ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 146 เปิดโปงแผลใจของพระราชินี

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 146 เปิดโปงแผลใจของพระราชินี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

"หึหึๆ เยี่ยมจริงๆ …" ฮองเฮาหลับตาลง มีน้ำตาไหลออกจากหางตา "หลายปีมาแล้ว ข้าไม่คาดคิดเลยว่าฝ่าบาทจะทรงวางกลกันข้าเช่นนี้ พระองค์ทรงกลัวว่าข้าจะทำร้ายพระราชบุตรของพระองค์เพียงเท่านี้มิใช่หรือ? แล้วพระองค์เคยคิดหรือไม่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ พระองค์เคยอ่อนโยนต่อข้าบ้างหรือไม่ เมื่อตอนที่อภิเษกสมรสกัน พระองค์ ไม่แม้แต่จะกลับมาที่ตำหนัก เป็นเหตุทำให้ช้าถูกเยาะเย้ยมาหลายปี ข้าก็แค่แย่งเอาตำแหน่งพระมเหสีของหญิงอันเป็นที่รักของพระองค์ไปก็เท่านั้นเอง หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าทำหน้าที่เป็นพระมเหสี พระมารดาที่ดีโดยตลอด แม้ว่าวังหลังนี้จะมีคนใหญ่ๆ เข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่ข้าเคยพิโรธหรือไม่? ตำแหน่งพระราชินีนี้ ข้าไม่เอาก็ย่อมได้!"

มามาที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงรีบพูดว่า "พระราชินีเพคะ คำพูดเหล่านี้ทรงตรัสออกมาเช่นนี้มิได้นะเพคะ"

ฮองเฮาเอนกายลงบนพระแท่นบรรทม นางปล่อยผมยาว ตาแดง และนานจึงกล่าวว่า "ตรัสไม่ได้งั้นหรือ? เหตุใดจึงตรัสไม่ได้? ตอนนี้ในวังแห่งนี้มีใครสามารถนำสิ่งที่ข้าตรัสไปทูลฝ่าบาทหรือ พระองค์คงไม่สามารถข่าวใดที่เกี่ยวกับเลยกระมั้ง"

ทันทีที่กล่าวจบสิ้น นางก็ไออย่างหนักเป็นเวลานาน จนทำให้มามาที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นกังวลอย่างมาก "เป็นอย่างไรบ้างเพคะ พระราชินีทรงประชวรเช่นนี้ แต่ละครั้งที่หมอหลวงมาก็จ่ายยาไม่เหมือนกัน และนานแล้วก็ยังไม่ได้ผลเสียที"

ฮองเฮายิ้มอย่างขมขื่น "เสวยมันทำไม? ให้ข้าสวรรคตไปเสียดีกว่า พระองค์คงอยากให้ข้ารีบๆ หายไปอย่างมาก"

"ทรงอย่าตรัสเช่นนี้เลยเพคะ" มามารีบพูดขึ้นมาว่า "เหนียงเหนียงทรงตรัสอะไรเพคะ สวรรคตอันใดกันเพคะ อมิตตาพุทธ อมิตตาพุทธ พระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาจากทุกทิศทุกทาง เมื่อสักครู่นี้เหนียงเหนียงทรงตรัสอย่างมิได้ตั้งใจ โปรดอย่าเชื่อในคำพูดนี้เพคะ"

พระราชินีโน้มตัวและไออยู่นานก่อนจะยืดตัวขึ้นตรัสว่า "ข้าสั่งให้เจ้าส่งข่าวไปยังจวนเสนาบดี เจ้าส่งไปแล้วหรือไม่?" มามาผู้นั้นก็กล่าวอย่างเร่งรีบ "ส่งแล้วเพคะ แต่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้นายหญิงนำหมอมาเพคะ พระองค์ทรงตรัสว่า หมอหวงในพระราชวังนั้นย่อมดีเยี่ยมที่สุดเพคะ และไม่มีทางที่หมอธรรมดานอกวังจะเทียบได้เพคะ ตอนนี้นายหญิงกำลังคิดหาวิธีเพคะ….."

ฮองเฮา พยักหน้าและมิได้กล่าวอันใดต่อ นางนอนลงบนพระแท่นบรรทมแต่ไม่หลับ เอาแต่จ้องมองบนเพดานโดยไม่กะพริบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็หลั่งน้ำตาออกมา

มามาเห็นเช่นนี้ จึงหันหลังกลับอย่างอดใจไม่ได้ และเช็ดน้ำตาของตนอย่างเงียบๆ

ผ่านไปสองสามวัน ฮองเฮาทรงประชวรหนักยิ่งขึ้น ในที่สุดเรื่องก็ถึงหูของจักรพรรดิหนิง จักรพรรดิหนิงยิ้มอย่างเย็นชา พระองค์มิได้ตรัสอันใดมาก และเสียงขอเข้าเฝ้าของมหาเสนาบดีก็ดังขึ้น

บ่ายของวันนั้น ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีทรงเข้าวังซีอู๋พร้อมสาวใช้ ทันทีที่เข้าไปในตำหนักก็พบว่าลูกสาวของตนนั้นนอนนิ่งเหมือนหุ่นเชิดอยู่บนพระแท่นบรรทม ดวงตาของนางว่างเปล่า ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไป ทำให้ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีหลั่งน้ำตาออกมาใน แล้วรีบดึงตัวมามาที่อยู่ข้างๆตนเข้าไปหานางพร้อมกล่าว "พระราชินีเพคะ ฝ่าบาททรงมิอนุญาตให้หม่อมฉันนำหมอมาเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่มีทางเลือก จึงได้หาหมอหญิงมา นางมีฝีมือการรักษาที่ไม่เลว จึงได้ให้นางปลอมตัวเป็นมามาแล้วพาเข้าวังมาเพคะ เหนียงเหนียงให้วินิจฉัยดีหรือไม่เพคะ"

หลี่อี้หรานหันหน้ามามองฮูหยินอัครมหาเสนาบดี ตะลึงอยู่นาน จึงได้ยินสิ่งที่นางพูดอย่างชัดเจน แล้วจึงค่อย ๆ ยืนมือออกมา คนที่แต่งตัวเป็นมามาก็ก้าวเข้าไป และจับชีพจรของนางอยู่นาน แล้วจึงกล่าวว่า "พระราชินีทรงพิโรธอย่างหนัก จึงได้เกิดผลไม่ดีต่อพระวรกาย หากว่าพักผ่อนดีๆ ย่อมไม่เป็นอันใดเพคะ เพียงแค่ว่าไม่เหมาะที่จะทรงเสียพระทัยอีกเพคะ มิเช่นนั้นอาจส่งผลต่อพระวรกายไม่ช้าก็เร็วเพคะ"

ผ่านไปอยู่นาน จึงได้กล่าวอย่างลังเลอีกว่า "พระราชินีทรงเสวยพระอุโบสถที่แรงฤทธิ์อันใดไปหรือไม่เพคะ? เมื่อสักครู่นั้นหม่อมฉันได้พบว่า พระวรกายของพระราชินีทรงอ่อนแรงอย่างมากเพคะ หากเป็นเช่นนี้พระราชินีทรงมิควรเศร้าโศกไปมากกว่านี้เพคะ มิเช่นนั้นพระวรกายของพระองค์ทรงรับไม่ไหวเพคะ"

หญิงสาวผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า

เมื่อพระราชินีได้ยินเช่นนั้น จึงได้จับขอบพระแท่นบรรทมไว้ นัยน์ตาของนางพร่ามัวเล็กน้อย ค่อย ๆ แผ่วลงอย่างสิ้นหวัง แต่สุดท้ายนางกลับหัวเราะขึ้นมาอย่างเสียงดัง "ดีมาก ดีเหลือเกิน ข้าคิดเสมอว่าในวังหลังแห่งนี้มีเพียงแต่ข้าที่เอาแต่ประสงค์ต่อคนอื่น แต่ไม่คาดคิด;jkข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว"

ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีก็ตะลึงอย่างมากเช่นกัน เอาแต่กล่าวซ้ำๆ ว่า " เป็นไปได้อย่างไร จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?" แต่เมื่อเห็นพระราชินีเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเป็นกังวลใจมาก กลัวฮองเฮาจะเรื่องโง่ๆ อันใดออกมา หลังจากที่นางหัวเราะเสร็จ นางก็นั่งอยู่ข้างพระแท่นบรรทมอย่างเหม่อลอย จึงรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมาทันที และรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปหมด "มันเป็นความผิดของนายท่าน ลูกสาวของข้าอยู่เป็นสุขดีๆ ดันจะส่งนางมาในวังหลังอันน่ากลัวเช่นนี้ มันเป็นบาปกรรมอะไรของนางกันหรือ…"

ทันใดนั้นวังซีอู๋ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้

ในตำหนักชิงซิน หยุนชางฟังข่าวที่เฉี่ยนอินนำมารายงาน จึงยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย " ตอนนี้พระราชินีคงได้ลิ้มรสของการตรอมใจแล้วกระมั้ง ฮ่าๆ" พูดจบก็หันหน้าไปกล่าวกับฉินยีว่า "หลังจากที่เฉี่ยนยี่ดูอาการของฮองเฮาเรียบร้อยแล้ว นางได้ออกจากวังไปอย่างปลอดภัยหรือไม่?"

เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า "ท่านฮูหยินอัครมหาเสนาบดีดูไม่มีพิษมีภัยใดๆ แต่นางเป็นไม่ธรรมดาเช่นกัน นางได้ออกจากวังอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ระหว่างทางนั้นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีจงใจให้เกวียนม้านั้นขับไปยังที่รกร้าง และคิดจะลงมือกับเฉี่ยนยี่ โชคดีที่เฉี่ยนยีไหวตัวทันจึงหลบหนีไปได้ มิได้เกิดอันตรายใดๆ เพคะ ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีคิดไม่ถึงว่าเฉี่ยนยี่มีทักษะการต่อสู้ จึงได้พาผู้ติดตามที่ไม่ได้เก่งกาจมากนักมา จึงไม่เป็นอันตรายมากนักเพคะ"

หยุนชางพยักหน้า ยิ้มและหลับตาลง พร้อมนึกถึงสีหน้าที่ฮองเฮาทราบเรื่องนั้น นางก็รู้สึกมีความสุขอย่าง หัวจิ้งได้เข้าคุกไป ซิ่วซินเสียชีวิตแล้ว และตอนนี้นางก็ทราบว่านางไม่สามารถตั้งครรภ์อีกต่อไปได้ นางคงรู้สึกดีอย่างมากสินะ หยุนชางรู้สึกว่านี่เป็นปีที่ดีที่สุดในสองชาตินี้ของตนแล้ว

ฮองเฮากำลังเสียสิ่งที่ตนต้องการไปทีละน้อย ตอนนี้ชีวิตในคุกของหัวจิ้งเป็นสุขดี เพราะมีมหาเสนาบดีคอยดูแล แต่หยุนชางรู้ดีว่าเด็กในครรภ์ของหัวจิ้งค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ และอีกไม่นาน ชางเจียชิงซูก็จะมาที่พระราชวังแล้ว หัวจิ้งเองก็จะได้ลิ้มรสรสชาติของความตรอมใจละน้อย เมื่อได้เห็นศัตรูของตนแย่ลงเรื่อยๆ นางก็มีความสุขมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

เฉี่ยนอินอมยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า "องค์หญิงเพคะ เมื่อสักครู่จิ้งอ๋องทรงส่งข่าวมาว่า อยากจะเชิญองค์หญิงเสด็จประพาสที่ทะเลสาบเพคะ"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนชางก็ขมวดคิ้ว ยืนขึ้นและเดินเข้าตำหนักในไป "ไม่ไป"

เฉี่ยนอินแอบยิ้มขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทีเมื่อสักครู่ขององค์หญิงช่างดูตลกเหลือเกิน

เพียงแต่หยุนชางไม่คาดคิดว่า หลังจากที่ฮองเฮาได้รับความเจ็บปวดเช่นนั้นแล้ว นางไม่เสียใจเลยสักนิด แต่ทางตรงกันข้าม นางกลับดีขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก เนื่องด้วยเศร้าโศกที่จักรพรรดิหนิงสงสัยในก่อนหน้านี้ นางจึงมิได้เสวยอะไรมากนัก พระวรกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง แต่วันนี้กลับเริ่มเสวยกระยาหาร พระวรกายก็ค่อยๆ ดีขึ้น และมิได้เอาแต่ร้องไห้อยู่ในวังซีอู๋ ได้ข่าวว่าวันธรรมดานั้นก็ทรงอ่านหนังสือ ทรงเย็บปักถักร้อย เหมือนว่าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขทีเดียว

หยุนชางขมวดคิ้ว ไม่ทราบว่านางวางแผนอะไรอยู่ในใจ หยุนชางจึงส่งคนไปจับจ้องให้ดี แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ หยุนชางเองก็อดที่จะชื่นชมนางไม่ได้ นางสามารถต้านทานทุกอย่างได้อย่างที่เลื่องลือเสียจริง เพียงแต่ว่า ต้องมีบางอย่างอยู่ในความสงบนี้อย่างแน่นอน……

ชีวิตที่เงียบสงบก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ทุกคนก็เริ่มเก็บชุดฤดูหนาวไป แล้วเริ่มสวมชุดบางเบาในฤดูใบไม้ผลิแล้ว

วันที่สามเดือนมีนาคม เป็นเทศกาลท่าชิง (ออกนอกบ้าน) จิ้งอ๋องก็ทรงส่งบ่าวใช้มาเชิญหยุนชางเสด็จประพาสที่ชานเมือง เดิมทีหยุนชางไม่อยากที่จะไป แต่ได้ยินสมุนข่าวของท่านอ๋องกล่าวว่า "องค์หญิงขอรับ ท่านจิ้งอ๋องทรงตรัสว่า องค์ชายของแคว้นเย้หลางได้ออกเดินทางเมื่อวันที่25กุมภาพันธ์แล้วขอรับ ประมาณอีกครึ่งเดือนก็คงถึงพระราชวังขอรับ ท่านอ๋องทรงเชิญองค์หญิงไปหารือ ท่านอ๋องทรงตรัสว่าเรื่องนี้มีผลต่อเรื่องอภิเษกขององค์หญิงขอรับ จึงหวังว่าองค์หญิงจำต้องเดินทางเข้าพบท่านขอรับ"

หยุนชางตกตะลึง ไม่ทันใดก็ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ชางเจียชิงซูที่ตนรอคอยมาเป็นเวลานานกำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้ ท่านทูตของแคว้นเซี่ยก็คงจะถึงแล้วเช่นกัน ในวังนั้นมีขุนนางมากมายเช่นนี้ คนที่สามารถออกมาต้อนรับได้ก็มีเพียงแต่มหาเสนาบดีและจิ้งอ๋องแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ วันแห่งเสรีภาพของราชินีและหัวจิ้งคงอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อหยุนชางนึกถึงเรื่องนี้ จึงไม่สบอารมณ์ สองแม่ลูกฮองเฮานั้นคงไม่ทราบว่าอิสรภาพที่พวกนางรอคอยมานานนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่แท้จริง

หยุนชางขยับมุมปาก และอารมณ์ดีขึ้นมาทันที จึงตอบรับคำเชิญของท่านอ๋อง

เช้าตรู่ของวันที่ 3 มีนาคม หยุนชางตื่นขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกระโปรงสีขาวเรียบๆ และสวมผ้าคลุมสีน้ำเงินบางๆ ซึ่งงดงามจนทำให้ผู้คนมิอาจละสายตาไปได้

นางไปตำหนักฉินเจิ้งแต่เช้าตรู่เพื่อขอน้อมลาเสด็จพ่อ จากนั้นก็ออกจากพระราชวังไป เกวียนม้าของจวนจิ้งอ๋องได้รออยู่ที่นอกพระราชวังแล้ว แต่จิ้งอ๋องมิได้อยู่ในเกวียนม้า หยุนชางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากจึงขึ้นเกวียนม้าไป

เฉี่ยนอินและฉินยีกำลังพูดคุยกับหยุนชาง เกวียนม้าก็สะดุดและหยุดลงอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งสามที่อยู่ในเกวียนไม่ทันได้ตั้งตัว และเกือบตกลงมาจากเกวียนม้า……

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด