ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 124 จิ้งอ๋องขอให้ฮ่องเต้พระราชทานงานแต่ง

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 124 จิ้งอ๋องขอให้ฮ่องเต้พระราชทานงานแต่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จิ้งอ๋องก้มศีรษะลงและไม่เห็นสีหน้าของเขา เขาเพียงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า "ฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งต้องรายงานฝ่าบาท กระหม่อมเคยเห็นองค์หญิงหัวจิ้งอยู่ในสนามรบ ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์ชายสามแห่งเย้หลาง…เป็นอย่างมาก… "

ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้มาจากในจดหมายของชางเจียชิงซูมาก่อนแล้ว แม้ว่าในใจเขาจะโกรธมาก แต่อย่างไรหัวจิ้งก็ยังคงเป็นพระธิดาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเปิดเผยเรื่องเช่นนี้ออกไปได้ นอกจากนี้เขายังมีข้อสงสัยบางประการเกี่ยวกับสิ่งที่ชางเจียชิงซูอ้างถึง ตอนนี้เมื่อได้ยินจิ้งอ๋องพูดเช่นนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ

ฮ่องเต้ในใจทรงพิโรธมาก "นังลูกไร้ยางอาย! กล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้! ถึงแม้ว่าราชบุตรเขยจะตาย นางก็ไม่สมควรทำเช่นนี้!"

"ท่านราชบุตรเขยถูกกระหม่อมช่วยออกมาแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ท่านราชบุตรเขยและจ้าวฮูหยินก็รู้แล้ว พวกเขาเพียงขอให้ฝ่าบาทโปรดให้พวกเขาสองแม่ลูกอยู่เฝ้าชายแดนและไม่เต็มใจที่จะกลับมาที่เมืองหลวงอีก…" จิ้งอ๋องก้มศีรษะกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น

เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนั้น พระองค์ก็ยิ่งโกรธ "หัวจิ้งช่างน่าละอายเกินไปแล้ว!" แต่เขากลับหยุดพูดและเงียบไปอยู่นาน จิ้งอ๋องก็คุกเข่าเงียบๆ อยู่นานก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ "ช่างเถอะ เป็นเจิ้นเองที่ผิดต่อสองแม่ลูกนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจิ้นก็จะทำตามความประสงค์ของพวกเขา พรุ่งนี้ให้ออกราชโองการให้หัวจิ้งและจ้าวอิงเจี๋ยหย่ากัน" หลังจากพูดแล้วเขาก็ก้มศีรษะลงมองจิ้งอ๋อง "คืนนี้จิ้งอ๋องบุกเข้าวังยามดึกแล้วยังไปตำหนักชิงซินก่อนจะมาหาเจิ้นที่นี่ก็เพื่อมาบอกเจิ้นเรื่องนี้หรือ?"

จิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้และพูดเสียงดังกังวานว่า "เสด็จพี่ ชางเจียชิงซูดูเหมือนจะไม่รู้ว่าองค์หญิงหัวจิ้งแต่งงานแล้วจึงได้เขียนจดหมายมาสู่ขอ กระหม่อมเกรงว่าหากเขารู้เรื่องนี้ เขาจะต้องขอให้องค์หญิงหยุนชางแต่งงานไปที่แคว้นเย้หลางแทนอย่างแน่นอน พูดตามตรง กระหม่อมกับหยุนชางชอบพอกันมานานแล้วดังนั้นจึงได้ลอบบุกเข้าไป ตอนนี้กระหม่อมอยากขอร้องฝ่าบาทให้พระราชทานงานแต่งของหม่อมฉันกับองค์หญิงหยุนชาง…"

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจอีกครั้ง แม้เขาคาดเดาในใจไว้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ้งอ๋องพูด เขาก็ยังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก น้องชายบุญธรรมผู้นี้เขาเองก็รู้ดีว่ามีความทะเยอทะยานไม่น้อยซ้ำยังเป็นผู้ไร้ความรู้สึก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาสนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง และด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงไม่สามารถกุมจุดอ่อนของเขาเอาไว้ได้จึงไม่เคยกล้าให้เขาอยู่ในเมืองหลวง แม้แต่อำนาจทหารก็ไม่กล้ามอบให้เขาทั้งหมด

แต่วันนี้เขารีบวิ่งกลับมาจากชายแดนและบุกเข้ามาในวังยามวิกาลเพียงเพื่อขอแต่งงานกับหยุนชาง?

"จิ้งอ๋อง เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าชางเอ๋อร์เป็นหลานสาวของเจ้า นางเรียกเจ้าว่าเสด็จอา…" ฮ่องเต้ยังคงจ้องมองจิ้งอ๋อง แววตาของเขายากจะบอกว่าโกรธหรือยินดี

จิ้งอ๋องยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่กลับแฝงไปด้วยแววขมขื่น "กระหม่อมจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ชีวิตคนเรามักมีเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ นอกจากนี้เสด็จพี่ก็รู้ว่ากระหม่อมกับหยุนชางไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด กระหม่อมจำได้ว่าเสด็จพี่เคยสัญญากับกระหม่อมว่าหากวันใดกระหม่อมมีหญิงสาวที่ต้องใจ เสด็จพี่จะพระราชทานงานแต่งให้กระหม่อม ชางเอ๋อร์เป็นลูกสาวของจิ่นเฟย เสด็จพี่และจิ่นเฟยก็รักกันมาโดยตลอดต้องไม่ยอมให้หยุนชางแต่งงานไปยังแคว้นเย้หลางแน่ หากองค์หญิงหัวจิ้งและท่านราชบุตรเขยหย่ากันแล้วแต่กระหม่อมและองค์หญิงหยุนชางก็หมั้นกันแล้ว เดิมทีชางเจียชิงซูก็ชมชอบองค์หญิงหัวจิ้งอยู่แล้ว เช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ?"

ฮ่องเต้เดินไปมาในตำหนักอยู่นานก่อนจะพูดว่า "แต่หยุนชางกล่าวว่าเจ้าอาวาสอู๋น่าทำนายให้นางไว้ว่าชางเอ๋อร์ไม่ควรออกเรือนก่อนอายุครบสิบแปดปี"

จิ้งอ๋องยิ้มบางๆ ราวกับว่าเขากำลังจะชนะ "กระหม่อมยินดีที่จะรอ ฝ่าบาทเพียงออกราชโองการพระราชทานงานสมรสเท่านั้น กระหม่อมและชางเอ๋อร์ค่อยแต่งงานกันในอีกสามปีข้างหน้าก็ได้"

"เรื่องนี้ยังต้องดูท่าทีของชางเอ๋อร์ด้วย…" ฮ่องเต้คงลังเลเล็กน้อย ในใจสงสัยว่าเหตุใดจิ้งอ๋องจึงได้รีบร้อนเช่นนี้

จิ้งอ๋องรีบยิ้มแล้วกล่าวว่า "เสด็จพี่ ชางเอ๋อร์เป็นผู้หญิง เดิมทีก็ขี้อาย กระหม่อมจำได้ว่าก่อนที่กระหม่อมจะไปที่ชายแดน ในงานเลี้ยงในวังเคยเล่นเพลงหงส์วอนรักกับชางเอ๋อร์ ตอนนั้นกระหม่อมก็เคยได้กล่าวไว้แล้วว่าบทเพลงนี้ต้องเป็นนางเท่านั้น นางก็ไม่ได้ขัดอะไรทั้งยังร่วมบรรเลงไปกับกระหม่อม ความในใจนี้ยังไม่ชัดอีกหรือ?"

จิ้งอ๋องเห็นว่าฮ่องเต้ไม่กล่าวอะไรก็โขกศีรษะคำนับ "เสด็จพี่ ในยี่สิบกว่าปีมานี้ตั้งแต่กระหม่อมได้พบกับชางเอ๋อร์กระหม่อมก็รู้สึกว่าชีวิตมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อย เสด็จพี่ก็ทรงยำเกรงอำนาจทหารในมือของกระหม่อม กระหม่อมก็รู้มาตลอด เสด็จพี่ กระหม่อมไม่เคยคิดแย่งชิงอะไรกับท่านเลย หากทรงรับปากให้กระหม่อมแต่งงานกับหยุนชาง กระหม่อมก็เต็มใจคืนตราอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งนี้แก่เสด็จพี่…"

ตราอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่ง… ดวงตาของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นเศร้าขึ้นมา ยามที่ตนเพิ่งขึ้นครองราชย์ เสด็จพ่อก็แบ่งตราอาญาสิทธิ์ออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งมอบให้จิ้งอ๋อง อีกครึ่งหนึ่งมอบให้ตนเอง เขาจำได้ว่าตอนแรกเขาอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เดิมทีจิ้งอ๋องก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรมเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรจึงได้ตราอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งไป? ดังนั้นแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจิ้งอ๋องมาก่อน แต่เขาก็มีปมอยู่ในใจ เมื่อตอนนี้จิ้งอ๋องบอกว่าเขายินดีที่จะคืนตราอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่งให้? เช่นนั้นจิ้งอ๋องก็จะไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป…

ความคิดต่างๆ มากมายแวบเข้ามาในสมองของฮ่องเต้ เป็นเวลานานก่อนที่เขาจะกล่าวว่า "ตราอาญาสิทธิ์นั้น ในเมื่อเสด็จพ่อมอบให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้เถิด แต่หากเจ้าและหยุนชางชอบพอกันจริงๆ ข้าอนุญาตก็เพียงพอแล้ว…"

ดวงตาของจิ้งอ๋องฉายแววปีติยินดีออกมาบดบังความหนักใจที่มีก่อนหน้านั้นไปสิ้น เขารีบพูดว่า "ขอขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ กระหม่อมพูดจริงทำจริง ในวันที่แต่งงานกับชางเอ๋อร์ กระหม่อมจะถวายคืนตราอาญาสิทธิ์ให้อย่างแน่นอน…" เขาชะงักไปและพูดอีกครั้งว่า "เสด็จพี่ พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ฝ่าบาทจะช่วยประกาศออกมาที่งานเลี้ยงได้หรือไม่ กระหม่อมกลัวว่ายิ่งเวลาผ่านไปนาน อุปสรรคก็จะยิ่งมีมาก…"

ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนั้นก็ตะลึงไปแล้วก็หัวเราะออกมาเสียง "เจิ้นไม่เคยเห็นจิ้งอ๋องตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว ยามปกติเห็นเจ้าเย็นชา นึกว่าเจ้าจะไร้อารมณ์เสียแล้ว เจิ้นไม่รู้เลยว่าชางเอ๋อร์ของเจิ้นจะเก่งขนาดนี้! ฮ่าๆๆ!"

พระพักตร์ของจิ้งอ๋องแดงขึ้น แต่เขาก็ยังพูดอย่างใจเย็นว่า "องค์หญิงหยุนชางอายุครบเกณฑ์แล้ว ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงนี้มีกี่คนที่หมายปองนางอยู่ กระหม่อมต้องชิงลงมือก่อนจึงได้เปรียบ…"

"เจิ้นไม่รู้เลยว่าเจ้ากับหยุนชางใกล้ชิดกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ…" แม้ว่าฮ่องเต้จะตกปากรับคำจิ้งอ๋องแล้ว แต่ในใจของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย

จิ้งอ๋องยิ้มและกล่าวว่า "จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่กระหม่อมกลับมาที่วัง เสด็จพี่ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับกระหม่อม กระหม่อมดื่มมากเกินไปจึงออกไปดึงสติกลับมา แต่กลับได้พบกับองค์หญิงหยุนชาง…"

ในใจจิ้งอ๋องได้คิดแผนไว้แล้ว สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนสักนิดยามที่เล่าเรื่องแต่ง ฟังดูไร้ที่ติ เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ฮ่องเต้จึงให้จิ้งอ๋องพักอยู่ในวัง สั่งให้ขันทีเจิ้งไปอุ่นเหล้ามาและพี่น้องทั้งสองก็คุยกันทั้งคืน

เมื่อหยุนชางตื่นมาในตอนเช้า นางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ฉินยีเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำ เมื่อเห็นว่าหยุนชางลุกขึ้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นเฉี่ยนอินปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง นางรู้สึกแปลกๆจึงถามว่า "องค์หญิงตื่นแล้วหรือเพคะ เฉี่ยนอินไปไหนเสียแล้วล่ะ?"

หยุนชางจึงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานได้และรีบเดินไปที่ห้องเล็กก็เห็นว่าเฉี่ยนอินยังหลับอยู่ นางก็ตะโกนเรียก "เฉี่ยนอิน เฉี่ยนอิน…"

เฉี่ยนอินลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน เมื่อเห็นหยุนชางอยู่ตรงหน้านางก็ตกใจ หรือว่านางนอนตื่นสาย? แต่ก็กลับรู้คลับคล้ายคลับคลาว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบลุกขึ้นขึ้น "องค์หญิง เกิดอะไรขึ้น? หม่อมฉันไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่าองค์หญิงทรงตื่นบรรทมตอนไหน… "

ฉินยีก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ แต่เมื่อหันกลับไปเห็นหมอนของหยุนชางดูเหมือนจะมีเศษผ้าเปื้อนเลือดอยู่และนางก็อุทานว่า "เลือด… องค์หญิง… "

ใบหน้าของเฉี่ยนอินซีดลงทันที "องค์หญิง บาดเจ็บหรือเพคะ? หรือว่ามีคนวางยาหม่อมฉัน?"

หยุนชางพยักหน้า "เจ้าถูกวางยาสลบ กลางดึกเมื่อคืนจิ้งอ๋องเสด็จมา…"

"จิ้งอ๋อง!" สาวใช้ทั้งสองตกใจและรีบเดินไปหาหยุนชาง "จิ้งอ๋องอยู่ที่ชายแดนไม่ใช่เหรอ? จู่ๆ เขาจะบุกเข้ามาในห้องนอนขององค์หญิงกลางดึกได้อย่างไร? แล้วเลือดนี่… หรือว่าจิ้งอ๋องทำร้ายองค์หญิง?"

หยุนชางส่ายหัว "ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เลือดของข้า เป็นเลือดเป็นของจิ้งอ๋อง เมื่อวานข้าตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างเตียง ข้าจึงหยิบกริชขึ้นมาแทง ทำให้จิ้งอ๋องบาดเจ็บ"

เฉี่ยนอินรีบคุกเข่าลงกับพื้น "หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันประมาทเกินไป องค์หญิงโปรดลงโทษหม่อมฉันเถอะเพคะ"

หยุนชางถอนหายใจ "เป็นข้าที่เลินเล่อเอง ข้าคิดว่าเพียงมีเจ้าข้างกายก็คงเป็นไร แต่ข้าคิดไม่ถึงว่ากำลังคนของตำหนักชิงซินเพียงสามารถป้องกันเหล่าสนมในวังหลังที่ไร้ฝีมือเหล่านั้นเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถป้องกันยอดฝีมืออย่างจิ้งอ๋องได้"

เฉี่ยนอินก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร หยุนชางกล่าวเสียงเบา "เจ้าจัดการหน่อย ส่งคนสองสามคนมาคุ้มครองความปลอดภัยของตำหนักชิงซินอย่างลับๆ เสีย"

เฉี่ยนอินพยักหน้า ในขณะที่หยุนชางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงฉินยีกล่าวว่า "องค์หญิงแต่งตัวก่อนเถอะเพคะ ไม่มีเวลาแล้ว อีกเดี๋ยวยังต้องไปถวายพระพรหมิงไท่เฟยที่ตำหนักฉางชุน

หยุนชางพยักหน้า หันหลังเดินกลับไปแต่งตัว แต่ในใจกลับรู้สึกไม่มั่นคงนัก "ทำไมข้าจึงรู้สึกว่าวันนี้จะเกิดเรื่องขึ้น…"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด