Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน 999

Now you are reading Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน Chapter 999 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 999 ตัวหมากและผู้เล่น

แปลโดย iPAT 

 

‘ข้าเริ่มต้นได้ดี ตราบเท่าที่ข้ารักษาความได้เปรียบนี้ไว้ คฤหาสน์วิญญาณอมตะจะเป็นของข้า!’

 

ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวกระตุ้นตนเองอย่างลับๆ เขารู้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือการรักษาความได้เปรียบในปัจจุบัน

 

ตามกฎ ลำดับที่สองที่สามารถเข้าสู่การแข่งขันคือผู้อมตะจากตระกูลวู วูเติ้งจื่อ

 

วูเติ้งจื่อเลือกตัวหมากที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าเพราะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า นั่นก็คือวูเฉิงตงผู้ใช้วิญญญาณระดับสี่

 

‘หวังว่าเซียวซานจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง’

 

แต่ความปรารถนาของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวคือสิ่งที่ผู้อมตะภาคใต้คนอื่นๆไม่เต็มใจให้เกิดขึ้น

 

ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวมีข้อได้เปรียบ ดังนั้นผู้อมตะภาคใต้คนอื่นๆจึงต้องการเห็นความพ่ายแพ้หรือความตายของเซียวซานเพื่อลบความได้เปรียบของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวทิ้งไป

 

วูเฉินตงกำลังเดินทางไปยังภูเขาอี้เทียน

 

“ทุกคน ภารกิจกำจัดคนชั่วครั้งนี้เราต้องทำอย่างเต็มที่โดยไม่สนค่าใช้จ่าย” วูเฉินตงชี้นิ้วไปที่ภูเขาอี้เทียนด้วยการแสดงออกที่ดุดัน

 

มีผู้ใช้วิญญาณระดับสามและสี่มากมายอยู่รอบตัวเขา

 

หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสของตระกูลวูซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันวูเฉินตง อีกสองคนเป็นผู้นำหมู่บ้านภายใต้การปกครองของตระกูลวู

 

วูเฉินตงเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ขั้นสุดยอดบนเส้นทางแห่งทาส เขาเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอและดูเหมือนจะไม่สามารถยืนเผชิญหน้ากับสายลมหนาวได้เป็นเวลานาน

 

แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเขาเพราะเขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งทาส ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางสายนี้สามารถต่อสู้กับกองทัพขนาดใหญ่ด้วยตัวเขาเองเพียงลำพัง

 

“บนภูเขาอี้เทียน บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดคือเซียวซาน ถัดจากเขาคือซันเพิ่งหูและจ้าวซิงซิง ทั้งสองต่างเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ในความคิดเห็นของข้า พวกเราไม่ควรรีบร้อนแต่ควรเชิญผู้ใช้วิญญาณฝ่ายธรรมะให้เข้าร่วม สิ่งนี้จะทำให้พวกเรามีความได้เปรียบ นอกจากนั้นเรายังสามารถป้องกันไม่ให้ปีศาจเหล่านี้หลบหนี” ผู้นำหมู่บ้านระดับสี่กล่าว

 

การแสดงออกของวูเฉินตงกลายเป็นมืดครึ้ม เขาต้องการทำเช่นนี้เช่นกัน แต่ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ถูกจำกัดด้วยกรอบของเวลา มันทั้งเข้มงวดและเร่งรีบ วูเฉินตงยังอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเขากลายเป็นเครื่องสังเวชของความขัดแย้งภายในตระกูลหรือไม่

 

เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรวบรวมคนเหล่านี้มาอยู่ข้างกาย

 

แต่วูเฉินตงจะไม่มีวันเข้าใจแม้เขาจะตายไปแล้วว่ากระทั่งตัวตนระดับสูงของตระกูลก็เป็นเพียงเครื่องมือของผู้อมตะเท่านั้น เขาไม่แม้แต่จะรู้ว่าตอนนี้มีผู้อมตะของภาคใต้มากมายเพียงใดที่กำลังเพ่งมองมาที่เขา

 

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีกต่อไป ตราบเท่าที่ทุกคนปกป้องข้า แม้พวกเขาจะมีพลังการต่อสู้ระดับห้า แต่พวกเขาจะเผชิญหน้ากับกองทัพสัตว์ร้ายได้นานเพียงใด? เมื่อพลังวิญญาณของพวกเขาหมดสิ้น ชัยชนะจะเป็นของพวกเรา นอกจากนี้ข้ายังมาด้วยตนเอง แน่นอนว่าข้าย่อมมีความมั่นใจว่าจะไม่ส่งตนเองไปตาย!”

 

วูเฉิงตงกล่าวยกขวัญกำลังใจ

 

ครู่ต่อมาคลื่นสัตว์อสูรจึงเคลื่อนทัพไปยังหมู่บ้านอี้เทียนที่ยังสร้างไม่เสร็จ

 

กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย พวกเขาเคยชินกับการต่อสู้เพียงลำพัง แม้เซียวซานจะพยายามจัดระเบียบ แต่ในระยะเวลาสั้น มันยังมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

เซียวซานรู้สึกกังวลและเริ่มคิด ‘หมู่บ้านอี้เทียนพึ่งถูกสร้างขึ้น การต่อสู้ครั้งแรกกับฝ่ายธรรมะ พวกเราไม่สามารถพ่ายแพ้ มิฉะนั้นขวัญกำลังใจของผู้คนจะจมดิ่งลง เมื่อชื่อเสียงถูกทำลาย แล้วผู้ใดจะต้องการมาที่นี่และเข้าร่วมกับข้า!’

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวซานเร่งออกคำสั่งกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจให้ปกป้องหมู่บ้านด้วยชีวิตของพวกเขา

 

เซียวซานคิดได้ถูกต้องแต่เขาประเมินความร่วมมือของผู้ใช้วิญญาณปีศาจสูงเกินไป

 

หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวกับฝ่ายธรรมะ ฝ่ายปีศาจมักได้รับชัยชนะ แต่เมื่อมีจำนวนคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝ่ายธรรมะมักได้รับชัยชนะ

 

แรกเริ่มฝูงสัตว์อสูรจำนวนมากตกตายลงภายใต้การโจมตีของกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจ

 

แต่ในไม่ช้าการโจมตีของกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจก็เริ่มเบาบางลง ท้ายที่สุดแล้วพลังวิญญาณของผู้ใช้วิญญาณก็มีอยู่อย่างจำกัด

 

ฝูงสัตว์อสูรพุ่งผ่านการโจมตีของผู้ใช้วิญญาณปีศาจและเริ่มเข่นฆ่าพวกเขา

 

สถานการณ์เอนเอียงไปทางฝ่ายธรรมะทันที

 

“ดี”

 

“เยี่ยมมาก!”

 

ผู้อมตะภาคใต้ที่เฝ้าดูอยู่รู้สึกยินดี

 

ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวกลายเป็นมืดครึ้ม

 

เซียวซานเป็นทหารผ่านศึก เห็นสถานการณ์ไม่ดี เขาเร่งตะโกน “ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าไปกับข้า เราจะไปสังหารผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาส คนอื่นๆค่อยๆถอยขณะต่อสู้ไปพร้อมกัน!”

 

ปัจจุบันฝ่ายปีศาจพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ตรงข้ามกับฝ่ายธรรมะ แม้พวกเขาจะมีสมาชิกไม่มาก แต่พวกเขากลับไม่สูญเสียผู้ใด

 

คำกล่าวของเซียวซานได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

 

ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าเข้ามารวมกลุ่มรอบๆเซียวซานด้วยความสนุกสนาน อย่างไรก็ตามใบหน้าของผู้ใช้วิญญาณระดับสองและสามกลับซีดเผือด

 

กลุ่มผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง หากเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาจะสามารถตีฝ่าวงล้อมและหลบหนี ขณะที่ผู้ใช้วิญญาณระดับต่ำจะติดอยู่ในวงล้อมของสัตว์อสูรและทำได้เพียงรอคอยกำลังเสริมเท่านั้น

 

มีเพียงฟางหยวนที่แม้จะแสดงออกด้วยความกังวลแต่เขายังรู้สึกสบายใจ

 

หลังจากทั้งหมดแม้ฝูงสัตว์อสูรจะมีมากกว่านี้อีกร้อยเท่า มันก็ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา นอกจากนั้นเขายังมีความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าและรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น

 

ดังคาด สถานการณ์พัฒนาไปเกือบเหมือนชีวิตก่อนหน้าของเขา

 

ผู้ใช้วิญญาณปีศาจตีฝ่าวงล้อมของฝูงสัตว์อสูรและสามารถก้าวไปข้างหน้า แม้บางคนจะเสียชีวิตระหว่างทาง แต่พวกเขาก็เข้าถึงตัววูเฉิงตงได้ในที่สุด

 

เซียวซาน ซันเพิ่งหู และจ้าวซิงซิงถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวและชิงโจมตีฝ่ายตรงข้าม

 

หลังการต่อสู้อันดุเดือด ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่สองคนของฝ่ายธรรมะเสียชีวิต ขณะที่วูเฉิงตงถอยกลับด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส

 

ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ที่เหลือของตระกูลวูพยายามต่อต้านฝ่ายปีศาจด้วยความสิ้นหวัง

 

ในจังหวะสำคัญฝูงวิหคอสูรบินกลับมาช่วยชีวิตของวูเฉิงตงเอาไว้ได้ทันเวลา

 

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยออกจากภูเขาอี้เทียน

 

คืนนั้นเซียวซานรวบรวมกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจมาที่ถ้ำแห่งหนึ่ง

 

เขาตะโกนด้วยร่างกายที่อาบย้อมไปด้วยเลือด “วูเฉิงตงยังไม่ตาย เขาเป็นภัยคุกคามต่อพวกเรา ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิต เราจะเผชิญกับภัยคุกคามจากฝูงสัตว์อสูรอย่างไม่รู้สิ้นสุด เขาจำเป็นต้องฆ่าเขา มิฉะนั้นหมู่บ้านอี้เทียนจะไม่เกิดขึ้น”

 

เซียวซานกล่าวจบแต่กลับไร้เสียงตอบรับ

 

กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจประสบความสูญเสียอย่างหนัก ตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลงอย่างมาก

 

ผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามผู้หนึ่งกล่าวด้วยความหดหู่ “ท่านผู้นำ เราควรถอย ฝ่ายธรรมะแข็งแกร่งเกินไป เป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะไม่สามารถเอาชนะ แต่เราสามารถแก้แค้นในภายหลัง เราควรออกจากสถานที่แห่งนี้และสร้างหมู่บ้านอี้เทียนขึ้นมาใหม่บนภูเขาลูกอื่น”

 

ดวงตาของเซียวซานส่องประกายเย็นเยียบและโจมตีทันที

 

เขาใช้กระบี่สังหารผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นั้นในครั้งเดียว “คนผู้นี้พยายามสั่นคลอนเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของพวกเรา เขาสมควรตาย! หากผู้ใดกล้าร้องขอให้ถอย จุบจบของคนผู้นั้นจะไม่ต่างจากเขา!”

 

ซันเพิ่งหูกับจ้าวซิงซิงก้าวออกไปยืนอยู่สองข้างของเซียวซาน

 

กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจตกตะลึงกับท่าทีของเซียวซาน พวกเขาปรึกษากันอย่างรวดเร็วและตัดสินใจที่จะต่อสู้

 

การแสดงออกของเซียวซานผ่อนคลายลง “ข้ารู้ว่าทุกคนมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บใดที่สามารถเปรียบเทียบกับพี่น้องของเราที่เสียสละตนเองในวันนี้ถูกต้องหรือไม่? ตอนนี้ทุกคนสามารถพักผ่อนอยู่ในถ้ำ พรุ่งนี้เราจะรวมพลังกันต่อสู้และสังหารวูเฉินตง พวกเราจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะตาย!”

 

ทุกคนเร่งตอบรับ ฟางหยวนอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยเลือดที่ยังหลั่งไหล แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง

 

ถ้ำแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก มันไม่เพียงพอให้ผู้ใช้วิญญาณปีศาจทุกคนอาศัยอยู่

 

ในไม่ช้าถ้ำก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กลิ่นปัจสาวะ และกลิ่นอุจจาระผสมผสานกัน

 

แม้มันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ใช้วิญญาณปีศาจแต่เมื่อคิดถึงการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับ

 

มีเพียงฟางหยวนที่หลับสนิทและยังกรนเสียงดัง

 

เซียวซานเปิดเปลือกตาขึ้นและเผยรอยยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงกรนของฟางหยวน “ชายผู้นี้ไม่กังวลสิ่งใดเลย”

 

เสียงของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน

 

เซียวซานกล่าวต่อ “ทุกคน อย่ากังวล ข้ามั่นใจมากกับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ วูเฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาต้องตายในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน ข้า เซียวซาน ขอสาบานว่าข้าจะไม่หลบหนีไปที่ใด หากข้าผิดคำพูด ขอให้สวรรค์พิพากษา!”

 

กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจชื่นชมความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของเซียวซาน

 

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเซียวซานทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้รับมรดกจากบรรพชนผู้อมตะของตระกูลเซียว

 

ผู้ใช้วิญญาณปีศาจทั้งหมดในถ้ำก็คือตัวหมากเบี้ยของเซียวซาน

 

ในคืนนี้ ผู้เล่นหมากรุก บรรพชนตระกูลเซียวก็รู้สึกกังวลเช่นกัน

 

หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนในวันนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวเร่งเดินทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งและยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเป็นเวลานาน

 

“ท่านอาจารย์ บรรพชนตระกูลเซียวมาขอพบท่าน แต่ท่านไม่ให้เขาเข้าพบ เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขายืนอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว มันจะไม่เป็นการดีหรือไม่หากเราปล่อยให้เขารอนานกว่านี้?” ลู่ซวนฟงกล่าวอย่างระมัดระวัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด