ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 145 หยุนชางโกรธจิ้งอ๋อง

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 145 หยุนชางโกรธจิ้งอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าฉินยีและเฉี่ยนอินจะไม่เต็มใจ แต่ว่าหยุนชางเป็นนายหญิงของตน จึงต้องกล่าวว่า " ท่านอ๋องเพคะ ท่านว่า… "

จิ้งอ๋องยิ้มเล็กน้อยและกล่าวเบา ๆ " ในเมื่อชางเอ๋อร์ไม่ต้อนรับข้าเช่นนี้ ข้าก็กลับไปก่อนจะดีกว่า แต่ว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องไปไหว้พระที่วิหารแคว้นหนิงแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นข้ายังต้องคุ้มกันจิ่นเฟยไปที่ วังเฟิ่งไหล แล้วจะได้พบชางเอ๋อร์อีกครั้งอย่างแน่นอน"

หยุนชางตกตะลึง ปากที่เพิ่งยิ้มเพราะจิ้งอ๋องกล่าวว่ากำลังจะกลับไปนั้นก็แข็งทื่อขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังข่มขู่ตน แต่ตนนั้นกลับไม่มีทางโต้ตอบจริงๆ จึงได้กัดฟันและกล่าวอย่างเย็นชาว่า "เสด็จอากล่าวราวกับว่าหม่อมฉันไล่เสด็จอากลับไปเลยเพคะ หากว่าท่านเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ ก็อยู่ต่อเถิดเพคะ" กล่าวจบนางก็เพิกเฉยต่อเขา แล้วหันหลังเข้าไปในห้องโถงชั้นใน

จิ้งอ๋องเห็นว่านางโกรธเคืองเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะขบขัน แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง เหมือนเด็กอายุ15มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แม้ว่าความสุขุมของนางจะดูดี แต่ก็ขาดความสดใสไป ภาพที่นางโกรธในตอนนี้ ค่อยดูสบายตาขึ้นมาหน่อย

เมื่อ ฉินยีและเฉี่ยนอินเห็นเช่นนี้ พวกนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึง ตนติดตามองค์หญิงมานาน ไม่เคยพบองค์หญิงเป็นเช่นนี้เลย

ฉินยีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงระลึกเมื่อตอนตนยังเด็ก ตอนนั้นจิ่นเฟนเหนียงเหนียงและฮ่องเต้ยังคงหวานชื่นอย่างมาก จิ่นเฟยเหนียงเหนียงก็มักจะโกรธเคืองฮ่องเต้เช่นนี้เหมือนกัน เมื่อเห็นกิริยาที่แตกต่างไปจากปกติของหยุนชาง นางก็รู้สึกแอบมีความสุขในใจ แม้ว่าองค์หญิงจะไม่ค่อยสนใจจิ้งอ๋องนัก แต่ทว่าในใจขององค์หญิงนั้น จิ้งอ๋องก็คงจะแตกต่างจากคนอื่นๆไปบ้าง

เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินยีก็ก้มศีรษะลงและยิ้มให้จิ้งอ๋องพร้อมกล่าว " ตอนนี้อากาศเย็นเพคะ ท่านอ๋องเข้าไปด้านในให้ร่างกายอุ่นก่อนแล้วค่อยเสด็จกลับดีหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันจะไปเตรียมชาให้ท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องเสวยชาอะไรหรือเพคะ ?"

จิ้งอ๋องเลิกคิ้วและมองไปที่ฉินยี จากนั้นก็พยักหน้า " ก็ดีเช่นกัน วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นเสียจริง เจ้าไปเตรียมชาลิ้นนกกระจอกมาแล้วกัน"

ฉินยียิ้มและตอบรับ แล้วดึงเฉี่ยนอินออกมาด้วยเช่นกัน เฉี่ยนอินเกือบจะล้มลงเพราะฉินยีลากตนไป แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าศิลปะการต่อสู้ของจิ้งอ๋องนั้นยอดเยี่ยมเช่นนี้ ท่านจะรู้สึกหนาวได้อย่างไร?

หยุนชางเข้าไปในห้องโถงชั้นใน หยิบหนังสือขึ้นมานอนอ่านบนเบาะ หลังจากอ่านไปครู่หนึ่ง ก็ยื่นมือไปบนเก้าอี้ข้างๆ ด้วยความเคยชิน แต่ไม่พบแก้วชา นางจึงผงะ และนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่ที่ตนเข้ามานั้น ดูเหมือนว่าฉินยีและเฉี่ยนอินยังไม่ได้เข้ามาเลย หยุนชางขมวดคิ้ว หรือว่าจิ้งอ๋องยังอยู่ที่ตำหนักมิยอมกลับไป? นางคิดในใจ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกตำหนัก ทันทีที่เดินออกจากตำหนักชั้นในมา นางก็พบว่ามีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หยุนชางหรี่ตาลง และเกิดความรำคาญขึ้นในใจ เหตุใดเขาจึงดื้อรั้นเช่นนี้? ตนก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนขนาดนี้ เขายังไม่กลับไปอีกหรือ?

หยุนชางเห็นว่ามีแก้วชาร้อนๆวางอยู่ข้างๆ นางได้กลิ่นหอม นั่นเป็นชาปากนกกระจอกชั้นดีที่เสด็จพ่อทรงมอบให้ตน จึงรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก และหันหลังกลับไปด้วยความโกรธเคือง และตะโกนอย่างเสียงดังว่า "ฉินยี เฉี่ยนอิน!"

ไม่นาน ฉินยีและเฉี่ยนอินก็เดินเข้ามา ฉินยีถือชาไว้ในมือหนึ่งแก้ว หยุนชางเห็นเช่นนั้นจึงทำเสียง ไม่พอใจ " ผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่นำชามาให้ข้า? ข้าคอแห้ง….."

ฉินยียิ้มเล็กน้อย "จิ้งอ๋องทรงตรัสว่า วันนี้อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย และเมื่อสักครู่นั้นท่านเดินไปมาอยู่ข้างนอกมาระยะหนึ่ง จึงรู้สึกร่างกายหนาวเย็นเล็กน้อยเพคะ ฉะนั้นจึงได้เข้ามาในตำหนักเพื่อผิงไฟ หม่อมฉันเห็นว่าท่านทรงเป็นแขก หากว่าเราไม่ต้อนรับให้ แล้วคนในตำหนักมาพบเข้า ก็อาจจะมีการนินทาองค์หญิงเกิดขึ้นเพคะ หม่อมฉันจึงได้ทูลถามจิ้งอ๋องว่าทรงอยากเสวยชาใด จิ้งอ๋องทรงโปรดชานกกระจอกเพคะ ที่ผ่านมาองค์หญิงไม่ค่อยชอบรสชาติของชานั้นเท่าไหร่ หม่อมฉันจึงได้ต้มชาให้จิ้งอ๋องก่อน แล้วจึงต้มชาที่องค์หญิงเสวยเป็นประจำให้เพคะ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันพบว่าดอกบ๊วยนั้นบานอย่างดี จึงนำเอาน้ำหิมะมาบนดอกบ๊วยมาต้มให้องค์หญิงเสวยเพคะ"

หยุนชางพยักหน้า เอื้อมมือรับชามา เป่าชา และจิบคำเล็กๆ ความหวานแผ่ขยายที่ปลายลิ้นของนาง และตามด้วยกลิ่นหอมของดอกบ๊วย หยุนชางรู้สึกถึงว่าความโกรธเคืองที่เกิดจากจิ้งอ๋องนั้นได้คลายลงเล็กน้อย

เฉี่ยนอินยิ้มและก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบเอาเครื่องหัวของหยุนชางออก หยุนชางรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมาก จึงขดตัวที่เบาะแล้วอ่านหนังสือต่อ

ฉินยีเปิดม่านและมองไปที่ตำหนักด้านนอก และพบว่าไม่มีใครอยู่ที่ตำหนักนอกแล้ว ฉินยีจึงยิ้มและกล่าวกับหยุนชางว่า " องค์หญิงเพคะ จิ้งอ๋องกลับแล้วเพคะ"

หยุนชางทำเสียงไม่พอใจ จากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด เมื่อฉินยีเห็นเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมเอามือปิดปากไว้ แล้วจึงยืนอยู่ข้างๆ

เมื่อจิ้งอ๋องจากไป ตำหนักฉินเจิ้งก็ได้รับข่าวแล้ว ใบหน้าของหัวหน้าจิ้งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม "หม่อมฉันได้ยินมาว่า เมื่อสักครู่ที่จิ้งอ๋องเสด็จ ดูเหมือนเขาจะมีการถกเถียงกับองค์หญิงเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทรงกล่าวกระไรไปทำให้องค์หญิงโกรธเคืองพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าองค์หญิงจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังให้นางกำนัลต้อนรับท่านอ๋อง หม่อมฉันดูแล้ว จิ้งอ๋องสามารถควบคุมองค์หญิงได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งองค์หญิงทรงโกรธเคืองมาเป็นเวลานาน แต่ท่านจิ้งอ๋องมิได้แสดงท่าทีรำคาญออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ เอาแต่ตามใจนางอย่างยิ้มแย้ม หม่อมฉันมองดูท่าทางขององครักษ์ที่มาส่งข่าว เขาก็คงตกตะลึงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เอาแต่กล่าวกับหม่อมฉันว่า เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจิ้งอ๋องยิ้มพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ จึงได้โล่งอกขึ้นมา พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า " วันนั้นเจิ้นใจร้อนเกินไป จึงเชื่อฟังคำของผู้นั้น และพระราชทานสมรสให้กับพวกเขาสองคน แต่เมื่อมาคิดดูดีๆแล้ว กลับรู้สึกว่าไม่ควรทำเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องครั้งสำคัญในชีวิตของชางเอ๋อร์ ควรถามความคิดเห็นของชางเอ๋อร์ แต่ว่าพระราชโองการนี้ได้ตรัสออกไปแล้ว คงมิสามารถถอนกลับได้ วันจึงได้ขอให้จิ้งอ๋องไปส่งชางเอ่อร์กลับตำหนักไงล่ะ เมื่อฟังเจ้าพูดเช่นนี้ เจิ้นก็โล่งอกอย่างมาก แม้ว่าชางเอ๋อร์จะไม่ได้อยู่ใกล้เจิ้นมานานนัก แต่นางเป็นพระราชธิดาที่ข้ารู้สึกผิดอยู่ในใจมาตลอด หากนางมีความสุข เจิ้งก็วางใจได้"

ฮองเฮายังไม่ทันได้รับตราประทับฮองเฮากลับไป ก็ถูกกักบริเวณเสียแล้ว ในวังนี้ก็เงียบลงอย่างมาก วันที่จะไปวิหารแคว้นหนิงเพื่อถวายเครื่องหอมกำหนดในวันที่สิบเอ็ดของเดือนหนึ่งปฏิทินจันทรคติ หยุนชางแจ้งเจิ้งมามา ให้นางเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แม้ว่าในวังเฟิ่งไหลจะมีของอยู่มากมาย แต่ก็คงไม่สะดวกเหมือนการใช้สิ่งของที่เราใช้อยู่เป็นประจำ

เนื่องจากฮองเฮาถูกกักบริเวณ หมิงไท่เฟยก็เริ่มรับมือดูแลวังหลังต่อ ฉะนั้นนางสนมที่ไปขอพรในคราวนี้จึงมีไม่มากนัก มีเพียงหกเจ็ดคนเท่านั้น

เพียงแต่ว่านางสนมออกจากวังนั้นมิใช่เรื่องเล็ก ๆ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆก็นำไปอยู่หลายเกวียน เช้าวันที่ 11 ทุกคนก็ออกเดินทางอย่างมีพลัง

เมื่อออกเดินทาง พระราชกฤษฎีกาศักดิ์สิทธิ์ก็ได้สั่งมา โดยกล่าวว่าร่างกายของจิ่นเฟยนั้นอ่อนแรง จึงได้ย้ายไปพักฟื้นที่วังเฟิ่งไหล เพื่อรอวันกำเนิดบุตร น้อยมาที่นางสนมในวังจะได้ไปฝากครรภ์ที่วังเฟิ่งไหล แต่ว่าฝ่าบาททรงออกพระราชกฤษฎีกา อีกทั้งคนเหล่านี้ได้ออกเดินทางแล้ว จึงมิได้มีใครกล้าขัดแย้ง เพียงแต่ว่าพระราชกฤษฎีกานี้ทำให้เกิดเรื่องไม่น้อยขึ้นในวังหลัง

ทั้งๆที่ข่าวที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ กล่าวว่าจิ่นเฟยนั้นแท้งไปแล้ว แต่วันนี้กลับได้ข่าวว่าแค่ร่างกายอ่อนแรง ผู้หญิงที่อยู่ในวังหลังนั้นมิได้โง่เขลา หากลองคิดดูดีๆ ก็จะเข้าใจเหตุผล คงเป็นเพราะฝ่าบาททรงจงใจกล่าวเช่นนี้ปิดบังฮองเฮา เพื่อรักษาเด็กในครรภ์ของจิ่นเฟยไว้

แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังสงสัยในตัวฮองเฮาเช่นนี้ เกรงว่าต่อไปฮองเฮาคงจะใช้ชีวิตลำบากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางสนมหลายคนที่ตั้งครรภ์ในก่อนหน้าแต่ก็แท้งไปโดยไม่ทันระวัง ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดขึ้นมา ต่างก็รู้สึกว่าการแท้งของตนนั้นมีเงื่อนงำ บางทีอาจเป็นเพราะฮองเฮาก็เป็นได้ จึงได้รู้สึกเกลียดชังฮองเฮาขึ้นมาในใจ

เมื่อฮองเฮาทราบว่าเด็กในครรภ์ของจิ่นเฟยไม่เป็นอันใด มันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่เหล่าหยุนชางก็กลับมาจากวิหารแคว้นหนิงแล้ว จิ่นเฟยก็ไปถึงวังเฟิ่งไหลแล้วเช่นกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด