ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 535 พบแขก

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 535 พบแขก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าสาวงามที่รอการคัดเลือกส่วนใหญ่ได้มาถึงเมืองจิ่นแล้ว พี่ฉินยีก็มาถึงแล้วหรือไม่?” เฉี่ยนอินได้ยินหยุนชางพูดถึงการคัดเลือกสาวงามก็นึกถึงสิ่งที่หยุนชางเคยพูดเอาไว้ได้ ฉินยีไปฝึกสตรีที่กำลังจะถูกส่งตัวเข้าวัง ในเมื่อถึงเวลาคัดเลือกสาวงามแล้ว ฉินยีก็ควรจะกลับมาด้วยเช่นกัน

“ยังไม่มา ยังต้องรออีกสักระยะ นางยังมีบางสิ่งในมือที่ยังไม่ได้จัดการ อีกสามเดือนนางจึงจะมา” หยุนชางยิ้มบางๆ

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย หยุนชางก็นำสาวใช้ไปที่ศาลา ลั่วชิงเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงนั่งอยู่ในศาลานั้นจริง แต่พวกเขาไม่ได้สนทนากันแต่กำลังดูเอกสารในมืออยู่

หยุนชางยืนอยู่ที่ทางเข้าศาลาอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ลั่วชิงเหยียนก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้ เมื่อเห็นหยุนชางสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ตื่นแล้วหรือ? มาแล้วทำไมจึงไม่เข้ามาเล่า?”

หยุนชางจึงสาวเท้าก้าวเข้าไป หลังจากย่อกายคำนับหลิ่วหยินเฟิงแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายเขาแล้วกล่าวยิ้มๆ “เห็นว่าท่านอ๋องและคุณชายหลิ่วกำลังดูสิ่งเหล่านี้อยู่อย่างตั้งใจ เกรงว่าจะเข้ามารบกวนเพคะ”

ลั่วชิงเหยียนยิ้มเล็กน้อย เขาเก็บเอกสารในมือแล้ววางลงบนโต๊ะ “ตอนนี้เจ้าเพิ่งตื่นและยังไม่ได้รับประทานอาหาร คงหิวเป็นแน่ ข้าให้พ่อครัวเตรียมอาหารแล้ว เรามาทานอาหารกันก่อนเถอะ” ก่อนที่หยุนชางจะตอบ ลั่วชิงเหยียนก็หันศีรษะไปมองหลิ่วหยินเฟิง “พี่หลิวก็พักสักหน่อยเถอะ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เร่งด่วนประการใด พวกเราทานข้าวกันเถอะ”

หลิ่วหยินเฟิงจึงยิ้มน้อยๆ แล้ววางกระดาษลง แต่ไม่ได้มองหยุนชางแม่เพียงนิด

เมื่อเห็นเช่นนี้หยุนชางก็รู้ได้ว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว นางจึงสั่งคนจัดโต๊ะ เตรียมชามและตะเกียบภาชนะและนำอาหารมา

ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะ ลั่วชิงเหยียนตักน้ำแกงให้หยุนชางก่อน จากนั้นจึงพูดกับหลิ่วหยินเฟิงว่า “ข้าดูจากการคัดเลือกสตรีเข้าวังหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะจัดยิ่งใหญ่ที่สุด มีเหตุผลอะไรหรือ?”

หลิ่วหยินเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ปีนี้เป็นปีที่สามสิบในรัชสมัยของฝ่าบาท นี่เป็นประเพณีที่มีมาแต่เดิม นอกจากนี้โอรสธิดาของฝ่าบาทก็มียี่สิบเอ็ดคนแล้ว แต่กลับมีพระโอรสน้อยนัก ครั้งนี้เหล่าขุนนางจึงคิดว่าควรจัดการคัดเลือกครั้งใหญ่เพื่อให้ราชวงศ์มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

หยุนชางฟังอย่างเงียบๆ และคิดในใจว่าเป็นจริงดังที่หลิ่วหยินเฟิงกล่าวมา ถึงแม้ว่าในวังจะดูเหมือนมีองค์ชายองค์หญิงมากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่พวกเขาจะอายุครบสิบขวบเสียส่วนมาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้มีเพียงองค์หญิงเจ็ดพระองค์และองค์ชายสี่พระองค์เท่านั้น

ในบรรดาองค์ชายทั้งสี่ ลั่วชิงเหยียนนั้นพลัดถิ่นไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยและเพิ่งกลับสู่แคว้นเซี่ยในบัดนี้ องค์ชายเจ็ดถูกคนอื่นทำร้ายตั้งแต่ยังเด็กทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง ฉีอ๋องนับว่าปกติทั้งยังเฉลียวฉลาดแต่น่าเสียดายที่เสิ่นซู่เฟยมีพื้นเพเดิมเป็นนางกำนัลจึงได้รับการดูถูกเหยียดหยามมาตั้งแต่เล็ก องค์ชายคนสุดท้องคือองค์ชายสิบเก้า ได้ยินว่าเขาเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายของเขาอ่อนแอก่อนหน้านี้ไม่นานก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด หมอหลวงต่างใช้สารพัดวิธีเพื่อนำเขากลับมาจากเงื้อมมือของยมบาล เพียงแต่สุขภาพของเขาก็ได้ทรุดโทรมไปถึงแก่นแท้แล้ว แม้แต่เดินเพียงสองสามก้าวก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือคณานับ

เมื่อนับดูแล้วก็เห็นได้ว่าทายาทน้อยนัก ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าขุนนางร้อนรน เพียงแต่การให้กำเนิดองค์ชายในวังหลังที่ต้องระมัดระวังไปเสียทุกย่างก้าวนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายนักและต่อให้เกิดมาได้ การจะให้เติบโตมาอย่างปลอดภัยก็ดูเหมือนความหวังอันริบหรี่

หลิ่วหยินเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขากวาดมองหยุนชางอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พูดต่อ “เมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีโอกาสสนทนากับฝ่าบาท ดูเหมือนว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะให้มีการคัดเลือกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย… ดังนั้นครั้งนี้จัดยิ่งใหญ่หน่อยก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”

มือของหยุนชางจับตะเกียบแน่นขึ้น หลิ่วหยินเฟิงตั้งใจเตือนนางว่าหลังจากนี้เซี่ยหวนอวี่จะไม่ทำการคัดเลือกนางสนมอีก หยุนชางใคร่ครวญครู่หนึ่งก็กลับเป็นปกติ นางก้มศีรษะลงและรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

“เหล่าสาวงามที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ต่างก็งดงามอย่างยิ่ง สามตระกูลใหญ่ต่างก็ส่งสาวงามเข้ารับคัดเลือก สกุลหลิ่วมีหลานสาวของซือถูหลิ่วฉูฉู่ นางได้รับสมญานามว่าเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิ่น สกุลฮวามีฮวาอวี้ถงที่เป็นเลิศทั้งทางบุ๋นและทางบู๊ นางมีบุคลิกตรงไปตรงมา สกุลซูมีซูหรูอิงที่รูปโฉมโดดเด่นเกินผู้ใดและได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิ่น” หลิ่วหยินเฟิงยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ย

ฮวาอวี้ถง หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะเป็นหลานสาวของฮวากั๋วกง หยุนชางมาอยู่ที่แคว้นเซี่ยเป็นเวลาได้สามเดือนแล้ว แต่นางไม่เคยได้พบฮวาอวี้ถงด้วยตนเองเลย เพียงเคยได้ยินเสิ่นอี๋หลานกล่าวถึงเท่านั้น ได้ยินมาว่านางก็ชอบการฝึกปรือวิทยายุทธ์ หลังได้รับบาดเจ็บจากการตกลงจากหลังม้าเมื่อสองปีที่แล้วก็ถูกส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บที่อื่น

เพราะฮวาอวี้ถงไม่ได้เกิดจากฮวากั๋วกงโดยตรง นางเป็นเพียงหลานสาวเท่านั้น ก่อนหน้านี้หยุนชางจึงไม่ได้ใส่ใจนางมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจวนกั๋วกงจะส่งนางเข้าวัง เรื่องนี้ดูไม่สอดคล้องกับนิสัยของฮวากั๋วกงนัก

“เจ้าเหม่ออะไร” ชามถูกเคาะเบาๆ หยุนชางจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบางๆ ให้ลั่วชิงเหยียนและกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเสิ่นอี๋หลานกล่าวถึงนางว่านางตกจากหลังม้าเมื่อสองปีก่อน บาดเจ็บไม่เบาเลย จึงถูกส่งตัวไปพักฟื้นที่อื่น คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามด้วย ข้าไม่ได้ไปที่จวนกั๋วกงมานานมากแล้ว ตอนบ่ายนี้ข้าจะไปสักหน่อย”

ลั่วชิงเหยียนพยักหน้า “ไปเถอะ จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไว้เมื่อวานนี้ด้วย”

หยุนชางอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกออก คงจะเป็นเรื่องที่ให้นางพาสายลับไปด้วยอย่างน้อยสี่สิบคนยามออกนอกจวนกระมัง หยุนชางคิดพลางหัวเราะขึ้น สายลับสี่สิบคนงั้นหรือ เกรงว่านั่นคงไม่อาจเรียกว่าสายลับได้อีก โดยปกติแล้วสายลับมักแฝงตัวอยู่ในความมืด ส่วนมากมักอยู่ในที่ลับเช่นคาน หลังคาหรือใต้เตียง สายลับสี่สิบคนนั้นหากเข้ามาในห้องคงจะเต็มห้องทีเดียว เมื่อหยุนชางคิดได้ดังนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หยุนชางก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัว นางให้สาวใช้นำยาลูกกลอนที่หยุนชางทำไว้เล่นๆ ยามว่างพกติดตัวไปด้วย เมื่อจะออกจากจวนนางก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงหยุดฝีเท้าและหันไปหาเฉี่ยนอิน “เจ้าให้สายลับดูหน่อยว่าเหล่าสาวงามพวกนั้นไปไหนมาไหนมีผู้สะกดรอยตามหรือไม่ หากมีเจ้าก็จัดการให้หลินโยวหรานไปรอข้าที่หอโหลวไว่ในตรอกซีหมิงในยามพลบค่ำ”

เฉี่ยนอินขานรับแล้วจึงจากไปสั่งการ หยุนชางจึงนำเฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วไปยังจวนกั๋วกง

กั๋วกงฮูหยินเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน เมื่อได้ยินว่าหยุนชางมาแล้ว ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย นางรับสั่งว่า “รีบนำพระชายามาที่นี่เร็ว อ้อ แล้วดอกมะลิสดที่ให้เก็บเมื่อวันก่อนคั่วดีหรือยัง? ไปต้มชามะลิมาให้นางด้วย”

ด้านหลังของกั๋วกงฮูหยินเป็นหญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด นางสวมชุดทะมัดทะแมงสีน้ำเงินเข้มท่าทางกระฉับกระเฉง รูปโฉมสวยสดงดงาม เมื่อได้ยินกั๋วกงฮูหยินกล่าวเช่นนี้ แววตาก็ฉายประกายอยากรู้อยากเห็นขึ้น นางแสร้งทำแก้มป่องราวไม่พอใจและกล่าวว่า “พอท่านป้าเห็นพระชายารุ่ยอ๋องก็ลืมถงเอ๋อร์เสียแล้ว ถงเอ๋อร์ไม่ยอมนะเจ้าคะ”

“ไม่ลืมๆ ถงเอ๋อร์ของเราก็ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด” กั๋วกงฮูหยินกล่าวเช่นนี้ แต่สายตาของนางจับจ้องไปที่ประตูอย่างมาวางตา

ฮวาอวี้ถงไม่ได้ซ่อนความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาของนางอีก จึงมองไปทางประตูด้วย “ถงเอ๋อร์กลับมาได้เพียงสี่ห้าวันก็ได้ยินท่านป้าพูดถึงพระชายารุ่ยอ๋องนี้เสียหลายสิบครั้งแล้ว ถงเอ๋อร์อยากจะเห็นนักว่าคนเช่นไรจึงสามารถทำให้ท่านป้าโปรดปรานได้ถึงเพียงนี้”

ในขณะที่นางพูด หยุนชางก็ก้าวเข้ามา ฮวาอวี้ถงรู้สึกว่าภายในห้องสว่างไสวขึ้นในทันใด หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนซึ่งดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เมื่อผสานเข้ากับใบหน้าที่งามพริ้มเพราหาใดเปรียบนั้นก็ทำให้รู้สึกว่าชุดกระโปรงที่ไม่พิเศษนั้นราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

“ชางเอ๋อร์มาแล้วเพคะท่านยาย” เสียงของหยุนชางนุ่มนวลและนัยน์ตาของนางก็นุ่มนวลมากทั้งยังย่อกายคำนับกั๋วกงฮูหยินอย่างนุ่มนวล

กั๋วกงฮูหยินรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคิดว่าชางเอ๋อร์ลืมหญิงชราคนนี้ไปแล้ว” นางกล่าวพลางมองสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “ยังไม่รีบพานางไปนั่งอีก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง 535 พบแขก

Now you are reading ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง Chapter 535 พบแขก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าสาวงามที่รอการคัดเลือกส่วนใหญ่ได้มาถึงเมืองจิ่นแล้ว พี่ฉินยีก็มาถึงแล้วหรือไม่?” เฉี่ยนอินได้ยินหยุนชางพูดถึงการคัดเลือกสาวงามก็นึกถึงสิ่งที่หยุนชางเคยพูดเอาไว้ได้ ฉินยีไปฝึกสตรีที่กำลังจะถูกส่งตัวเข้าวัง ในเมื่อถึงเวลาคัดเลือกสาวงามแล้ว ฉินยีก็ควรจะกลับมาด้วยเช่นกัน

“ยังไม่มา ยังต้องรออีกสักระยะ นางยังมีบางสิ่งในมือที่ยังไม่ได้จัดการ อีกสามเดือนนางจึงจะมา” หยุนชางยิ้มบางๆ

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย หยุนชางก็นำสาวใช้ไปที่ศาลา ลั่วชิงเหยียนและหลิ่วหยินเฟิงนั่งอยู่ในศาลานั้นจริง แต่พวกเขาไม่ได้สนทนากันแต่กำลังดูเอกสารในมืออยู่

หยุนชางยืนอยู่ที่ทางเข้าศาลาอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ลั่วชิงเหยียนก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกได้ เมื่อเห็นหยุนชางสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ตื่นแล้วหรือ? มาแล้วทำไมจึงไม่เข้ามาเล่า?”

หยุนชางจึงสาวเท้าก้าวเข้าไป หลังจากย่อกายคำนับหลิ่วหยินเฟิงแล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายเขาแล้วกล่าวยิ้มๆ “เห็นว่าท่านอ๋องและคุณชายหลิ่วกำลังดูสิ่งเหล่านี้อยู่อย่างตั้งใจ เกรงว่าจะเข้ามารบกวนเพคะ”

ลั่วชิงเหยียนยิ้มเล็กน้อย เขาเก็บเอกสารในมือแล้ววางลงบนโต๊ะ “ตอนนี้เจ้าเพิ่งตื่นและยังไม่ได้รับประทานอาหาร คงหิวเป็นแน่ ข้าให้พ่อครัวเตรียมอาหารแล้ว เรามาทานอาหารกันก่อนเถอะ” ก่อนที่หยุนชางจะตอบ ลั่วชิงเหยียนก็หันศีรษะไปมองหลิ่วหยินเฟิง “พี่หลิวก็พักสักหน่อยเถอะ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เร่งด่วนประการใด พวกเราทานข้าวกันเถอะ”

หลิ่วหยินเฟิงจึงยิ้มน้อยๆ แล้ววางกระดาษลง แต่ไม่ได้มองหยุนชางแม่เพียงนิด

เมื่อเห็นเช่นนี้หยุนชางก็รู้ได้ว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว นางจึงสั่งคนจัดโต๊ะ เตรียมชามและตะเกียบภาชนะและนำอาหารมา

ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะ ลั่วชิงเหยียนตักน้ำแกงให้หยุนชางก่อน จากนั้นจึงพูดกับหลิ่วหยินเฟิงว่า “ข้าดูจากการคัดเลือกสตรีเข้าวังหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะจัดยิ่งใหญ่ที่สุด มีเหตุผลอะไรหรือ?”

หลิ่วหยินเฟิงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ปีนี้เป็นปีที่สามสิบในรัชสมัยของฝ่าบาท นี่เป็นประเพณีที่มีมาแต่เดิม นอกจากนี้โอรสธิดาของฝ่าบาทก็มียี่สิบเอ็ดคนแล้ว แต่กลับมีพระโอรสน้อยนัก ครั้งนี้เหล่าขุนนางจึงคิดว่าควรจัดการคัดเลือกครั้งใหญ่เพื่อให้ราชวงศ์มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

หยุนชางฟังอย่างเงียบๆ และคิดในใจว่าเป็นจริงดังที่หลิ่วหยินเฟิงกล่าวมา ถึงแม้ว่าในวังจะดูเหมือนมีองค์ชายองค์หญิงมากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่พวกเขาจะอายุครบสิบขวบเสียส่วนมาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้มีเพียงองค์หญิงเจ็ดพระองค์และองค์ชายสี่พระองค์เท่านั้น

ในบรรดาองค์ชายทั้งสี่ ลั่วชิงเหยียนนั้นพลัดถิ่นไปตั้งแต่ยังเยาว์วัยและเพิ่งกลับสู่แคว้นเซี่ยในบัดนี้ องค์ชายเจ็ดถูกคนอื่นทำร้ายตั้งแต่ยังเด็กทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง ฉีอ๋องนับว่าปกติทั้งยังเฉลียวฉลาดแต่น่าเสียดายที่เสิ่นซู่เฟยมีพื้นเพเดิมเป็นนางกำนัลจึงได้รับการดูถูกเหยียดหยามมาตั้งแต่เล็ก องค์ชายคนสุดท้องคือองค์ชายสิบเก้า ได้ยินว่าเขาเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายของเขาอ่อนแอก่อนหน้านี้ไม่นานก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด หมอหลวงต่างใช้สารพัดวิธีเพื่อนำเขากลับมาจากเงื้อมมือของยมบาล เพียงแต่สุขภาพของเขาก็ได้ทรุดโทรมไปถึงแก่นแท้แล้ว แม้แต่เดินเพียงสองสามก้าวก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือคณานับ

เมื่อนับดูแล้วก็เห็นได้ว่าทายาทน้อยนัก ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าขุนนางร้อนรน เพียงแต่การให้กำเนิดองค์ชายในวังหลังที่ต้องระมัดระวังไปเสียทุกย่างก้าวนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายนักและต่อให้เกิดมาได้ การจะให้เติบโตมาอย่างปลอดภัยก็ดูเหมือนความหวังอันริบหรี่

หลิ่วหยินเฟิงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขากวาดมองหยุนชางอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็พูดต่อ “เมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีโอกาสสนทนากับฝ่าบาท ดูเหมือนว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะให้มีการคัดเลือกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย… ดังนั้นครั้งนี้จัดยิ่งใหญ่หน่อยก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”

มือของหยุนชางจับตะเกียบแน่นขึ้น หลิ่วหยินเฟิงตั้งใจเตือนนางว่าหลังจากนี้เซี่ยหวนอวี่จะไม่ทำการคัดเลือกนางสนมอีก หยุนชางใคร่ครวญครู่หนึ่งก็กลับเป็นปกติ นางก้มศีรษะลงและรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ

“เหล่าสาวงามที่มาเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้ต่างก็งดงามอย่างยิ่ง สามตระกูลใหญ่ต่างก็ส่งสาวงามเข้ารับคัดเลือก สกุลหลิ่วมีหลานสาวของซือถูหลิ่วฉูฉู่ นางได้รับสมญานามว่าเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิ่น สกุลฮวามีฮวาอวี้ถงที่เป็นเลิศทั้งทางบุ๋นและทางบู๊ นางมีบุคลิกตรงไปตรงมา สกุลซูมีซูหรูอิงที่รูปโฉมโดดเด่นเกินผู้ใดและได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิ่น” หลิ่วหยินเฟิงยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ย

ฮวาอวี้ถง หยุนชางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะเป็นหลานสาวของฮวากั๋วกง หยุนชางมาอยู่ที่แคว้นเซี่ยเป็นเวลาได้สามเดือนแล้ว แต่นางไม่เคยได้พบฮวาอวี้ถงด้วยตนเองเลย เพียงเคยได้ยินเสิ่นอี๋หลานกล่าวถึงเท่านั้น ได้ยินมาว่านางก็ชอบการฝึกปรือวิทยายุทธ์ หลังได้รับบาดเจ็บจากการตกลงจากหลังม้าเมื่อสองปีที่แล้วก็ถูกส่งตัวไปรักษาอาการบาดเจ็บที่อื่น

เพราะฮวาอวี้ถงไม่ได้เกิดจากฮวากั๋วกงโดยตรง นางเป็นเพียงหลานสาวเท่านั้น ก่อนหน้านี้หยุนชางจึงไม่ได้ใส่ใจนางมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจวนกั๋วกงจะส่งนางเข้าวัง เรื่องนี้ดูไม่สอดคล้องกับนิสัยของฮวากั๋วกงนัก

“เจ้าเหม่ออะไร” ชามถูกเคาะเบาๆ หยุนชางจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบางๆ ให้ลั่วชิงเหยียนและกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินเสิ่นอี๋หลานกล่าวถึงนางว่านางตกจากหลังม้าเมื่อสองปีก่อน บาดเจ็บไม่เบาเลย จึงถูกส่งตัวไปพักฟื้นที่อื่น คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าร่วมการคัดเลือกสาวงามด้วย ข้าไม่ได้ไปที่จวนกั๋วกงมานานมากแล้ว ตอนบ่ายนี้ข้าจะไปสักหน่อย”

ลั่วชิงเหยียนพยักหน้า “ไปเถอะ จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไว้เมื่อวานนี้ด้วย”

หยุนชางอึ้งงันไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกออก คงจะเป็นเรื่องที่ให้นางพาสายลับไปด้วยอย่างน้อยสี่สิบคนยามออกนอกจวนกระมัง หยุนชางคิดพลางหัวเราะขึ้น สายลับสี่สิบคนงั้นหรือ เกรงว่านั่นคงไม่อาจเรียกว่าสายลับได้อีก โดยปกติแล้วสายลับมักแฝงตัวอยู่ในความมืด ส่วนมากมักอยู่ในที่ลับเช่นคาน หลังคาหรือใต้เตียง สายลับสี่สิบคนนั้นหากเข้ามาในห้องคงจะเต็มห้องทีเดียว เมื่อหยุนชางคิดได้ดังนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หยุนชางก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัว นางให้สาวใช้นำยาลูกกลอนที่หยุนชางทำไว้เล่นๆ ยามว่างพกติดตัวไปด้วย เมื่อจะออกจากจวนนางก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงหยุดฝีเท้าและหันไปหาเฉี่ยนอิน “เจ้าให้สายลับดูหน่อยว่าเหล่าสาวงามพวกนั้นไปไหนมาไหนมีผู้สะกดรอยตามหรือไม่ หากมีเจ้าก็จัดการให้หลินโยวหรานไปรอข้าที่หอโหลวไว่ในตรอกซีหมิงในยามพลบค่ำ”

เฉี่ยนอินขานรับแล้วจึงจากไปสั่งการ หยุนชางจึงนำเฉี่ยนหลิ่วและเฉี่ยนจั๋วไปยังจวนกั๋วกง

กั๋วกงฮูหยินเพิ่งตื่นจากการนอนกลางวัน เมื่อได้ยินว่าหยุนชางมาแล้ว ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย นางรับสั่งว่า “รีบนำพระชายามาที่นี่เร็ว อ้อ แล้วดอกมะลิสดที่ให้เก็บเมื่อวันก่อนคั่วดีหรือยัง? ไปต้มชามะลิมาให้นางด้วย”

ด้านหลังของกั๋วกงฮูหยินเป็นหญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด นางสวมชุดทะมัดทะแมงสีน้ำเงินเข้มท่าทางกระฉับกระเฉง รูปโฉมสวยสดงดงาม เมื่อได้ยินกั๋วกงฮูหยินกล่าวเช่นนี้ แววตาก็ฉายประกายอยากรู้อยากเห็นขึ้น นางแสร้งทำแก้มป่องราวไม่พอใจและกล่าวว่า “พอท่านป้าเห็นพระชายารุ่ยอ๋องก็ลืมถงเอ๋อร์เสียแล้ว ถงเอ๋อร์ไม่ยอมนะเจ้าคะ”

“ไม่ลืมๆ ถงเอ๋อร์ของเราก็ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด” กั๋วกงฮูหยินกล่าวเช่นนี้ แต่สายตาของนางจับจ้องไปที่ประตูอย่างมาวางตา

ฮวาอวี้ถงไม่ได้ซ่อนความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาของนางอีก จึงมองไปทางประตูด้วย “ถงเอ๋อร์กลับมาได้เพียงสี่ห้าวันก็ได้ยินท่านป้าพูดถึงพระชายารุ่ยอ๋องนี้เสียหลายสิบครั้งแล้ว ถงเอ๋อร์อยากจะเห็นนักว่าคนเช่นไรจึงสามารถทำให้ท่านป้าโปรดปรานได้ถึงเพียงนี้”

ในขณะที่นางพูด หยุนชางก็ก้าวเข้ามา ฮวาอวี้ถงรู้สึกว่าภายในห้องสว่างไสวขึ้นในทันใด หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนซึ่งดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เมื่อผสานเข้ากับใบหน้าที่งามพริ้มเพราหาใดเปรียบนั้นก็ทำให้รู้สึกว่าชุดกระโปรงที่ไม่พิเศษนั้นราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

“ชางเอ๋อร์มาแล้วเพคะท่านยาย” เสียงของหยุนชางนุ่มนวลและนัยน์ตาของนางก็นุ่มนวลมากทั้งยังย่อกายคำนับกั๋วกงฮูหยินอย่างนุ่มนวล

กั๋วกงฮูหยินรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคิดว่าชางเอ๋อร์ลืมหญิงชราคนนี้ไปแล้ว” นางกล่าวพลางมองสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “ยังไม่รีบพานางไปนั่งอีก”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+