอย่างมาก”

“กับข้ามิต้องเกรงใจมากนักหรอก” หลิ่วหยินเฟิงพลางพูดขึ้นมาเบา ๆ พลางมองไปที่ห้องของเฉียนยิน แล้วจึงพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อแม่นางเฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าจักให้หลานซินคอยพูดให้กำลังใจนาง”

“เพคะ ขอบ” คำว่าคุณยังมิทันได้พูดออกมา กลับฉุกขึ้นถึงคำพูดของหลิ่วหยินเฟิงเมื่อครู่ขึ้นมาได้ จึงได้แต่เก็บคำนั้นลงไป

หลิ่วหยินเฟิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกระซิบบอกว่า ” ช่วงนี้ด้านนอก มีแต่คนเข้ามาในตำบลนี้เพื่อสอบถามถึงร่องรอยของคนแปลกหน้า ข้ากังวลว่าคงจะมาตามหาเจ้ากระมัง หากจะหลบหนีไปตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก ข้าจักให้คนของท่านเจ้าเมืองหลี ส่งคนมารับเจ้า เกรงว่าวันรุ่งคงจะมาถึงกระมัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 475 ถูกช่วย

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 475 ถูกช่วย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อองครักษ์เงาถอยออกไปแล้ว. หยุนชางจึงเดินไปที่ห้องพักของเฉียนยินเพื่อเยี่ยมนางอีกรอบหนึ่ง แผนการของหลิ่วหยินเฟิงคิดได้รอบคอบเป็นอย่างมาก เขาได้ให้สาวใช้นางหนึ่งมาเฝ้าเฉียนยินอยู่ข้างกาย ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกสาวของท่านหมอร้านขายยากระมัง เมื่อครั้งที่หยุนชางไปหาเฉียนยินนั้น กำลังเห็นนางกำลังเปลี่ยนยาให้เฉียนยินอยู่พอดี ทุกการเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยความคล่องแคล่วว่องไวและชำนาญมือเป็นอย่างมาก

เมื่อสตรีนางนั้นเห็นหยุนชาง จึงยิ้มให้เล็กน้อย. รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายของประชาชนคนธรรมดา “นายหญิงนั่งลงเถิด หม่อมฉันจะเปลี่ยนยาให้แม่นางผู้นี้ ” เมื่อพูดจบ พลางก้มหัวให้เล็กน้อย พร้อมทายาลงบนแผลอย่างระมัดระวัง

หยุนชางพยักหน้าลง พร้อมนั่งลงอยู่ข้าง ๆ เตียง สายตามองไปที่ใบหน้าของเฉียนยินเป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับไปไหน

เพียงชั่วครู่ สตรีผู้นั้นก็ได้เปลี่ยนยาจนเสร็จเรียบร้อย พลางลอบมองปฏิกิริยาของหยุนชาง พร้อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยว่า “หม่อมฉันได้ยินจากคุณชายเล่าให้ฟังแล้วว่า นายหญิงเป็นเจ้านายของแม่นางท่านนี้หรือ ช่างเป็นนายหญิงที่ใส่ใจดูแลแม่นางผู้นี้เหลือเกิน”

หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันชะงักไปชั่วครู่ นางรู้มาว่าในตระกูลใหญ่หลาย ๆ ตระกูลมักจะทำการเฆี่ยนตีสาวใช้ตามใจชอบ นางพลันจ้องมองไปยังเฉียนยิน หยินชางจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้ากับนางล้วนแต่โตขึ้นมาพร้อมกัน. แม้ว่าจะห่างกันไปหลายปี ทว่าครั้งนี้ เพื่อที่จะช่วยชีวิตข้านางถึงได้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เป็นความผิดของข้าเอง. หากข้าฉุกคิดให้ละเอียดถีถ้วนมากกว่านี้ละก็ หากข้าใจเย็นสักนิด เรื่องราวเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น ”

สตรีนางนั้นพลันรีบร้อนพูดปลอบใจขึ้นมาว่า “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ. ที่พูดถึงเรื่องราวที่นายหญิงเศร้าเสียใจขึ้นมา”

หยุนชางพลันส่ายหน้าไปมา พลางนั่งอยู่ภายในห้องอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยกลับไปยังห้องของตนเอง

ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจไปพักฟื้นที่เมืองหลีแล้ว. ทว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอหลังจากเฉียนยินฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ถึงจะวางแผนขั้นต่อไป เฉียนยินยังมิได้ฟื้นขึ้นมาจึงมิสามารถเคลื่อนย้ายนางไปไหนได้

ตอนนี้อยู่ที่ตำบลฉีหลานมาได้สามวันแล้ว หยุนชางกำลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์เงาที่พูดถึงสถานการณ์ในตำบลฉีหลานว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาสอบถามตามบ้านในตำบลฉีหลานว่า มีใครเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในเมืองนี้บ้าง แต่เดิมผู้คนในตำบลฉีหลานล้วนแต่มีไม่เยอะอยู่แล้ว ดังนั้นลักษณะการกระทำของกลุ่มคนน่ากลัวกลุ่มนี้ จึงเป็นที่หน้าจับตามองเป็นอย่างมาก

“ร้านยาของพวกเราตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก สองวันมานี้ ท่านพ่อเปิดปิดร้านตรงเวลาทุกวัน อีกทั้งยังตรวจคนไข้ตามปกติอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสมุนไพรของพวกเราส่วนใหญ่ก็ไปเก็บจากบนภูเขา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกท่านได้เพคะ”

สตรีร้านยาที่คอยดูแลเฉียนยินอยู่นั้นชื่อหลานซิน. เป็นแม่นางที่มีความรู้เป็นอย่างมาก หากแต่แม่นางผู้นี้เสมือนว่าจะมีความประทับใจต่อหลิ่วหยินเฟิง เมื่อตอนที่ยืนอยู่ข้างตะแกรงตากสมุนไพรในลานบ้าน ก็คอยลอบมองลงไปดูหลิ่วหยินเฟิงที่กำลังยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนอนอ่านตำราอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ด้วย พร้อมแอบมองด้วยใบหน้าแดงก่ำ

เสมือนว่าหลิ่วหยินเฟิงจะไม่รู้เรื่องนี้กระมัง เมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงค่อย ๆ ยิ้มออกมา พร้อมกระซิบตอบว่า “ต้องขอบคุณแม่นางหลานซินแล้ว”

หยุนชางที่ยืนอยู่ในห้อง. ในขณะที่กำลังเปิดหน้าต่างออกไปนั้น พลันนึกถึงเรื่องราวในวันที่หลิ่วหยินเฟิงสารภาพรักกับนางขึ้นมา สายตานางมองไปยังหลิ่วหยินเฟิง แม้ว่าจะอยู่ในตำบลเล็ก ๆ แห่งนี้ ทว่าชายผู้นี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากอิสตรีได้ง่ายดายเสีย ชายผู้นี้ที่ถูกเรียกว่ากุนซือจิ้งจอก เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การรบและการจัดทัพ กลับมาบอกว่าชอบนางงั้นหรือ ?

หยุนชางพลันขมวดคิ้วลง พูดตามจริง ในเรื่องด้านอารมณ์ของนางมีความพัฒนาการมากขึ้นเป็นอย่างมาก จากชาติที่แล้ว นางถูกฮองเฮาและหัวจิ้งควบคุมให้ชอบโม่จิ้งหราน. ในเวลานั้นที่นางชอบโม่จิ้งหรานเป็นเพราะความหล่อเหลาและการพูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจของเขา เมื่อนางครุ่นคิดดูแล้ว เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะนาง ที่เติบโตมาจากส่วนลึกของวังหลัง จึงทำให้พบเจอผู้ชายน้อยมาก จึงมิรู้ว่าแท้จริงแล้ว ความรักคืออะไรกันแน่

ในชาตินี้ นางจึงมิได้ครุ่นคิดถึงความรักมากนัก หากแต่โดนลั่วชิงเหยียนดึงดูดความสนใจเข้าให้ และต้องแต่งให้เขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครั้งที่แต่งงานกันช่วงแรกเริ่มนั้น นางมิรู้จริง ๆ ว่าควรจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร จึงปฏิบัติตนให้ความเคารพเขาในฐานะผู้อาวุโส ในฐานะคนสนิทรวมถึงมิตรสหายด้วย เป็นการอยู่ด้วยกันโดยที่มิได้สนิทสนมกันมาก ทว่า ต่อมาเมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น  เสมือนว่าค่อย ๆคุ้นชินกับการอยู่ด้วยกันไปเสียแล้ว หลังจากนั้นความรักจึงค่อยๆ สลักเข้าไปภายในก้นบึ้งของจิตใจของนาง

ทว่า สำหรับหลิ่วหยินเฟิงนั้น ในคราที่พบกันครั้งแรก พวกเขากลับพบกันในฐานะศัตรู หยุนชางได้ให้คนไปสืบหาข้อมูลของเขารวมทั้งตรวจสอบภูมิหลังของเขาด้วย จึงถือว่าพอจะคุ้นเคยกับเขาอยู่บ้าง ทว่า เขากลับเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น อีกทั้งเขายังทำให้ลั่วชิงเหยียนเกือบไม่มีชีวิตรอด นั่นจึงทำให้ภายในใจของนางมิค่อยชอบหลิ่วหยินเฟิงมากนัก หลังจากนั้นเมื่อได้เจอกันที่พระราชวังอีกครั้ง เขาก็ได้ช่วยเหลือนางครั้งหนึ่ง นางรู้สึกซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย แต่นั้นมาจึงค่อย ๆ สนิทกันมาขึ้นเรื่อย ๆ จึงรู้สึกว่าหลิ่วหยินเฟิงผู้นี้สามารถนับเป็นสหายได้ แต่ว่า จากข้อมูลที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อนั้น จึงทำให้ลั่วชิงเหยียนมิค่อยชอบที่นางไปเข้าใกล้หลิ่วหยินเฟิงมากนัก หยุนชางจึงมิได้คิดถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าก็ค่อย ๆ รักษาระยะห่างกับเขา

หลังจากถึงแคว้นเซี่ยได้ไม่นานนั้น เนื่องจากคนในแคว้นเซี่ยที่รู้จักมีนิสัยน่ารัก หลิ่วหยินเฟิงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น จึงเกิดความไว้ใจบ้างเล็กน้อย หากแต่นางเข้าใจได้ว่า ตนเองกับหลิ่วหยินเฟิงความสัมพันธ์ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้แน่

หากแต่ คำสารภาพของหลิ่วหยินเฟิงก็ทำให้นางรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เกรงว่าหากปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้งไป. อาจจะเป็นการหักหน้าหลิ่วหยินเฟิงได้ แต่ทว่า หากมิได้ปฏิเสธอะไรเลย ก็กลัวว่าจะเป็นการให้ความหวังต่อหลิ่วหยินเฟิง อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้

ภายในใจรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรดี

หยุนชางพลางถอนหายใจออกมาบาง ๆ พร้อมสติที่กลับมาครบถ้วนแล้ว จึงเดินไปยังเก้าอี้เพื่อนั่งลง พลางหยิบตำราแพทย์ขึ้นมาอ่านไปพลางพลาง

ภายในจวนนั้น หลิ่วหยินเฟิงพลันเงยหน้ามองบานหน้าต่างที่เปิดอยู่นั้น สายตาจดจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีอะไรแล้ว เขาจึงก้มหน้าอ่านตำราต่อไป

ใกล้ช่วงหัวค่ำแล้ว หยุนชางเพิ่งจะรับสำรับอาหารเย็นเสร็จ เมื่อดูตำราไปได้พักหนึ่ง กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนนั้น พลันได้ยินเสียงหลานซินวิ่งเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “นายหญิง แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้วเพคะ”

หยุนชางตกตะลึงไปชั่วครู่ เพียงครู่หนึ่งจึงจับใจความคำพูดของหลานซินได้ พลางรีบร้อนลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักของเฉียนยิน เมื่อเดินไปถึงประตูแล้วพลางหยุดฝีเท้าลง ในใจกลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เฉียนยิน. เฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้ว หากแต่ ถ้านางรู้ว่ามือของนางไม่มีแล้ว. นางจะรู้สึกอย่างไร

“นายหญิง ทำไมถึงหยุดอยู่หน้าประตูละเพคะ ? ” หลานซินที่ตามทันนั้น เมื่อเห็นหยุนชางหยุดอยู่หน้าประตู มิได้เดินเข้าไปในห้อง ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก พร้อมถามขึ้นด้วยความสงสัย

หยุนชางที่ชะงักไปชั่วครู่นั้น พลันได้ยินเสียงของเฉียนยินดังออกมา “นายท่าน ? ”

ทันใดนั้น จมูกของหยุนชางพลันรู้สึกตื้นตันขึ้นมา หากแต่ก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้อง เฉียนยินลุกขึ้นมานั่งพึงกับหัวเตียงแล้วหันหน้ามายังทิศทางของประตู หยุนชางจึงรีบเดินไปนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมมองเฉียนยิน เพียงจ้องมองเฉียนยินอยู่นาน จึงสามารถระงับความตื้นตันความอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมาได้ แล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “เจ้านอนพอแล้วใช่หรือไม่ ? แต่ก่อนเจ้าชอบบอกว่าข้าขี้เซานัก. เจ้าต่างหากที่ขี้เซากว่าข้าเป็นเท่าตัว”

เฉียนยินได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกโพลง พร้อมพูดพึมพำเบา ๆว่า “นู๋ปี๋ได้รับบาดเจ็บหรอกเพคะ นายท่านช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว นู๋ปี๋บาดเจ็บหนักขนาดนี้ยังไม่ให้นู๋ปี๋นอนพักผ่อน”

แต่เดิมหยุนชางพยายามควบคุมน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้แล้ว ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียนยินนั้น น้ำตาที่ควบคุมเอาไว้กลับรู้สึกว่ากำลังไหลออกมาเสียได้

เฉียนยินเห็นดังนั้น จึงรีบร้อนพูดปลอบหยุนชางว่า “นายท่านอย่าได้ร้องให้ไปเลย ก่อนหน้าที่จะเข้าร่วมกับองครักษ์เงามิใช่พูดแล้วหรือ ความเป็นความตายของนู๋ปี๋ล้วนแต่อยู่นอกเหนือการควบคุม อีกทั้ง องครักษ์เงานั้นสามารถปกป้องนายท่านได้จากภัยอันตรายในความมืดที่มองไม่เห็น ทว่าการที่นู๋ปี๋สามารถอยู่ในที่แจ้งเพื่อปกป้องนายท่านได้นั้น นับเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับนู๋ปี๋แล้วเพคะ หากแต่. กลัวว่าหลังจากนี้ต่อไป นู๋ปี๋อาจจะไม่สามารถดูแลนายท่านได้อีกแล้ว นายท่านได้โปรดให้นู๋ปี๋แอบอู้งานด้วยเถิด ? ทว่า อย่าได้ให้นู๋ปี๋ออกไปจากชีวิตนายท่านเลย! ”

หยุนชางได้ยินดังนั้น พลันพยักหน้ารับ “ได้. ข้าจะเลี้ยงดูเจ้า สาวใช้ของข้า ข้าสามารถเลี้ยงดูได้”

เฉียนยินได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมา รอยยิ้มยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความร่าเริง หากแต่ดวงตากลับมีความไม่แน่นอนปรากฏอยู่

หยุนชางทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว. จึงหาข้ออ้างเพื่อหลีกหนีออกมา ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าต่าง ก็มิได้หนีไปไหน เพียงหนึ่งจิบน้ำชานั้น จึงได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นในห้องดังออกมาว่า พร้อมเสียงเฉียนยินที่พูดพึมพำกับตนเองว่า “ข้าจักร้องให้เช่นนี้ไม่ได้ ร้องไม่ได้ หากพรุ่งนี้หวางเฟยเห็นดวงตาของข้าที่ปูดบวมขึ้นมา จะต้องเสียใจมากเป็นแน่ ข้าจักร้องให้ไม่ได้”

ภายในใจหยุนชางพลันสั่นเทา พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมา

เจ้าเด็กโง่เง่า. เมื่อครู่ยังทำใจแข็งปลอบข้าอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็แอบไปร้องให้เสียแล้ว เมื่อนางเช็ดน้ำตาเสร็จแล้ว หยุนชางจึงเดินอยู่ภายในใจจวนอยู่ครู่หนึ่ง พลันเห็นว่าประตูถูกเปิดออก หลิ่วหยินเฟิงที่เดินเข้ามานั้น เมื่อเห็นหยุนชางอยู่ในจวน จึงเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหยุนชางว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินมาจากหลานซินแล้วว่า แม่นางเฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้วหรือ ?”

หยุนชางพยักหน้ารับ “ฟื้นขึ้นมาแล้ว. ต้องขอบคุณคุณชายหลิ่วเป็นอย่างมาก”

“กับข้ามิต้องเกรงใจมากนักหรอก” หลิ่วหยินเฟิงพลางพูดขึ้นมาเบา ๆ พลางมองไปที่ห้องของเฉียนยิน แล้วจึงพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อแม่นางเฉียนยินฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าจักให้หลานซินคอยพูดให้กำลังใจนาง”

“เพคะ ขอบ” คำว่าคุณยังมิทันได้พูดออกมา กลับฉุกขึ้นถึงคำพูดของหลิ่วหยินเฟิงเมื่อครู่ขึ้นมาได้ จึงได้แต่เก็บคำนั้นลงไป

หลิ่วหยินเฟิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกระซิบบอกว่า ” ช่วงนี้ด้านนอก มีแต่คนเข้ามาในตำบลนี้เพื่อสอบถามถึงร่องรอยของคนแปลกหน้า ข้ากังวลว่าคงจะมาตามหาเจ้ากระมัง หากจะหลบหนีไปตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนัก ข้าจักให้คนของท่านเจ้าเมืองหลี ส่งคนมารับเจ้า เกรงว่าวันรุ่งคงจะมาถึงกระมัง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+