ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 152 จุดประสงค์ของจิ้งอ๋อง

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 152 จุดประสงค์ของจิ้งอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

"หยุดนะ ข้าเพียงสกัดจุดของนางไว้เพียงสิบห้านาทีเท่านั้น ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรแล้ว"

หยุนชางรู้ว่าจิ้งอ๋องจะไม่หลอกนาง ดังนั้นจึงโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจของนางก็ยังโกรธอยู่ "เสด็จอาทำอะไรเพคะ?"

จิ้งอ๋องแค่นเสียงอย่างเย็นชา "ข้าทำอะไรหรือ? เจ้าไม่ดูตนเองเลยหรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้ากำชับเจ้าเป็นพิเศษแล้วว่าระยะนี้อย่าออกจากวังเพื่อที่ชางเจียชิงซูจะได้ไม่สนใจเจ้า เจ้าตัวดี เจ้ากลับไม่เพียงออกจากวัง แต่ยังออกมาในยามวิกาลแล้วยังเอาเนื้อไปส่งเข้าปากเสือ หมอบอยู่บนหลังคาเพื่อดูฉากสกปรกเหล่านั้น เจ้าไม่กลัวว่าจะสกปรกไปด้วยหรืออย่างไร?"

เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจัดและหัวเราะออกมา "สกปรกหรือ? สิ่งที่สกปรกกว่านี้ข้าก็เคยเห็นมาแล้ว หัวจิ้งออกจากคุกแล้ว ชางเจียชิงซูย่อมไปหานางแน่ ข้าจะปล่อยโอกาสล้ำค่านี้หลุดมือไปได้อย่างไร? นอกจากนี้ เสด็จอา ท่านต้องเข้าใจว่าเรื่องของข้าข้ามีแผนการไว้แล้ว ไม่รบกวนให้เสด็จอากังวล"

จิ้งอ๋องตบโต๊ะเสียงดัง "เจ้ามีแผนของเจ้า หากเจ้ามีแผนก็คงไม่ส่งตัวเองไปหาชางเจียชิงซูอย่างโง่เขลาหรอก ข้ารบกับเขามาหลายครั้งแล้ว เขามีความสามารถแค่ไหนข้าจะไม่รู้หรือ? ข้าคุมเจ้าไม่ได้? หากนับตามอาวุโส ข้าก็เป็นอาของเจ้า หากพูดถึงความสัมพันธ์ ข้าก็เป็นคู่หมั้นของเจ้า เช่นนี้แล้วข้ายังยุ่งไม่ได้?"

หยุนชางกระตุกยิ้ม "เหตุผลที่เสด็จอาไปขอให้เสด็จพ่อออกราชโองการเช่นนี้มาคืออะไรหม่อมฉันไม่รู้ แต่อย่างน้อยจุดประสงค์ของท่านไม่มีทางที่จะเรียบง่ายแน่ ในเมื่อหม่อมฉันและเสด็จอาต่างก็มีจุดประสงค์คนละอย่าง นี่ก็เป็นแค่การร่วมมือเท่านั้น เสด็จอาไม่ต้องกังวลเรื่องของข้าจะดีกว่า"

จิ้งอ๋องเห็นว่านางยังดื้อดึงจึงถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเขาก็ได้ยินรายงานจากลูกน้อง ใจของเขาก็กังวลขึ้นมาทันทีและอยากจะจับนางกลับอย่างต่อว่า เขาทำเช่นนี้แล้วแต่ดูเหมือนนางจะไม่รับน้ำใจของเขาเลย ใช่ เขามีจุดประสงค์ของตัวเองในการแต่งงานครั้งนี้ แต่ความห่วงใยที่เขามีต่อนางในใจของเขานั้นก็ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เขาแค่ไม่อยากยอมรับ แต่ยามนี้เขาพบว่าความห่วงใยของเขามีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

จิ้งอ๋องเงียบไปครู่หนึ่งจึงสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาเดินไปด้านข้างแล้วนั่งลง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า "ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นคืนนี้เรามาคุยกันดีๆเถอะ"

หยุนชางพบว่าจิ้งอ๋องสีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว อารมณ์ก็ดูสงบลงมาก นางจึงนั่งลง แต่สีหน้าของนางก็ยังคงไม่ค่อยดีนัก เพียงพูดเสียงเบา "เสด็จอาอยากจะคุยอะไรกับหม่อมฉันหรือ?"

"เจ้าคิดว่าทุกสิ่งที่ข้าทำกับเจ้าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงละครหรือ? รวมถึงตอนที่ข้าอยู่ที่ชายแดน? และรวมถึงการแต่งงานนี้ด้วย… " จิ้งอ๋องแอบหมุนแหวนหยกในมือของเขาอย่างไม่รีบร้อน

หยุนชางยิ้ม "หรือว่าไม่ใช่?"

จิ้งอ๋องไม่รู้สึกโกรธแล้ว ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะคุยกับนางดีๆ เขาก็ต้องพูดทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจน "ใช่ ข้าไปหาเสด็จพี่เพื่อขอให้เราได้แต่งงานกันนั้นมีจุดประสงค์อย่างแท้จริง ในเมื่อเจ้าอยากรู้ว่าข้าคิดจะทำอะไร เช่นนั้นคืนนี้ข้าก็จะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของการขอแต่งงานครั้งนี้ก็คือข้าต้องการกลับเมืองหลวง ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยเดาได้ว่าข้ามีความทะเยอทะยานต่อตำแหน่งนั้น ข้าไม่ได้ปิดบังความทะเยอทะยานของข้า เกรงว่าแม้แต่เสด็จพ่อของเจ้าก็คงรับรู้ได้บ้าง แต่เจ้าก็รู้ว่าเสด็จพ่อของเจ้าเกรงกลัวข้า หนึ่งเป็นเพราะความสามารถทางการทหารของข้าและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะในมือของข้ามีตราอาญาสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามอีกด้านเขาก็ต้องใช้ข้าเป็นกำลังสำคัญ เพราะหากอำนาจตกไปอยู่ในมือของคนอื่น หากไม่มีข้าไว้คานอำนาจ เกรงว่าตระกูลหลี่ก็คงจะได้พลิกฟ้าไปแล้ว"

หยุนชางคิดว่าจิ้งอ๋องจะแต่งเรื่องบอกนางไปอย่างส่งๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ ในใจจึงแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นางขมวดคิ้วและสีหน้าก็กลับจริงจังขึ้นด้วยเช่นกัน

"เพราะเสด็จพ่อของเจ้ากลัว เกือบสิบปีข้าจึงได้กลับเมืองหลวงมาสักครั้งหนึ่ง ถึงแม้ข้าจะวางกำลังในเมืองหลวงไว้ได้ดีเพียงใด หากข้าไม่อยู่ ทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่การเสียแรงเปล่าเท่านั้น"

หยุนชางก็เป็นคนฉลาด ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ก็ย่อมเข้าใจเจตนาของจิ้งอ๋อง "ดังนั้นท่านจึงไปขอให้เสด็จพ่อประทานพระราชโองการสมรสให้? เพื่อให้ท่านได้อยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้สะดวก?"

จิ้งอ๋องพยักหน้ายอมรับ

หยุนชางกัดริมฝีปาก "แต่เสด็จพ่อก็ต้องรู้ทันแผนของท่านแน่ ในเมื่อเขาเกรงกลัวท่านแล้วเขาจะยอมได้อย่างไร?"

จิ้งอ๋องกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า "ช่วงนี้เจ้าอยู่ในวังเกรงว่าคงจะรู้แล้วว่าอำนาจในราชสำนักของอัครมหาเสนาบดีหลี่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากไม่โค่นเขาก็ไม่อาจโค่นฮองเฮาลงได้ ตระกูลหลี่จะยังสามารถหยั่งรากลึกลงไปขึ้นเรื่อยๆ เสด็จพ่อของเจ้าจึงต้องยำเกรงตระกูลหลี่เช่นกัน เขาจึงต้องการให้ข้ามาถ่วงดุลอำนาจ ส่วนเหตุผลที่สองเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ข้ารับปากเขาไปว่าในวันแต่งงานของเรา ข้าจะมอบตราอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในมือข้าให้แก่เขา"

หยุนชางตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ตราอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง?" จิ้งอ๋องให้สัญญาเช่นนั้นไปจริงๆหรือ มิน่าเสด็จพ่อจึงยอมตกปากรับคำอย่างง่ายดาย "หากท่านเจ้าไม่มีตราอาญาสิทธิ์นั้น หากวันใดกำจัดตระกูลหลี่ได้แล้ว เสด็จพ่อต้องการจะสังหารท่าน เช่นนั้นจะไม่น่าเป็นกังวลหรือ? ท่านเต็มใจหรือ?" หยุนชางพูดอย่างประหลาดใจ

"ฮ่าฮ่า ข้าเต็มใจ ทำไมข้าจะไม่เต็มใจ ตราอาญาสิทธิ์ครึ่งหนึ่งนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับข้า แม้ไม่มีอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือของฝ่าบาท ข้าก็ยังอำนาจควบคุมกองทัพ นอกจากนี้เจ้าคิดว่าข้าอยู่ที่ชายแดนมาหลายปีโดยเปล่าประโยชน์หรือ ข้าวางแผนมาเป็นเวลานานและสร้างกองกำลังส่วนตัวไว้แต่แรก ถึงแม้ว่าจำนวนจะไม่มาก แต่ข้าก็กล้าที่จะพนันว่าแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ถึงแม้ข้าจะไม่มีพวกเขา แต่สถานะของข้าในใจของเหล่าทหารจะเปรียบกับจักรพรรดิอันไกลโพ้นได้อย่างไร หากข้าต้องการกำลังพล แม้ไม่มีตราอาญาสิทธิ์ คนที่ยินดีจะติดตามข้าก็มีจำนวนไม่น้อยอย่างแน่นอน" จิ้งอ๋องเลิกคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

หยุนชางจึงยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก หากบอกว่าเมื่อครู่เขาเพียงบอกจุดประสงค์แก่นาง นางก็เพียงแค่แปลกใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้นางตกใจมากจริงๆ นางคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะ… ถึงกับบอกนางในเรื่องเช่นนี้… นางเป็นองค์หญิง… แต่เขากลับกล้า…

จิ้งอ๋องมองดูประกายความประหลาดใจที่ปิดไม่มิดในสายตาของหยุนชาง ในใจก็รับรู้ได้ว่าคำพูดของเขาส่งผลอย่างไรต่อนาง ไม่รอให้นางได้โต้ตอบ เขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง "เพียงแต่ยามที่ดูพระอาทิตย์ตกที่ชายแดนในวันนั้น สิ่งที่ข้าพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน ตำแหน่งนั้น ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการมันมากขนาดนั้นแล้ว"

เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหยุนชางมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ "อย่างที่เจ้าเคยได้ยินมา หากข้าต้องการ ข้าไม่คิดว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถขวางข้าได้ เห็นได้ชัดว่าข้าสามารถป้องกันไม่ให้ผู้หญิงทุกคนในวังคลอดลูกออกมาได้ แต่ข้าก็ปล่อยเสด็จแม่ของเจ้าไป ข้าเตรียมการมาหลายปีแล้ว มีบางเรื่องที่ข้าสามารถจะทำได้ แต่ตอนนี้ที่ข้าของานสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อของเจ้าเพื่อมาอยู่เมืองหลวงกลับไม่ใช่เพราะอยากยึดตำแหน่งนั้น อำนาจของตระกูลหลี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ได้เวลาถอนรากถอนโคนแล้ว ยิ่งกว่านั้นแม้ข้าจะคิดถึงความงดงามของชายแดน แต่หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าก็คิดว่าบางทีในเมืองหลวงไม่อาจหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งต่อหน้าและลับหลังได้ แต่หากสามารถมองดูเจ้าได้ก็คงดีไม่น้อย"

สายตาของจิ้งอ๋องจ้องไปที่ใบหน้าของหยุนชาง "บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ ยามที่ข้าอยู่ที่ชายแดน ข้าคิดว่าหากชางเจียชิงซูมาถึงเมืองหลวงแล้วต้องการแต่งงานกับเจ้า ข้ากลัวว่าฮ่องเต้จะไม่ขัดขวาง แม้ว่าเขาจะเป็นเสด็จพ่อของเจ้าแต่เขาก็เป็นจักรพรรดิ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ข้าก็ร้อนใจยิ่งนัก แม้ว่าจะรู้ว่าเจ้าฉลาดหลักแหลมเหนือผู้อื่นก็คงรับมือได้ แต่ข้าก็ยังไม่วางใจจึงได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่ทันเข้าจวนอ๋องก็รีบไปหาเจ้าที่ตำหนักก่อน แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าจะแทงข้าโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ เมื่อข้าออกมาจากตำหนักชิงซินแล้ว ข้าก็เสี่ยงโดนลงโทษไปหาเสด็จพี่ที่ตำหนักฉินเจิ้งและใช้ตราอาญาสิทธิ์เพื่อแลกกับการสมรสนี้มา"

หยุนชางรู้สึกลังเลเล็กน้อยในใจ นางรู้ดีว่าเขาละทิ้งหน้าที่มาโดยพลการแล้วยังลอบเข้าวังกลางดึก หากเสด็จพ่อจะสอบสวนขึ้นมาตั้งข้อหาลอบสังหารจักรพรรดิก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ นางเองก็เชื่อเสียส่วนใหญ่

นางยังไม่ได้ปีกกล้าขาแข็ง หากเขาต้องการวางยาพิษจิ่นเฟยแล้วก็คงทำได้โดยง่าย และหากเขาโหดร้ายกว่านี้อีกสักนิดการวางยาเสด็จพ่อของนางก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

"ท่านไม่กลัวหม่อมฉันจะเอาไปบอกเสด็จพ่อหรือ?" หยุนชางมองจิ้งอ๋องด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่ยิ้ม

จิ้งอ๋องเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างจริงใจ "เจ้าไม่ทำหรอกและแม้ว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น เจ้าก็ไม่มีหลักฐาน อีกอย่างถึงเสด็จพี่จะเชื่อเจ้า เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี"

"แล้วทำไมท่านถึงบอกสิ่งเหล่านี้กับหม่อมฉันในวันนี้?"

จิ้งอ๋องหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น "เพราะเมื่อข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วจึงได้พบว่ายามอยู่ที่ชายแดน เจ้าช่างอ่อนโยนน่ารัก แต่เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นเม่นน้อย ระแวงระวังข้าไปเสียทุกอย่าง ในเมื่อข้าแน่ใจแล้วว่าในใจข้ามีเจ้า ข้าก็ไม่ต้องการให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้พวกเราไม่ได้สัญญากันตั้งแต่แรกหรือว่าพวกเราจะร่วมมือกำจัดฮองเฮาและตระกูลหลี่ด้วยกัน"

แม้หยุนชางมีชีวิตมาสองชาติแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำสารภาพรักที่ตรงไปตรงมาของจิ้งอ๋องเช่นนี้ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางจึงก้มศีรษะลงและเอ่ยเสียงเบาว่า "ท่านรอให้หม่อมฉันคิดอีกหน่อยเถอะ…"

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด