Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา
แวดวงผู้ฝึกปราณปัจจุบัน ถึงแม้อยู่ท่ามกลางระดับกระบวนแปรจุติ ก็มีเพียงพวกล้ำเลิศชั้นยอดที่แท้จริงจึงสามารถผสานรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้!

เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ จิตวิญญาณผู้ฝึกปราณยิ่งสามารถปลดเปลื้องออก ท่องมหาสมุทรอุดรยามสายัณห์พยับคราม อิสระเสรีภายใต้นภาครามประดุจเทพเซียนแห่งแดนดิน!

สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ มีเพียงบรรลุถึงระดับกึ่งราชันจึงจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต

แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณอีกมากทำได้แค่หยุดลงตรงนี้ตลอดชีวิต

นี่คือหลุมวิถีหนึ่ง ก้าวผ่านพ้นก็สามารถล่องทะยานในฟ้าดิน หากก้าวไม่พ้น มรรคาชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่หยุดลงตรงนี้

ทว่าหลินสวินต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต ครอบครองช่องทางจิตวิญญาณ ท่องตระเวนทั่วผืนฟ้าปฐพี!

นี่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าโดยมิต้องสงสัย หากกระจายออกไปคงถูกมองเป็นปีศาจ สร้างความอึกทึกครึกโครมยกใหญ่

หลินสวินเวลานี้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนอย่างเปี่ยมล้น ไม่เกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็นการแปรสภาพใหม่ทั้งหมดของจิตวิญญาณ

พลังจิตรับรู้แปรสภาพดุจมีแสงแห่งปัญญา เพียงเกิดความคิด สรรพสิ่งล้วนบังเกิดติดตาม เพียงดับความคิด ก็ว่างเปล่าไร้ตัวตน!

กล่าวสรุปโดยง่าย ข้อดีข้อใหญ่ของการบรรลุถึงจุดนี้คือ แม้กายหยาบดับสลาย พลังจิตจะคงอยู่ตราบนิรันดร์!

“ยินดีด้วย เจ้าทะลวงด่านที่หกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ผ่านแล้ว”

ขณะที่หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณหลังแปรสภาพ ริมหูก็มีเสียงใสเย็นดั่งวารีเสียงนั้น

เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าตรงปลายทางของทางเดินเมฆาหยกมีเงาร่างเลือนรางพร่ามัวหนึ่งยืนอยู่ นัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองตนจากที่ห่างไกล

หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ก่อนตนจะทะลวงด่าน หญิงสาวปริศนาผู้นี้บอกว่าจะออกไปดูสักหน่อย ครู่หนึ่งก็จะกลับมา

แต่ทว่าคาดไม่ถึง หลังจากนางหวนคืนก็ไม่เคยหายไป แต่ปรากฏอยู่ตรงนั้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกตนมองเห็น

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

“นี่คือรางวัลของด่านที่หก”

หญิงสาวดีดนิ้ว แสงเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น วาบกะพริบปรากฏเบื้องหน้าหลินสวินทันใด

พริบตานั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ภายในกลุ่มแสงนั่นประทับมรดกวิชาลับสองส่วน แบ่งเป็นส่วนครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’!

แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อนรับมรดกวิชา เพราะเขาพบว่าเงาร่างทรงสง่าปริศนานั่นยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไป

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” หลินสวินแสดงความขอบคุณ

หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างพร่างแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง ดั่งฝันเสมือนมายา ให้ความรู้สึกไม่เป็นความจริง ประดุจครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนและจากไป

นางเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “บัดนี้ระยะห่างระหว่างเจ้ากับประตูสวรรค์เหลือเพียงสามด่าน แบ่งออกเป็นด่านที่เจ็ด ‘ผลาญขอบเขต’ ด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ด่านที่เก้า ‘มองตน’ ข้าหวังว่าครั้งต่อไปที่ทะลวงด่าน จะสามารถมาถึงบริเวณที่ข้ายืนได้ในคราเดียว”

น้ำเสียงเย็นใสสะท้อนกลางฟ้าดินซึ่งราวว่างเปล่าผืนนี้

ในใจหลินสวินสะท้าน นี่ไม่ใช่สื่อว่าให้ตนทะลวงสามด่านติดกันในคราเดียว แล้วไปยืนที่ปลายทางทางเดินเมฆาหยกอย่างนั้นหรือ

ปลายทางเดินคือบริเวณที่บานประตูสวรรค์นั่นตั้งอยู่ หรือก็คือบริเวณที่หญิงสาวผู้นั่นยืนอยู่จนถึงปัจจุบัน!

หลินสวินตระหนักได้ว่าในนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ถึงได้ทำให้หญิงสาวปริศนานั่นเตรียมการเช่นนี้

“เรียนถามผู้อาวุโส ตอนนั้นข้าต้องมีปราณระดับใดจึงจะสามารถมาทะลวงด่านอีกครั้ง” หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวถาม

“หลอมมรรคบรรลุราชัน ก้าวสู่มกุฎ!”

หญิงสาวหันหลัง เงาร่างเลือนรางทรงสง่าจางหายไปในบานประตูปริศนาสูงเทียมฟ้านั่นทีละน้อย

“ภายในสามปี มหาสงครามจักมาเยือน หากเจ้าสามารถคว้าโอกาส บางที… อาจเปิดประตูบานนี้ได้”

น้ำเสียงเย็นใสบางเบา แต่พาให้หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด

“มรรคาแห่งมกุฎระดับราชัน…”

นานพอควรหลินสวินถึงได้พึมพำแผ่วเบา ดวงตาเขามองไปยังปลายทางทางเดินเมฆาหยก

ตรงนั้นบานประตูสวรรค์ปิดสนิทตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เสมือนชั่วกาลนิรันดร์ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ

ภายในประตูบานนั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่

จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่

ในใจหลินสวินเกิดความมุ่งหวังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เขาสัมผัสได้ว่า อาจมีเพียงต้องให้ตนไปถึงปลายทางทางเดินเมฆาหยกนั่นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติไปเข้าใจและรับรู้ถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกขั้น

และบางทีก็อาจจะได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาผู้นั้นคือใครกันแน่!

“จำไว้ ก่อนที่เจ้ายังไม่กลายเป็นมกุฎราชัน ข้ายื่นมือเพื่อเจ้าได้แค่สามครา ก่อนหน้านี้เจ้าใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลังจากสามครั้งยังช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้… ก็ถือว่าข้าดูคนผิด”

ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลินสวินซึ่งเดิมกำลังคิดจากไปพลันตื่นตะลึง

โอกาสยื่นมือช่วยเหลือสามครั้ง!

สำหรับหลินสวิน นี่ราวกับเป็นรางวัลที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากทะลวงผ่านด่านที่หกยังสามารถรับรางวัลเช่นนี้

แต่เมื่อได้ยินประโยคว่า ‘ใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง’ หลินสวินพลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน

เขาไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อนนะ!

ทว่าไม่รอหลินสวินซักถาม เบื้องหน้าเขาคล้ายมืดทะมึน ฟ้าพลิกดินหมุนโดนพลัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว

ในถ้ำอันแห้งแล้ง สีหน้าหลินสวินวูบไหว ต่อให้ตีกะโหลกแตกเขาก็คิดไม่ออกว่าตนขอให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยตอนไหน…

นี่ไม่ใช่หมายความว่าตนเหลือโอกาสแค่สองครั้งหรือ

หลินสวินทอดถอนใจ ออกจะหดหู่อยู่บ้าง

เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาฝึกปราณมาจนถึงปัจจุบันก็สู้คนเดียวมาตลอด ไม่เคยพึ่งพาใครมาก่อน ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก

การบำเพ็ญเพียร สิ่งที่ฝึกคือเจตนาตั้งตน สิ่งที่พึ่งพิงก็คือตนเอง หากในใจหวังพึ่งพิงผู้อื่นกลับจะเป็นการผูกมัดมรรคาแห่งตน และถูกกำหนดให้ไม่อาจกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!

ช่วยเหลือก็ส่วนช่วยเหลือ แต่หลินสวินคงไม่นำความหวังความเป็นตายของตนไปฝากไว้กับคนอื่นจนสิ้น

“หืม? ไม่สิ!”

สีหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง เขาไม่อาจสนใจเรื่องอื่นได้อีก หมายจะลุกขึ้นโดยพลัน

แต่ไม่ทันไรเขาก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมาคราหนึ่ง ความเจ็บปวดสาหัสทั่วสรรพางค์ทำให้เขาสูดหายใจเยียบเย็น

ก่อนหน้านี้ถูกพวกโก่วหยางป๋อสองคนตามล่าจนร่างกายเขาเจียนพังทลาย กลายเป็นตะเกียงไร้น้ำมัน บัดนี้แม้เคี่ยวกรำ ‘วิญญาณแห่งพลังจิต’ ออกมาแล้ว แต่อาการบาดเจ็บบนร่างยังคงสาหัสหาใดเปรียบ ไม่ใช่เรื่องดีเลย!

‘ไม่รู้ว่าเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นตามมาหรือไม่…’

ในใจหลินสวินกระสับกระส่ายอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้ว

‘ต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว!’

หลินสวินอดกลั้นความเจ็บปวดสาหัส แทบจะกัดฟันกรอดถึงได้บังคับลากร่างแหลกเหลวออกจากถ้ำแห่งนี้ไป

ประจวบเหมาะรุ่งเช้า ลมเย็นพัดโชย แสงยามเช้าอร่ามเรืองรอง ทิวเขาเขียวขจีห่อหุ้มด้วยเมฆหมอกยามเช้า เพริศพรายดั่งทองชั้นหนึ่ง

ที่ราบเงียบสงบ มีเสียงร้องเสียงคำรามของสัตว์ดังก้องเป็นครั้งคราว ทั้งหมดดูสงบสุขนัก ไร้กลิ่นอายอันตรายใดๆ

หลินสวินไม่กล้าประมาท มุ่งหน้าเดินทางห่างออกไป

เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายไม่ได้เลวร้ายลง กลับกลายเป็นว่ากำลังทำการซ่อมแซมและฟื้นฟูทีละน้อย

นี่คือความอัศจรรย์ของอมฤตแกนสุวรรณที่กลืนไปก่อนหน้า

เพียงแต่ในตอนนี้หลินสวินไม่อาจสำแดงพลังปราณได้อีก ได้แต่เดินเท้าในป่าเขาเพียงลำพัง

ไม่นานนักกระแสธารสายหนึ่งไหลเอื่อยจากห้วยลำธารแห่งหนึ่ง กวางเขียวตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำริมธาร

หลินสวินจิตใจไหววูบ โคจรวิชาลับ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ สื่อสารกับมัน

ไม่นานนัก กวางเขียวตัวนั้นลังเลสักพักก่อนก้าวมาเบื้องหน้าหลินสวิน แลบลิ้นเลียกลางฝ่ามือหลินสวินแล้วค่อยคุกเข่าลงบนพื้น

หลินสวินยิ้มน้อยๆ ลูบศีรษะกวางเขียวเบาๆ แล้วจึงพลิกตัวขี่กวางเขียว เดินทางห่างออกไปผ่านป่าเขากว้าง

‘มีกลิ่นอายชวนประหวั่นราวอริยเทพปรากฏตัว ทำให้พื้นที่โดยรอบต่างตระหนก สรรพวิญญาณก้มหัวสวามิภักดิ์หรือ’

ระหว่างทางหลินสวินสื่อสารกับกวางเขียว และพบอย่างตกตะลึงว่าเมื่อวานบริเวณภูเขานี้มีเหตุไม่คาดฝันสะเทือนใต้หล้าเกิดขึ้น!

‘เกรงว่าคงเป็นร่องรอยของหญิงสาวปริศนาผู้นั้น ถึงได้มีอานุภาพเทียมฟ้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เคยบอกตอนอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ว่าจะออกไปดูสักหน่อย…’

‘หากกล่าวเช่นนี้ เจ้าหมาแก่ระดับราชันสองตัวนั่นคงไม่ได้ตายในมือนางกระมัง’

นึกถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลันสะท้าน รีบสื่อสารกับกวางเขียว น่าเสียดาย ในความทรงจำของกวางเขียวไม่มีภาพจำเรื่องนี้

‘จริงสิ นางเคยบอกว่ายื่นมือช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง สันนิษฐานเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่’

‘อีกทั้งด้วยความสามารถของเจ้าหมาแก่สองตัวนั่น เกรงว่าเมื่อวานคงสามารถหาร่องรอยข้าพบ แต่จนถึงป่านนี้ดันไม่ปรากฏตัว ดูท่าคงประสบเคราะห์แล้ว!’

หลินสวินใคร่ครวญ ทำการวิเคราะห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมา

‘มิน่าล่ะนางถึงบอกว่าช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่ ถึงสามารถสังหารเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงได้’

ในใจหลินสวินไม่อาจสงบอยู่บ้าง

‘ไม่ว่าอย่างไรสำหรับตอนนี้ สถานการณ์ของข้าเปลี่ยนเป็นปลอดภัยแล้ว ถึงเวลาหาสถานที่สงบเงียบทะลวงระดับปราณแล้ว…’

กวางเขียวบรรทุกหลินสวินพลางก้าวย่างอย่างมั่นคง ก้าวผ่านพื้นหินผาค่อยๆ ห่าออกไปเรื่อยๆ

ผ่านไปเจ็ดวัน

ในป่าเก่าแก่กลางหุบเขาผืนหนึ่งพลันมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งหาใดเปรียบแผ่พุ่ง ลอยทะยานเหนือห้วงฟ้า

ชั่วพริบตาฟ้าดินสั่นสะเทือน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมฆาเคราะห์โหมซัดสาดมาจากทั่วสารทิศ มืดฟ้ามัวดิน ดำสนิทราวน้ำหมึก แผ่กลิ่นอายอึดอัดหาใดเปรียบราวกับวันสิ้นโลกจวนมาเยือน

ครืน!

เสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังก้องขึ้น เสมือนกลองยักษ์โบราณกาลไหวระรัว ถาโถมกระหน่ำเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินดังครืนครัน สายฟ้าเจิดจ้าพลุ่งพล่าน ไหลหลั่งบ้าคลั่งราวน้ำตก อุดมด้วยไอสังหารมลายล้างสรรพสิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภูเขานี้ส่งเสียงร้องโหยหวนหวาดผวา วิ่งคลั่งกระเจิดกระเจิง ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไป เห็นชัดว่ามีเคราะห์สวรรค์สะเทือนใต้หล้ามาเยือน!

ส่วนอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังบางส่วนกลับเกร็งไปทั้งตัว ทอดมองจากที่ห่างไกล ขอแค่มีอันตรายเพียงนิดพวกเขาก็จะหลบลี้หนีหายในพริบตา

ครืน!

บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์ปั่นป่วน เปลี่ยนจากสีเจิดจ้าดุจเงินยวงเป็นสีแดงเลือดทีละน้อย หยาดย้อมห้วงอากาศ ประดุจโลหิตแห่งเทพกำลังลุกโหม!

สายฟ้าสีเลือดแดงสดแหวกผ่าอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายชวนประหวั่นเพียงพอทำให้สรรพชีวิตบนโลกหล้าสะท้านสะเทือน ปั่นป่วนห้วงนภากาศให้แหลกละเอียด

น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!

ชั่วขณะเดียวอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังเหล่านั้นล้วนตระหนก รู้สึกถึงความหวาดกลัวหาใดเปรียบ ขวัญหนีดีฝ่อ ที่แท้เป็นอริยเทพจากที่ใดกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ ทำไมถึงชักนำอสนีเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้

ฟุ่บ!

ระหว่างที่พวกเขาพากันคาดคะเน เงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมา ทั่วร่างส่องสว่าง เงาร่างสูงสง่าเปี่ยมกลิ่นอายไร้เทียมทานผงาดผยอง มุ่งตรงไปยังเมฆาเคราะห์เหนือชั้นฟ้า

เฮือก!

ห่างออกไปไกล อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทั้งหมดล้วนสูดหายใจหนาวเยือก ขนพองสยองเกล้า เจ้าหมอนี่เป็นใคร วิปริตเกินไปแล้วกระมัง นี่หมายจะเข้าไปรับเคราะห์สวรรค์ไร้เทียมทานด้วยตนเองหรือ

ตอนที่ 835 ขี่กวางเขียวกลางป่าเขา
แวดวงผู้ฝึกปราณปัจจุบัน ถึงแม้อยู่ท่ามกลางระดับกระบวนแปรจุติ ก็มีเพียงพวกล้ำเลิศชั้นยอดที่แท้จริงจึงสามารถผสานรวมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาได้!

เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ จิตวิญญาณผู้ฝึกปราณยิ่งสามารถปลดเปลื้องออก ท่องมหาสมุทรอุดรยามสายัณห์พยับคราม อิสระเสรีภายใต้นภาครามประดุจเทพเซียนแห่งแดนดิน!

สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ มีเพียงบรรลุถึงระดับกึ่งราชันจึงจะสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต

แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณอีกมากทำได้แค่หยุดลงตรงนี้ตลอดชีวิต

นี่คือหลุมวิถีหนึ่ง ก้าวผ่านพ้นก็สามารถล่องทะยานในฟ้าดิน หากก้าวไม่พ้น มรรคาชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่หยุดลงตรงนี้

ทว่าหลินสวินต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่กลับสามารถควบรวมวิญญาณแห่งพลังจิต ครอบครองช่องทางจิตวิญญาณ ท่องตระเวนทั่วผืนฟ้าปฐพี!

นี่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าโดยมิต้องสงสัย หากกระจายออกไปคงถูกมองเป็นปีศาจ สร้างความอึกทึกครึกโครมยกใหญ่

หลินสวินเวลานี้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนอย่างเปี่ยมล้น ไม่เกี่ยวกับพลังปราณ แต่เป็นการแปรสภาพใหม่ทั้งหมดของจิตวิญญาณ

พลังจิตรับรู้แปรสภาพดุจมีแสงแห่งปัญญา เพียงเกิดความคิด สรรพสิ่งล้วนบังเกิดติดตาม เพียงดับความคิด ก็ว่างเปล่าไร้ตัวตน!

กล่าวสรุปโดยง่าย ข้อดีข้อใหญ่ของการบรรลุถึงจุดนี้คือ แม้กายหยาบดับสลาย พลังจิตจะคงอยู่ตราบนิรันดร์!

“ยินดีด้วย เจ้าทะลวงด่านที่หกแห่งห้องโถงมรรคาสวรรค์ผ่านแล้ว”

ขณะที่หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณหลังแปรสภาพ ริมหูก็มีเสียงใสเย็นดั่งวารีเสียงนั้น

เขาพลันเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าตรงปลายทางของทางเดินเมฆาหยกมีเงาร่างเลือนรางพร่ามัวหนึ่งยืนอยู่ นัยน์ตาคู่หนึ่งกำลังมองตนจากที่ห่างไกล

หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ก่อนตนจะทะลวงด่าน หญิงสาวปริศนาผู้นี้บอกว่าจะออกไปดูสักหน่อย ครู่หนึ่งก็จะกลับมา

แต่ทว่าคาดไม่ถึง หลังจากนางหวนคืนก็ไม่เคยหายไป แต่ปรากฏอยู่ตรงนั้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกตนมองเห็น

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน

“นี่คือรางวัลของด่านที่หก”

หญิงสาวดีดนิ้ว แสงเปล่งประกายกลุ่มหนึ่งอุบัติขึ้น วาบกะพริบปรากฏเบื้องหน้าหลินสวินทันใด

พริบตานั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ภายในกลุ่มแสงนั่นประทับมรดกวิชาลับสองส่วน แบ่งเป็นส่วนครึ่งหลังของ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ และ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’!

แต่หลินสวินไม่ได้รีบร้อนรับมรดกวิชา เพราะเขาพบว่าเงาร่างทรงสง่าปริศนานั่นยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้จากไป

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส” หลินสวินแสดงความขอบคุณ

หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างพร่างแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง ดั่งฝันเสมือนมายา ให้ความรู้สึกไม่เป็นความจริง ประดุจครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนและจากไป

นางเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “บัดนี้ระยะห่างระหว่างเจ้ากับประตูสวรรค์เหลือเพียงสามด่าน แบ่งออกเป็นด่านที่เจ็ด ‘ผลาญขอบเขต’ ด่านที่แปด ‘ทลายมรรค’ ด่านที่เก้า ‘มองตน’ ข้าหวังว่าครั้งต่อไปที่ทะลวงด่าน จะสามารถมาถึงบริเวณที่ข้ายืนได้ในคราเดียว”

น้ำเสียงเย็นใสสะท้อนกลางฟ้าดินซึ่งราวว่างเปล่าผืนนี้

ในใจหลินสวินสะท้าน นี่ไม่ใช่สื่อว่าให้ตนทะลวงสามด่านติดกันในคราเดียว แล้วไปยืนที่ปลายทางทางเดินเมฆาหยกอย่างนั้นหรือ

ปลายทางเดินคือบริเวณที่บานประตูสวรรค์นั่นตั้งอยู่ หรือก็คือบริเวณที่หญิงสาวผู้นั่นยืนอยู่จนถึงปัจจุบัน!

หลินสวินตระหนักได้ว่าในนี้ต้องมีสาเหตุอะไรแน่ ถึงได้ทำให้หญิงสาวปริศนานั่นเตรียมการเช่นนี้

“เรียนถามผู้อาวุโส ตอนนั้นข้าต้องมีปราณระดับใดจึงจะสามารถมาทะลวงด่านอีกครั้ง” หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวถาม

“หลอมมรรคบรรลุราชัน ก้าวสู่มกุฎ!”

หญิงสาวหันหลัง เงาร่างเลือนรางทรงสง่าจางหายไปในบานประตูปริศนาสูงเทียมฟ้านั่นทีละน้อย

“ภายในสามปี มหาสงครามจักมาเยือน หากเจ้าสามารถคว้าโอกาส บางที… อาจเปิดประตูบานนี้ได้”

น้ำเสียงเย็นใสบางเบา แต่พาให้หลินสวินตกอยู่ในห้วงคิด

“มรรคาแห่งมกุฎระดับราชัน…”

นานพอควรหลินสวินถึงได้พึมพำแผ่วเบา ดวงตาเขามองไปยังปลายทางทางเดินเมฆาหยก

ตรงนั้นบานประตูสวรรค์ปิดสนิทตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น เสมือนชั่วกาลนิรันดร์ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน เห็นได้ว่าลึกลับหาใดเปรียบ

ภายในประตูบานนั้นซ่อนอะไรไว้กันแน่

จะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่

ในใจหลินสวินเกิดความมุ่งหวังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เขาสัมผัสได้ว่า อาจมีเพียงต้องให้ตนไปถึงปลายทางทางเดินเมฆาหยกนั่นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติไปเข้าใจและรับรู้ถึงห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกขั้น

และบางทีก็อาจจะได้รู้ว่าหญิงสาวปริศนาผู้นั้นคือใครกันแน่!

“จำไว้ ก่อนที่เจ้ายังไม่กลายเป็นมกุฎราชัน ข้ายื่นมือเพื่อเจ้าได้แค่สามครา ก่อนหน้านี้เจ้าใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลังจากสามครั้งยังช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้… ก็ถือว่าข้าดูคนผิด”

ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นกระจ่างนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หลินสวินซึ่งเดิมกำลังคิดจากไปพลันตื่นตะลึง

โอกาสยื่นมือช่วยเหลือสามครั้ง!

สำหรับหลินสวิน นี่ราวกับเป็นรางวัลที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากทะลวงผ่านด่านที่หกยังสามารถรับรางวัลเช่นนี้

แต่เมื่อได้ยินประโยคว่า ‘ใช้โอกาสไปแล้วครั้งหนึ่ง’ หลินสวินพลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน

เขาไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือมาก่อนนะ!

ทว่าไม่รอหลินสวินซักถาม เบื้องหน้าเขาคล้ายมืดทะมึน ฟ้าพลิกดินหมุนโดนพลัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว

ในถ้ำอันแห้งแล้ง สีหน้าหลินสวินวูบไหว ต่อให้ตีกะโหลกแตกเขาก็คิดไม่ออกว่าตนขอให้หญิงสาวปริศนาผู้นั้นยื่นมือเข้าช่วยตอนไหน…

นี่ไม่ใช่หมายความว่าตนเหลือโอกาสแค่สองครั้งหรือ

หลินสวินทอดถอนใจ ออกจะหดหู่อยู่บ้าง

เพียงแต่ตั้งแต่ที่เขาฝึกปราณมาจนถึงปัจจุบันก็สู้คนเดียวมาตลอด ไม่เคยพึ่งพาใครมาก่อน ทั้งไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก

การบำเพ็ญเพียร สิ่งที่ฝึกคือเจตนาตั้งตน สิ่งที่พึ่งพิงก็คือตนเอง หากในใจหวังพึ่งพิงผู้อื่นกลับจะเป็นการผูกมัดมรรคาแห่งตน และถูกกำหนดให้ไม่อาจกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!

ช่วยเหลือก็ส่วนช่วยเหลือ แต่หลินสวินคงไม่นำความหวังความเป็นตายของตนไปฝากไว้กับคนอื่นจนสิ้น

“หืม? ไม่สิ!”

สีหน้าหลินสวินพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระหนักถึงปัญหาหนึ่ง เขาไม่อาจสนใจเรื่องอื่นได้อีก หมายจะลุกขึ้นโดยพลัน

แต่ไม่ทันไรเขาก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมาคราหนึ่ง ความเจ็บปวดสาหัสทั่วสรรพางค์ทำให้เขาสูดหายใจเยียบเย็น

ก่อนหน้านี้ถูกพวกโก่วหยางป๋อสองคนตามล่าจนร่างกายเขาเจียนพังทลาย กลายเป็นตะเกียงไร้น้ำมัน บัดนี้แม้เคี่ยวกรำ ‘วิญญาณแห่งพลังจิต’ ออกมาแล้ว แต่อาการบาดเจ็บบนร่างยังคงสาหัสหาใดเปรียบ ไม่ใช่เรื่องดีเลย!

‘ไม่รู้ว่าเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นตามมาหรือไม่…’

ในใจหลินสวินกระสับกระส่ายอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินนานแล้ว

‘ต้องรีบไปจากที่นี่โดยเร็ว!’

หลินสวินอดกลั้นความเจ็บปวดสาหัส แทบจะกัดฟันกรอดถึงได้บังคับลากร่างแหลกเหลวออกจากถ้ำแห่งนี้ไป

ประจวบเหมาะรุ่งเช้า ลมเย็นพัดโชย แสงยามเช้าอร่ามเรืองรอง ทิวเขาเขียวขจีห่อหุ้มด้วยเมฆหมอกยามเช้า เพริศพรายดั่งทองชั้นหนึ่ง

ที่ราบเงียบสงบ มีเสียงร้องเสียงคำรามของสัตว์ดังก้องเป็นครั้งคราว ทั้งหมดดูสงบสุขนัก ไร้กลิ่นอายอันตรายใดๆ

หลินสวินไม่กล้าประมาท มุ่งหน้าเดินทางห่างออกไป

เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายไม่ได้เลวร้ายลง กลับกลายเป็นว่ากำลังทำการซ่อมแซมและฟื้นฟูทีละน้อย

นี่คือความอัศจรรย์ของอมฤตแกนสุวรรณที่กลืนไปก่อนหน้า

เพียงแต่ในตอนนี้หลินสวินไม่อาจสำแดงพลังปราณได้อีก ได้แต่เดินเท้าในป่าเขาเพียงลำพัง

ไม่นานนักกระแสธารสายหนึ่งไหลเอื่อยจากห้วยลำธารแห่งหนึ่ง กวางเขียวตัวหนึ่งกำลังดื่มน้ำริมธาร

หลินสวินจิตใจไหววูบ โคจรวิชาลับ ‘ดวงใจฉิวหนิว’ สื่อสารกับมัน

ไม่นานนัก กวางเขียวตัวนั้นลังเลสักพักก่อนก้าวมาเบื้องหน้าหลินสวิน แลบลิ้นเลียกลางฝ่ามือหลินสวินแล้วค่อยคุกเข่าลงบนพื้น

หลินสวินยิ้มน้อยๆ ลูบศีรษะกวางเขียวเบาๆ แล้วจึงพลิกตัวขี่กวางเขียว เดินทางห่างออกไปผ่านป่าเขากว้าง

‘มีกลิ่นอายชวนประหวั่นราวอริยเทพปรากฏตัว ทำให้พื้นที่โดยรอบต่างตระหนก สรรพวิญญาณก้มหัวสวามิภักดิ์หรือ’

ระหว่างทางหลินสวินสื่อสารกับกวางเขียว และพบอย่างตกตะลึงว่าเมื่อวานบริเวณภูเขานี้มีเหตุไม่คาดฝันสะเทือนใต้หล้าเกิดขึ้น!

‘เกรงว่าคงเป็นร่องรอยของหญิงสาวปริศนาผู้นั้น ถึงได้มีอานุภาพเทียมฟ้าเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เคยบอกตอนอยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์ว่าจะออกไปดูสักหน่อย…’

‘หากกล่าวเช่นนี้ เจ้าหมาแก่ระดับราชันสองตัวนั่นคงไม่ได้ตายในมือนางกระมัง’

นึกถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลันสะท้าน รีบสื่อสารกับกวางเขียว น่าเสียดาย ในความทรงจำของกวางเขียวไม่มีภาพจำเรื่องนี้

‘จริงสิ นางเคยบอกว่ายื่นมือช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง สันนิษฐานเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานต้องเกี่ยวข้องกับนางแน่’

‘อีกทั้งด้วยความสามารถของเจ้าหมาแก่สองตัวนั่น เกรงว่าเมื่อวานคงสามารถหาร่องรอยข้าพบ แต่จนถึงป่านนี้ดันไม่ปรากฏตัว ดูท่าคงประสบเคราะห์แล้ว!’

หลินสวินใคร่ครวญ ทำการวิเคราะห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปออกมา

‘มิน่าล่ะนางถึงบอกว่าช่วยข้าแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันแน่ ถึงสามารถสังหารเจ้าหมาแก่สองตัวนั่นอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงได้’

ในใจหลินสวินไม่อาจสงบอยู่บ้าง

‘ไม่ว่าอย่างไรสำหรับตอนนี้ สถานการณ์ของข้าเปลี่ยนเป็นปลอดภัยแล้ว ถึงเวลาหาสถานที่สงบเงียบทะลวงระดับปราณแล้ว…’

กวางเขียวบรรทุกหลินสวินพลางก้าวย่างอย่างมั่นคง ก้าวผ่านพื้นหินผาค่อยๆ ห่าออกไปเรื่อยๆ

ผ่านไปเจ็ดวัน

ในป่าเก่าแก่กลางหุบเขาผืนหนึ่งพลันมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งหาใดเปรียบแผ่พุ่ง ลอยทะยานเหนือห้วงฟ้า

ชั่วพริบตาฟ้าดินสั่นสะเทือน เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมฆาเคราะห์โหมซัดสาดมาจากทั่วสารทิศ มืดฟ้ามัวดิน ดำสนิทราวน้ำหมึก แผ่กลิ่นอายอึดอัดหาใดเปรียบราวกับวันสิ้นโลกจวนมาเยือน

ครืน!

เสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังก้องขึ้น เสมือนกลองยักษ์โบราณกาลไหวระรัว ถาโถมกระหน่ำเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินดังครืนครัน สายฟ้าเจิดจ้าพลุ่งพล่าน ไหลหลั่งบ้าคลั่งราวน้ำตก อุดมด้วยไอสังหารมลายล้างสรรพสิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในภูเขานี้ส่งเสียงร้องโหยหวนหวาดผวา วิ่งคลั่งกระเจิดกระเจิง ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไป เห็นชัดว่ามีเคราะห์สวรรค์สะเทือนใต้หล้ามาเยือน!

ส่วนอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังบางส่วนกลับเกร็งไปทั้งตัว ทอดมองจากที่ห่างไกล ขอแค่มีอันตรายเพียงนิดพวกเขาก็จะหลบลี้หนีหายในพริบตา

ครืน!

บนเวิ้งฟ้า อสนีเคราะห์ปั่นป่วน เปลี่ยนจากสีเจิดจ้าดุจเงินยวงเป็นสีแดงเลือดทีละน้อย หยาดย้อมห้วงอากาศ ประดุจโลหิตแห่งเทพกำลังลุกโหม!

สายฟ้าสีเลือดแดงสดแหวกผ่าอากาศ ปลดปล่อยกลิ่นอายชวนประหวั่นเพียงพอทำให้สรรพชีวิตบนโลกหล้าสะท้านสะเทือน ปั่นป่วนห้วงนภากาศให้แหลกละเอียด

น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!

ชั่วขณะเดียวอสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทรงพลังเหล่านั้นล้วนตระหนก รู้สึกถึงความหวาดกลัวหาใดเปรียบ ขวัญหนีดีฝ่อ ที่แท้เป็นอริยเทพจากที่ใดกำลังข้ามด่านเคราะห์กันแน่ ทำไมถึงชักนำอสนีเคราะห์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้

ฟุ่บ!

ระหว่างที่พวกเขาพากันคาดคะเน เงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมา ทั่วร่างส่องสว่าง เงาร่างสูงสง่าเปี่ยมกลิ่นอายไร้เทียมทานผงาดผยอง มุ่งตรงไปยังเมฆาเคราะห์เหนือชั้นฟ้า

เฮือก!

ห่างออกไปไกล อสูรมารบำเพ็ญและสัตว์ปีศาจทั้งหมดล้วนสูดหายใจหนาวเยือก ขนพองสยองเกล้า เจ้าหมอนี่เป็นใคร วิปริตเกินไปแล้วกระมัง นี่หมายจะเข้าไปรับเคราะห์สวรรค์ไร้เทียมทานด้วยตนเองหรือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด