ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 345 มีลูกให้ข้าเถอะ

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 345 มีลูกให้ข้าเถอะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยุนชางขมวดคิ้ว จากนั้นก็เห็นเถ้าแก่ร้านวิ่งตามหลังมา แล้วโค้งคำนับหยุนชางและจิ้งอ๋องพร้อมกล่าว “ขอประทานโทษขอรับ มันเป็นความประมาทของทางร้านเองขอรับ ขอประทานโทษที่รบกวนแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขอรับ ข้าน้อยจะจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“ยังไม่เร่งมืออีกหรือ อย่าได้รบกวนข้าและฮูเหรินเด็ดขาด” จิ้งอ๋องไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานิ้วมือเล็กน้อยและเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ

หยุนชางจ้องมองไปที่มือของจิ้งอ๋องแล้วก็ผงะ นิสัยของจิ้งอ๋องนี้ค่อนข้างคล้ายกับตน เมื่อตนครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ หรือเมื่อรู้หงุดหงิดเล็กน้อย ตนมักจะเคาะไปที่โต๊ะโดยไม่รู้ตัว

เมื่อหลิ่วหยินเฟิงเห็นว่าหยุนชางไม่มองตนเลย สีหน้าของเขาก็แย่ลงอย่างมาก และเมื่อมองไปที่ผมที่มวยอยู่ด้านหลัง (เป็นทรงผมสำหรับผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว) ของหยุนชาง เขาก็โกรธเคืองมากกว่าเดิม จึงเงยหน้ากล่าวต่อจิ้งอ๋องว่า ” เจ้าเป็นสามีประสาอะไร? ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะปล่อยให้ภรรยาของตนไปในสถานที่ที่กองทัพทั้งสองกำลังทำสงครามอยู่ เพื่อเก็บยาสมุนไพรให้คนเฒ่าในบ้าน อีกทั้งยังถูกศัตรูจับตัวไปอีก…”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็เห็นจิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที หลิ่วหยินเฟิงรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาเสมอ แม้จะอยู่ต่อหน้ากองทัพใหญ่พันหมื่นคน เขาก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้ แต่ไม่คาดคิดว่า สายตาของชายที่อยู่ตรงหน้านั้น ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว และเย็นชาจนรู้สึกราวกับว่าตนตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขาก็ลืมสิ่งที่ตนต้องการจะพูดไป

“เถ้าแก่ โปรดเชิญชายหนุ่มคนนี้ออกไป” เสียงของหยุนชางเย็นชาเล็กน้อย จนทำให้หลิ่วหยินเฟิงอดที่จะหันมามองมิได้ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินออกไป

“เหตุใดเขาจึงจำได้?” หยุนชางขมวดคิ้ว

แววตาของจิ้งอ๋องจ้องมองไปที่หยุนชาง เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะไม่ทราบว่า แม้ว่านางสวมเสื้อผ้าผู้ชายแล้วจะเหมือนผู้ชายอย่างมากแล้ว แต่นิสัยหลายอย่างนั้นแค่เสื้อผ้าไม่สามารถปกปิดได้หรอก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้มีคนไม่มากนักที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนสองคนที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการ

เนื่องจากหลิ่วหยินเฟิงมารบกวนเช่นนี้ หยุนชางจึงไม่มีอารมณ์ที่จะกินอาหารต่อ ทั้งสองกินไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่จวนท่านอ๋อง

องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยมาถึงแล้ว หนิงหัวจิ้งก็มาถึงแล้ว และหลิ่วหยินเฟิงก็มาด้วยเช่นกัน เกรงว่าเมืองหลวงนี้คงจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีเหล่าขุนนางมาเข้าพบที่จวนท่านอ๋องอยู่บ้าง หยุนชางครุ่นคิด แม้ว่าตัวตนของท่านอ๋องนั้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่เสด็จพ่อนั้นยังคงคิดมากอยู่ในใจ พระองค์แทบจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องอยู่ตลอดเวลา หากว่าเชิญเหล่าขุนนางเหล่านี้เข้ามาในจวนท่านอ๋อง คงจะทำให้เกิดเรื่องอย่างแน่นอน ฉะนั้นก็ใช้เหตุผลว่าท่านอ๋องยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะสมที่จะพบแขก เป็นข้ออ้างในการปิดจวนท่านอ๋องไว้ ไม่พบใครทั้งสิ้นเสียดีกว่า

แต่ทว่า งานเลี้ยงในวังนั้นจำเป็นต้องไปเข้าร่วม และด้วยพระราชพิธีการแต่งตั้งฮองเฮากำลังจะจัดขึ้นแล้ว จักรพรรดิหนิงจึงได้จัดงานเลี้ยงในพระราชวังขึ้นมา โดยกล่าวว่าเป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

จักรพรรดิเซี่ยมาถึงเมืองหลวงเป็นเวลาสามวันแล้ว หยุนชางทราบข่าวนี้ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง เพียงแต่สามวันที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยอยู่แต่ในหออาศัย แทบจะมิได้ออกไปไหนเลย ซึ่งทำให้หยุนชางแปลกใจเป็นอย่างมาก นางคิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยคงจะไม่รอช้าที่จะมาจวนท่านอ๋อง เพื่อตรวจสอบว่าจิ้งอ๋องนั้นเป็นบุตรชายของเขาหรือไม่ แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ความอดทนของเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ตำหนักจินหลวน หยุนชางและจิ้งอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังก่อนเวลา พวกเขาทั้งสองจึงไปที่วังจิ่นซิ่วเพื่อเยี่ยมเยือนจิ่นกุ้ยเฟยและองค์ชายน้อยเฉินซี แต่ไม่คาดคิดว่าฉินเมิ่งก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหยุนชางเข้ามาพร้อมจิ้งอ๋อง นางจึงเตรียมน้ำชามาถวาย ราวกับเป็นนางกำนัลของวังจิ่นซิ่ว

หยุนชางรู้สึกขบขัน ดูเหมือนว่านางจะลงมือกับตนมิได้ จึงมาเอาใจที่วังจิ่นซิ่วแล้ว หยุนชางครุ่นคิดแล้วหันไปมองเจิ้งมามาพร้อมกล่าวว่า “มามาเจ้าคะ นางกำนัลในวังจิ่นซิ่วไม่พอหรือ? ประเดี๋ยวข้าจะไปทูลเสด็จพ่อก็แล้วกัน ให้เสด็จพ่อส่งนางกำนัลมาเพิ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมิ่งเจี๋ยยวี๋ก็เป็นนางสนมของเสด็จพ่อ งานแรงงานเช่นนี้ อย่าได้รบกวนเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะดีกว่า หากมีคนอื่นมาพบเข้าจะไม่ดียิ่งนัก อาจจะคิดว่าเสด็จแม่นั้นสั่งนางสนมตามอำเภอใจโดยใช้อำนาจที่ตนนั้นเป็นกุ้ยเฟยหรอก”

สีหน้าของฉินเมิ่งขาวซีดเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบกล่าวว่า ” หม่อมฉันต้องการทำเช่นนี้เองเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้อกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

แต่หยุนชางกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกว่าวต่อเจิ้งมามาว่า “เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปากพล่อยในพระราชวังนี้มีไม่น้อย หากว่าเสด็จพ่อทราบเรื่องนี้ เช่นนนั้นคงจะไม่ดีอย่างมาก”

เจิ้งมามามิได้ตอบกลับ แต่จิ่นกุ้ยเฟยที่นั่งอุ้มเฉินซีพร้อมกล่อมเบา ๆ เอ่ยปากขึ้นมาว่า ” พระชายาพูดถูก แต่ในวังข้านั้นมิได้ขาดแคลนนางกำนัลแต่อย่างใด ต่อไปนี้ระวังอย่างให้เมิ่งเจี๋ยยวี๋ลงมือทำเองอีกแล้วกัน”

ฉินเมิ่งนั่งลงที่เก้าอี้อย่างกังวล นางเงยหน้ามองดูทุกคนที่อยู่ในตำหนักนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าลงโดยมิได้กล่าวกระไรอีก

หยุนชางแอบเยาะเย้ยในใจว่า ฉินเมิ่งเร่งเอาใจเสด็จแม่ของตนเช่นนี้ เพื่อการอันใดกันนะ?

สายตาของนางจ้องมองไปที่เครื่องประดับลูกปัดดอกไม้บนหัวของฉินเมิ่ง นางหยุดชะงักไปครู่เดียว ครั้งที่แล้วเฉี่ยนอินกล่าวว่าลูกปัดดอกไม้นั้นเป็นของจากนอกพระราชวัง หยุนชางมิได้ใส่ใจกระไรมาก เพียงแต่ว่า……………..

หยุนชางเห็นปิ่นพวงแก้วที่ฉินเมิ่งปักอยู่ในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินอย่างเห็นได้ชัด ที่นางทราบก็เพราะว่านางได้เห็นมันอยู่ในร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นปิ่นที่งดงามอย่างมาก เฉี่ยนสุ่ยบอกว่าจะมอบให้นาง แต่ก็นางไม่เคยชอบเครื่องประดับที่ซับซ้อนเกินไปมาแต่เดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงปฏิเสธ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นมันอยู่บนหัวของฉินเมิ่ง

หยุนชางค่อย ๆ ละสายตาออกไป จากนั้นก็อมยิ้ม วันก่อนสายลับได้สืบค้นการเคลื่อนไหวของฉินเมิ่ง แต่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่าสายลับจะประมาทอีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงในพระราชวัง ฉินเมิ่งไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ นางจึงรีบลุกขึ้นและน้อมลา หลังจากที่นางจากไป จิ้นกุ้ยเฟยจึงได้นั่งเสลี่ยงไปยังตำหนักจินหลวนพร้อมหยุนชางและจิ้งอ๋อง

งานเลี้ยงในพระราชวังแบบเป็นทางการแต่เดิมแม้แต่หยุนชางก็ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วม แต่ด้วยเหตุที่หยุนชางเอาชนะทหารแคว้นเซี่ยได้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองจิ้งหยาง จักรพรรดิหนิงจึงอยากกดขี่ความหยิ่งยโสของแคว้นเซี่ยสักหน่อย ฉะนั้นจึงให้หยุนชางมาร่วม เพียงแต่หากมีผู้หญิงเพียงคนเดียวนั้นก็ดูจงใจเกินไป จักรพรรดิหนิงครุ่นคิด จึงได้ออกพระราชโองการว่าเป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ ธรรมดาๆ ผู้หญิงตั้งแต่ขั้นหนึ่งขึ้นไปล้วนเข้าร่วมได้ ส่วนในวังนั้นให้จิ่นกุ้ยเฟยและหย่าผินที่กำลังจะเป็นฮองเฮานั้นมาร่วมด้วยกัน

แคว้นหนิงเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นคนของแคว้นหนิงจึงเข้าประทับที่นั่งอยู่นานแล้ว ขันทีเจิ้งได้นำพาเหล่าแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในงานด้วยตนเอง จากนั้นทุกคนที่เข้าไปนั่งที่นั่งของตน และเมื่อทุกคนนั่งลง จักรพรรดิหนิงจึงได้เดินเข้ามาท่ามกลางเสียงประสานอันไพเราะของขันที และทุกคนก็ลุกขึ้นและคำนับอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเสื้อถูกับพื้นดังขึ้น และจากนั้นเสียงอันทรงพลังของจักรพรรดิหนิงก็ดังขึ้น “ไปนั่งเถิด”

การเปิดงานเลี้ยงแน่นอนต้องดื่มสามแก้ว จักรพรรดิหนิงเป็นคนต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกมุมโลก หลังจากดื่มสุราไปสามแก้ว ทุกคนก็นั่งลง หยุนชางนั่งอยู่ข้างหลังจิ้งอ๋องแล้วกินอาหารอย่างสบายใจ

เมื่อตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่ตน หยุนชางจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไป หลิ่วหยินเฟิงนี่เอง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลิ่วหยินเฟิงได้ส่งคนหลายคนไปตรวจสอบตัวตนของนาง เพียงแต่ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง เมื่อเขาคิดอยากจะทำกระไร หยุนชางก็ทราบในทันที หลิ่วหยินเฟิงถือว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย

แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบนางที่นี่ นางสวมชุดทางการของก้าวมิ่งฟูเหริน ชุดนั้นเป็นสีแดงสลับกับสีดำ ผู้หญิงคนอื่นๆ สวมแล้วอาจดูไม่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อนางสวมกลับมีสดใสขึ้นอย่างมาก หลิ่วหยินเฟิงไม่ใช่คนแคว้นหนิง เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องแบบทางการของหญิงสาวนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเสื้อผ้าที่หยุนชางสวมใส่นั้นแสดงถึงเอกลักษณ์อะไร เพียงแต่ว่าคนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในวันนี้จะต้องเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก

เมื่อสักครู่นั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นนาง เขาเห็นเพียงชายที่นั่งอยู่ข้างหน้านาง เขาตกตะลึง และมองไปข้างหลังชายคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วจบพบนาง

จักรพรรดิหนิงกำลังสนทนากับจักรพรรดิแคว้นเซี่ย หยุนชางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งสองชมเชยกันและกัน พวกเขาเพิ่งจะสู้รบกันมาอย่างดุเดือด แต่ในชั่วพริบตาพวกเขากลับพูดคุยสนทนาในงานเลี้ยงนี้

เพียงแต่ว่าหยุนชางได้ยินจักรพรรดิหนิงพูดถึงนางด้วยน้ำเสียงที่ช่วยไม่ได้ “ช่วงก่อนพระธิดานั้นดื้อรั้น ได้เข้าไปป่วนในสนามรบ เป็นความผิดเจิ้งที่ควบคุมพระธิดามิได้ จึงขอให้พี่เซี่ยนั้นให้อภัยด้วยเถิด ”

หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ย นางอดไม่ได้ที่จะตะลึง ไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรูปลักษณ์ที่ดีเพียงใด ทางกลับกันรูปลักษณ์ของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นน่าเกรงขามเล็กน้อย เป็นเพราะว่าใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรอยแผลเป็นที่มีรูปร่างคล้ายตะขาบ รอยนั้นพาดจากด้านขวาบนของหน้าไปเกือบทั่วทั้งใบหน้า ลากยาวไปถึงคาง โชคดีที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นมิได้รับผลกระทบกระไร แต่ค่อนข้างคล้ายกับจิ้งอ๋อง

สีหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยตะลึง และเขาก็หันไปยิ้มขึ้นมา ” ไม่หรอก ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น องค์หญิงทรงเก่งกาจอย่างมาก ข้าชื่นชมเป็นอย่างมาก”

เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะลั่นออกมา หยุนชางไม่รู้ว่าในรอยยิ้มนี้มีความจริงใจอยู่เท่าไหร่ มีความเสแสร้งอยู่เท่าไหร่ ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย ก็ได้ยินจักรพรรดิหนิงกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์ รีบเข้ามาขอประทานอภัยจากจักรพรรดิแคว้นเซี่ยประเดี๋ยวนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 345 มีลูกให้ข้าเถอะ

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 345 มีลูกให้ข้าเถอะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยุนชางขมวดคิ้ว จากนั้นก็เห็นเถ้าแก่ร้านวิ่งตามหลังมา แล้วโค้งคำนับหยุนชางและจิ้งอ๋องพร้อมกล่าว “ขอประทานโทษขอรับ มันเป็นความประมาทของทางร้านเองขอรับ ขอประทานโทษที่รบกวนแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขอรับ ข้าน้อยจะจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“ยังไม่เร่งมืออีกหรือ อย่าได้รบกวนข้าและฮูเหรินเด็ดขาด” จิ้งอ๋องไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานิ้วมือเล็กน้อยและเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ

หยุนชางจ้องมองไปที่มือของจิ้งอ๋องแล้วก็ผงะ นิสัยของจิ้งอ๋องนี้ค่อนข้างคล้ายกับตน เมื่อตนครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ หรือเมื่อรู้หงุดหงิดเล็กน้อย ตนมักจะเคาะไปที่โต๊ะโดยไม่รู้ตัว

เมื่อหลิ่วหยินเฟิงเห็นว่าหยุนชางไม่มองตนเลย สีหน้าของเขาก็แย่ลงอย่างมาก และเมื่อมองไปที่ผมที่มวยอยู่ด้านหลัง (เป็นทรงผมสำหรับผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว) ของหยุนชาง เขาก็โกรธเคืองมากกว่าเดิม จึงเงยหน้ากล่าวต่อจิ้งอ๋องว่า ” เจ้าเป็นสามีประสาอะไร? ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะปล่อยให้ภรรยาของตนไปในสถานที่ที่กองทัพทั้งสองกำลังทำสงครามอยู่ เพื่อเก็บยาสมุนไพรให้คนเฒ่าในบ้าน อีกทั้งยังถูกศัตรูจับตัวไปอีก…”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็เห็นจิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที หลิ่วหยินเฟิงรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาเสมอ แม้จะอยู่ต่อหน้ากองทัพใหญ่พันหมื่นคน เขาก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้ แต่ไม่คาดคิดว่า สายตาของชายที่อยู่ตรงหน้านั้น ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว และเย็นชาจนรู้สึกราวกับว่าตนตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขาก็ลืมสิ่งที่ตนต้องการจะพูดไป

“เถ้าแก่ โปรดเชิญชายหนุ่มคนนี้ออกไป” เสียงของหยุนชางเย็นชาเล็กน้อย จนทำให้หลิ่วหยินเฟิงอดที่จะหันมามองมิได้ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินออกไป

“เหตุใดเขาจึงจำได้?” หยุนชางขมวดคิ้ว

แววตาของจิ้งอ๋องจ้องมองไปที่หยุนชาง เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะไม่ทราบว่า แม้ว่านางสวมเสื้อผ้าผู้ชายแล้วจะเหมือนผู้ชายอย่างมากแล้ว แต่นิสัยหลายอย่างนั้นแค่เสื้อผ้าไม่สามารถปกปิดได้หรอก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้มีคนไม่มากนักที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนสองคนที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการ

เนื่องจากหลิ่วหยินเฟิงมารบกวนเช่นนี้ หยุนชางจึงไม่มีอารมณ์ที่จะกินอาหารต่อ ทั้งสองกินไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่จวนท่านอ๋อง

องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยมาถึงแล้ว หนิงหัวจิ้งก็มาถึงแล้ว และหลิ่วหยินเฟิงก็มาด้วยเช่นกัน เกรงว่าเมืองหลวงนี้คงจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีเหล่าขุนนางมาเข้าพบที่จวนท่านอ๋องอยู่บ้าง หยุนชางครุ่นคิด แม้ว่าตัวตนของท่านอ๋องนั้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่เสด็จพ่อนั้นยังคงคิดมากอยู่ในใจ พระองค์แทบจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องอยู่ตลอดเวลา หากว่าเชิญเหล่าขุนนางเหล่านี้เข้ามาในจวนท่านอ๋อง คงจะทำให้เกิดเรื่องอย่างแน่นอน ฉะนั้นก็ใช้เหตุผลว่าท่านอ๋องยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะสมที่จะพบแขก เป็นข้ออ้างในการปิดจวนท่านอ๋องไว้ ไม่พบใครทั้งสิ้นเสียดีกว่า

แต่ทว่า งานเลี้ยงในวังนั้นจำเป็นต้องไปเข้าร่วม และด้วยพระราชพิธีการแต่งตั้งฮองเฮากำลังจะจัดขึ้นแล้ว จักรพรรดิหนิงจึงได้จัดงานเลี้ยงในพระราชวังขึ้นมา โดยกล่าวว่าเป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ

จักรพรรดิเซี่ยมาถึงเมืองหลวงเป็นเวลาสามวันแล้ว หยุนชางทราบข่าวนี้ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง เพียงแต่สามวันที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยอยู่แต่ในหออาศัย แทบจะมิได้ออกไปไหนเลย ซึ่งทำให้หยุนชางแปลกใจเป็นอย่างมาก นางคิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยคงจะไม่รอช้าที่จะมาจวนท่านอ๋อง เพื่อตรวจสอบว่าจิ้งอ๋องนั้นเป็นบุตรชายของเขาหรือไม่ แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ความอดทนของเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ตำหนักจินหลวน หยุนชางและจิ้งอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังก่อนเวลา พวกเขาทั้งสองจึงไปที่วังจิ่นซิ่วเพื่อเยี่ยมเยือนจิ่นกุ้ยเฟยและองค์ชายน้อยเฉินซี แต่ไม่คาดคิดว่าฉินเมิ่งก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหยุนชางเข้ามาพร้อมจิ้งอ๋อง นางจึงเตรียมน้ำชามาถวาย ราวกับเป็นนางกำนัลของวังจิ่นซิ่ว

หยุนชางรู้สึกขบขัน ดูเหมือนว่านางจะลงมือกับตนมิได้ จึงมาเอาใจที่วังจิ่นซิ่วแล้ว หยุนชางครุ่นคิดแล้วหันไปมองเจิ้งมามาพร้อมกล่าวว่า “มามาเจ้าคะ นางกำนัลในวังจิ่นซิ่วไม่พอหรือ? ประเดี๋ยวข้าจะไปทูลเสด็จพ่อก็แล้วกัน ให้เสด็จพ่อส่งนางกำนัลมาเพิ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมิ่งเจี๋ยยวี๋ก็เป็นนางสนมของเสด็จพ่อ งานแรงงานเช่นนี้ อย่าได้รบกวนเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะดีกว่า หากมีคนอื่นมาพบเข้าจะไม่ดียิ่งนัก อาจจะคิดว่าเสด็จแม่นั้นสั่งนางสนมตามอำเภอใจโดยใช้อำนาจที่ตนนั้นเป็นกุ้ยเฟยหรอก”

สีหน้าของฉินเมิ่งขาวซีดเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบกล่าวว่า ” หม่อมฉันต้องการทำเช่นนี้เองเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้อกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

แต่หยุนชางกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกว่าวต่อเจิ้งมามาว่า “เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปากพล่อยในพระราชวังนี้มีไม่น้อย หากว่าเสด็จพ่อทราบเรื่องนี้ เช่นนนั้นคงจะไม่ดีอย่างมาก”

เจิ้งมามามิได้ตอบกลับ แต่จิ่นกุ้ยเฟยที่นั่งอุ้มเฉินซีพร้อมกล่อมเบา ๆ เอ่ยปากขึ้นมาว่า ” พระชายาพูดถูก แต่ในวังข้านั้นมิได้ขาดแคลนนางกำนัลแต่อย่างใด ต่อไปนี้ระวังอย่างให้เมิ่งเจี๋ยยวี๋ลงมือทำเองอีกแล้วกัน”

ฉินเมิ่งนั่งลงที่เก้าอี้อย่างกังวล นางเงยหน้ามองดูทุกคนที่อยู่ในตำหนักนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าลงโดยมิได้กล่าวกระไรอีก

หยุนชางแอบเยาะเย้ยในใจว่า ฉินเมิ่งเร่งเอาใจเสด็จแม่ของตนเช่นนี้ เพื่อการอันใดกันนะ?

สายตาของนางจ้องมองไปที่เครื่องประดับลูกปัดดอกไม้บนหัวของฉินเมิ่ง นางหยุดชะงักไปครู่เดียว ครั้งที่แล้วเฉี่ยนอินกล่าวว่าลูกปัดดอกไม้นั้นเป็นของจากนอกพระราชวัง หยุนชางมิได้ใส่ใจกระไรมาก เพียงแต่ว่า……………..

หยุนชางเห็นปิ่นพวงแก้วที่ฉินเมิ่งปักอยู่ในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินอย่างเห็นได้ชัด ที่นางทราบก็เพราะว่านางได้เห็นมันอยู่ในร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นปิ่นที่งดงามอย่างมาก เฉี่ยนสุ่ยบอกว่าจะมอบให้นาง แต่ก็นางไม่เคยชอบเครื่องประดับที่ซับซ้อนเกินไปมาแต่เดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงปฏิเสธ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นมันอยู่บนหัวของฉินเมิ่ง

หยุนชางค่อย ๆ ละสายตาออกไป จากนั้นก็อมยิ้ม วันก่อนสายลับได้สืบค้นการเคลื่อนไหวของฉินเมิ่ง แต่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่าสายลับจะประมาทอีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงในพระราชวัง ฉินเมิ่งไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ นางจึงรีบลุกขึ้นและน้อมลา หลังจากที่นางจากไป จิ้นกุ้ยเฟยจึงได้นั่งเสลี่ยงไปยังตำหนักจินหลวนพร้อมหยุนชางและจิ้งอ๋อง

งานเลี้ยงในพระราชวังแบบเป็นทางการแต่เดิมแม้แต่หยุนชางก็ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วม แต่ด้วยเหตุที่หยุนชางเอาชนะทหารแคว้นเซี่ยได้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองจิ้งหยาง จักรพรรดิหนิงจึงอยากกดขี่ความหยิ่งยโสของแคว้นเซี่ยสักหน่อย ฉะนั้นจึงให้หยุนชางมาร่วม เพียงแต่หากมีผู้หญิงเพียงคนเดียวนั้นก็ดูจงใจเกินไป จักรพรรดิหนิงครุ่นคิด จึงได้ออกพระราชโองการว่าเป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ ธรรมดาๆ ผู้หญิงตั้งแต่ขั้นหนึ่งขึ้นไปล้วนเข้าร่วมได้ ส่วนในวังนั้นให้จิ่นกุ้ยเฟยและหย่าผินที่กำลังจะเป็นฮองเฮานั้นมาร่วมด้วยกัน

แคว้นหนิงเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นคนของแคว้นหนิงจึงเข้าประทับที่นั่งอยู่นานแล้ว ขันทีเจิ้งได้นำพาเหล่าแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในงานด้วยตนเอง จากนั้นทุกคนที่เข้าไปนั่งที่นั่งของตน และเมื่อทุกคนนั่งลง จักรพรรดิหนิงจึงได้เดินเข้ามาท่ามกลางเสียงประสานอันไพเราะของขันที และทุกคนก็ลุกขึ้นและคำนับอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเสื้อถูกับพื้นดังขึ้น และจากนั้นเสียงอันทรงพลังของจักรพรรดิหนิงก็ดังขึ้น “ไปนั่งเถิด”

การเปิดงานเลี้ยงแน่นอนต้องดื่มสามแก้ว จักรพรรดิหนิงเป็นคนต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกมุมโลก หลังจากดื่มสุราไปสามแก้ว ทุกคนก็นั่งลง หยุนชางนั่งอยู่ข้างหลังจิ้งอ๋องแล้วกินอาหารอย่างสบายใจ

เมื่อตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่ตน หยุนชางจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไป หลิ่วหยินเฟิงนี่เอง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลิ่วหยินเฟิงได้ส่งคนหลายคนไปตรวจสอบตัวตนของนาง เพียงแต่ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง เมื่อเขาคิดอยากจะทำกระไร หยุนชางก็ทราบในทันที หลิ่วหยินเฟิงถือว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย

แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบนางที่นี่ นางสวมชุดทางการของก้าวมิ่งฟูเหริน ชุดนั้นเป็นสีแดงสลับกับสีดำ ผู้หญิงคนอื่นๆ สวมแล้วอาจดูไม่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อนางสวมกลับมีสดใสขึ้นอย่างมาก หลิ่วหยินเฟิงไม่ใช่คนแคว้นหนิง เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องแบบทางการของหญิงสาวนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเสื้อผ้าที่หยุนชางสวมใส่นั้นแสดงถึงเอกลักษณ์อะไร เพียงแต่ว่าคนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในวันนี้จะต้องเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก

เมื่อสักครู่นั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นนาง เขาเห็นเพียงชายที่นั่งอยู่ข้างหน้านาง เขาตกตะลึง และมองไปข้างหลังชายคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วจบพบนาง

จักรพรรดิหนิงกำลังสนทนากับจักรพรรดิแคว้นเซี่ย หยุนชางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งสองชมเชยกันและกัน พวกเขาเพิ่งจะสู้รบกันมาอย่างดุเดือด แต่ในชั่วพริบตาพวกเขากลับพูดคุยสนทนาในงานเลี้ยงนี้

เพียงแต่ว่าหยุนชางได้ยินจักรพรรดิหนิงพูดถึงนางด้วยน้ำเสียงที่ช่วยไม่ได้ “ช่วงก่อนพระธิดานั้นดื้อรั้น ได้เข้าไปป่วนในสนามรบ เป็นความผิดเจิ้งที่ควบคุมพระธิดามิได้ จึงขอให้พี่เซี่ยนั้นให้อภัยด้วยเถิด ”

หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ย นางอดไม่ได้ที่จะตะลึง ไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรูปลักษณ์ที่ดีเพียงใด ทางกลับกันรูปลักษณ์ของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นน่าเกรงขามเล็กน้อย เป็นเพราะว่าใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรอยแผลเป็นที่มีรูปร่างคล้ายตะขาบ รอยนั้นพาดจากด้านขวาบนของหน้าไปเกือบทั่วทั้งใบหน้า ลากยาวไปถึงคาง โชคดีที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นมิได้รับผลกระทบกระไร แต่ค่อนข้างคล้ายกับจิ้งอ๋อง

สีหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยตะลึง และเขาก็หันไปยิ้มขึ้นมา ” ไม่หรอก ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น องค์หญิงทรงเก่งกาจอย่างมาก ข้าชื่นชมเป็นอย่างมาก”

เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะลั่นออกมา หยุนชางไม่รู้ว่าในรอยยิ้มนี้มีความจริงใจอยู่เท่าไหร่ มีความเสแสร้งอยู่เท่าไหร่ ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย ก็ได้ยินจักรพรรดิหนิงกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์ รีบเข้ามาขอประทานอภัยจากจักรพรรดิแคว้นเซี่ยประเดี๋ยวนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+