Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 511 อาสัญสลาย

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 511 อาสัญสลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 511 อาสัญสลาย
โดย

หลินจงถือทวนยืนโดดเด่น แผ่นหลังตรงแน่ว รอบกายอบอวลไปด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณคลุมเครือขมุกขมัว หากกล่าวว่าเขาก่อนหน้านี้ครอบครองดาบคมโดดเด่นในใต้หล้า เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็มีพลังปราณไพศาลที่พาให้คนหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมา

นี่ จึงจะเป็นภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของชุดศึกสลักวิญญาณ!

ต่างจากอาวุธวิญญาณและสมบัติวิญญาณในโลกา เมื่อทวนอยู่ในมือ ก็พัฒนาเป็นชุดศึกปกคลุมร่างกาย ทำให้พลังและอานุภาพของผู้ฝึกปราณเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าดิน!

คำว่า ‘ชุดศึก’ ก็มาจากสิ่งนี้

ทั้งที่นั้นเงียบเชียบไร้เสียง สายตาพวกคนใหญ่คนโตแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ส่วนนักสลักวิญญาณล้วนจิตใจสั่นไหว ไม่อาจสงบลงได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง กลิ่นอายที่มีเอกลักษณ์นั้น อธิบายได้อย่างหมดจดว่าอย่างไรเรียกได้ว่างานฝีมือชั้นเทพ

สวบ!

เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนยกพื้น มือถือกระบี่วิญญาณเล่มหนึ่งพุ่งจู่โจมไปที่หลินจง

นี่คือบุรุษชุดดำที่สีหน้าดุดันผู้หนึ่ง มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง เป็นผู้ที่อัครการค้าจัดมาให้ เพื่อพิสูจน์อานุภาพของชุดศึกสลักวิญญาณโดยเฉพาะ

กระบี่วิญญาณในมือบุรุษชุดดำมีสีแดงสดราวเปลวเพลิง แสงวิญญาณโชติช่วง นี่เป็นสมบัติระดับสวรรค์สูงค่าชิ้นหนึ่ง ราคาแพงลิ่ว และเป็นฝีมือของอัครการค้าเช่นเดียวกัน

ฮูม!

ทันทีที่ปรากฏตัว เงาร่างบุรุษชุดดำหายวับ กระบี่วิญญาณในมือพลันเปลี่ยนสภาพเป็นฝนเพลิงเต็มฟ้าโปรยปรายลงมา

ฝนเพลิงทุกสายล้วนเป็นกลายสภาพจากจิตกระบี่ดุดันที่ไม่อาจเทียบเทียมได้ เต็มไปด้วยพลังแห่งสัจวิถีธาตุไฟอย่างแท้จริง

ฝนเพลิงหลายสายเทลงมาอย่างหนาแน่นปกคลุมฟ้าดิน พลังอันโชติช่วงขั้นนั้น โจมตีห้วงอากาศให้เป็นรูเหมือนรังผึ้ง เผาผลาญจนสิ้น

“หม่าเถิง! วิชากระบี่ฝนเพลิง!”

มีคนร้องออกมาอย่างตกตะลึงด้วยรู้ฐานะของบุรุษชุดดำ ทั้งยังรู้ชื่อวิชาของการโจมตีนี้ว่าเป็นวิชากระบี่ที่มีชื่อเรื่องความดุดันอหังการ

เพียงแต่เมื่อเสียงร้องตกใจดังขึ้น ภาพที่เกินความคาดหมายก็ปรากฏ

ยามห่ากระบี่สีเพลิงเต็มฟ้าเทลงมา กำลังจะปกคลุมหลินจงจนมิด ก็เห็นแสงเทพเทาเข้มที่ประหนึ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาพุ่งออกมา ชั่วพริบตาฝนกระบี่เต็มฟ้าก็ถูกขจัดจนสิ้น!

ก็เหมือนรอยเปื้อนบนผ้าเขียนภาพ ถูกคนใช้น้ำใสสะอาดชะล้างอย่างง่ายดาย ดูไม่ต้องพยายามมากนัก

ทุกคนพลันตกตะลึงอ้าปากค้าง การจู่โจมที่แข็งแกร่งที่สุดของหม่าเถิงไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกสลายสิ้น และตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินจงก็ยังไม่ได้ลงมือ…

เห็นได้ชัดว่า นั่นคือพลังของชุดศึกสลักวิญญาณ!

หม่าเถิงสีหน้าเปลี่ยนไป ร้องตะโกนเสียงยาวออกมา ยกกระบี่ชูขึ้นแล้วฟันลงมาอย่างเดือดดาล ไอกระบี่ราวมังกรเพลิงปรากฏกลางอากาศ

การโจมตีนี้ยิ่งน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ควบรวมพลังทั้งหมดของหม่าเถิง เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดการโจมตี ทำให้คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสหลายคนล้วนลอบพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ ยกยอไม่หยุดหย่อน

และในเวลานี้ในที่สุดหลินจงก็เคลื่อนไหว มือเขาถือทวนยาวแต้มไปในอากาศอย่างเบามือ

ทุกสิ่งล้วนหยุดนิ่งลง ราวกับว่ายามนี้เวลาหยุดเดิน แข็งทื่อในพริบตานี้

ไอกระบี่ที่ดุดันร้ายกาจดุจมังกรเพลิงนั้น ก็ประหนึ่งถูกมือใหญ่ไร้รูปกำไว้แน่น ติดอยู่เช่นนั้นไม่อาจฟันลงไปได้

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

เสียงแตกที่ทำให้ตื่นตระหนกพลันดังขึ้น ก็เห็นว่าห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงที่มีหลินจงเป็นศูนย์กลางระเบิดสลายเป็นเสี่ยงๆ ราวกระจก กระจัดกระจายไปทั่วสารทิศ

นี่…

ดวงตาของทุกคนแทบหลุดออกมา นี่มันสลายทำลายห้วงอากาศแล้ว! ต้องมีพลังน่าหวาดหวั่นขนาดไหนถึงจะทำได้ถึงขั้นนี้

เปรี้ยง!

ห้วงอากาศยิ่งถล่มลงมาอย่างฉับพลัน เหมือนฟองคลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออก เพียงแต่ฟองคลื่นล้วนเป็นสิ่งที่แปรสภาพมาจากห้วงอากาศที่ผันผวน

ไอกระบี่ราวมังกรเพลิงนั้นถูกทำให้จมลง แตกเป็นเสี่ยงและหายไปในทันใด เหมือนเรือโดดเดี่ยวกลางคลื่นใหญ่ ยากต้านทานอย่างไม่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด

สีหน้าของผู้มีอำนาจในที่นั้นพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้แต่บุคคลน่าหวั่นกลัวที่มีชื่อสะท้านไปทั่วอย่างราชันเลือดเหล็กและเทพเศรษฐียังอดประทับใจไม่ได้

พลังทำลายล้างที่เต็มเปี่ยมในการโจมตีนี้ ช่างถึงขั้นที่เกินธรรมดาสามัญยิ่ง!

โครม!

ในที่สุดกระบี่วิญญาณในมือหม่าเถิงก็ถูกโจมตีจนสลาย กลายเป็นละอองแสงปลิวว่อน

เสียงร้องตกใจดังขึ้นในที่นั้น หลายคนพากันนั่งไม่ติดลุกพรึบขึ้นมา ด้วยห้วงอากาศที่แปรปรวนกลายสภาพเป็นระเบิดนั้นม้วนกลืนยกพื้น อีกนิดก็จะกลืนหม่าเถิงไปทั้งตัว และใกล้จะแล้วพุ่งออกมาจากยกพื้น

แต่ในเวลานั้นทวนยาวในมือหลินจงสั่นสะเทือนคราหนึ่ง พลังปราณไพศาลไร้รูปพลันบังเกิด ทำให้พลังระเบิดซึ่งประหนึ่งเพลิงทำลายล้างที่กระจายออกมานั้นหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง

ภาพน่าหวาดหวั่นราวทำลายล้างนั้นพลันสลายไปเช่นนี้ ความรู้สึกแบบนี้ยากจะรับไหวจนแทบทำให้กระอักเลือด!

ส่วนเวลานี้ ทั้งร่างของหม่าเถิงโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ สีหน้าซีดเผือด

แม้พูดว่าครั้งนี้เขาถูกจัดมาทดสอบพลังชุดศึกสลักวิญญาณ แต่ชั่วขณะเมื่อครู่นั้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงไอแห่งความตายที่ถึงแก่ชีวิต ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังไร้ทางสู้ ดิ้นรนต่อต้านไม่ได้เลย น่ากลัวเกินไปแล้ว

ทุกคนพากันสั่นสะท้านด้วยความกลัว รวมถึงนักสลักวิญญาณอย่างพวกหลัวเฟิง ฮูหยินเป่าหวา และรวมถึงเหล่าผู้มีอำนาจที่ครอบครองพลังชั้นยอดในศาสตร์การฝึกปราณด้วย

ในที่นั้นเงียบเชียบ เงียบจนขนาดเข็มเล่มหนึ่งตกลงบนพื้นยังได้ยิน

ชิ้ง!

หลินจงเก็บชุดศึกสลักวิญญาณเข้าไปในกล่องสำริดอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันนี้ หลีอันปรากฏตัวบนยกพื้นทันที เอ่ยเสียงดังฟังชัดว่า “ทวนนี้มีนามว่าอาสัญสลาย พลานุภาพที่แน่ชัด ‘เป็นความลับ’”

การแนะนำนี้แม้เรียบง่าย ทว่าทรงพลัง!

อาสัญสลาย!

คิดถึงภาพน่าตกตะลึงทุกฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นึกถึงห้วงอากาศที่ระเบิดสลายราวฟองคลื่นนั้น นึกถึงพลังทำลายล้างที่พาให้ทุกคนขนหัวลุก ทุกคนต่างต้องยอมรับว่า นี่เป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่ต่างจากชุดอื่นอย่างแน่แท้

มันช่างเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก ราวกับคมดาบทำลายล้างเล่มหนึ่ง เมื่อปรากฏขึ้นสู่โลกา ก็พาให้ทุกอย่างแหลกสลายมอดมรณาไปสิ้น!

หลังจากความเงียบเพียงครู่สั้นๆ บนที่นั่งผู้ร่วมงานก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อุ่นหนาฝาคั่งวุ่นวายไปหมด

คนใหญ่คนโตที่ได้เห็นพลานุภาพของอาสัญสลายด้วยตาตนเอง ทุกคนเวลานี้ล้วนไม่อาจนิ่งสงบได้แล้ว ชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งกลับสำแดงพลังทำลายล้างเย้ยฟ้าเช่นนี้ นี่ช่างพบเห็นได้ยากยิ่งนัก

พวกเขาล้วนแน่ใจว่าพลานุภาพที่สำแดงออกมาเมื่อกี้เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่ง ความอัศจรรย์และพลังที่แท้จริงนั้น อาจมีเพียงหลินสวินและหลินจงเท่านั้นที่ล่วงรู้!

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น สมบัตินี้ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นในโลกา อย่างน้อยก็ไม่ด้อยกว่าชุดศึกสลักวิญญาณที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือบางชุดในจักรวรรดิตอนนี้เลยสักนิด

“แต่นี้ไป ในจักรวรรดิจะมีสมบัติล้ำค่าโดดเด่นในใต้หล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การอุบัติขึ้นของอาสัญสลายต้องสะเทือนโลกาเหมือนพลังทำลายล้างของมันแน่”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งอย่างหลินสวินกลับมีความสามารถในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ หนทางข้างหน้าไม่อาจจำกัดได้แล้วสินะ”

ในที่นั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังขึ้น

เวลานี้ฮูหยินเป่าหวากลับสงบนิ่ง นางนั่งเงียบอยู่เช่นนั้น ตกอยู่ในห้วงความคิด เมื่อเทียบกับความสงบนิ่งบนใบหน้า ในใจนางกลับไม่อาจเยือกเย็นลงได้เลย นางไม่เหมือนกับผู้อื่น ด้วยมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่ง นางยิ่งเข้าใจเอกลักษณ์ของ ‘อาสัญสลาย’ อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ใช่เพราะพลานุภาพของมันน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แต่เป็นเพราะกลวิธีที่หลอมมันออกมาช่างเทียบเท่ากับการฝืนฟ้าตัดวิถี สัมผัสเข้ากับข้อห้ามแต่ไม่สลาย ช่วงชิงพลังสรรค์สร้างสรรพสิ่ง!

นางไม่อาจคาดคิดได้ว่าหลินสวินหลอมมันขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่ อีกทั้งใครเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาลับหลอมอาวุธเช่นนี้ให้เขา แต่นางกลับมีความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยอย่างหนึ่ง…

นางตกอยู่ในภวังค์ความคิด

“กระบี่เบิกฟ้า…”

ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของฮูหยินเป่าหวาพลันฉายแวววาบขึ้นมา ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ กลิ่นอายของอาสัญสลาย เหมือนกระบี่เบิกฟ้าในมือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน มีคลื่นพลังที่คล้ายคลึงยิ่งนัก!

“อาจารย์ กระบี่เบิกฟ้าถูกหลินสวินซ่อมแซมนานแล้ว หรือท่านมองอะไรออกหรือเจ้าคะ”

เฟิงชิงโยวที่อยู่ข้างกันสงสัย นางรู้สึกได้ว่าอาจารย์ในวันนี้แปลกไปจากปกติ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ในใจฮูหยินเป่าหวาเดาออกได้รางๆ ว่าอาจารย์ของหลินสวินเป็นใคร สีหน้าอดปรากฏแววซับซ้อนขึ้นมาไม่ได้

“ชิงโยว เจ้าคิดจะติดตามข้างกายหลินสวินเพื่อเรียนรู้หรือไม่”

ฮูหยินเป่าหวาเอ่ยขึ้นมาฉับพลัน

เฟิงชิงโยวนิ่งอึ้งไปในทันใด ดวงตาโตสีดำสนิทเบิกกว้าง กล่าวว่า “อาจารย์ ท่านจะให้ข้าไปเรียนกับเขาหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินเป่าหวาส่งเสียงอืม พูดอย่างเหม่อลอยว่า “เจ้าไปใคร่ครวญดูก็ได้”

เฟิงชิงโยวกัดริมฝีปากเรียบลื่น อึดอัดใจอยู่บ้าง หลินสวินอายุน้อยกว่าตนเสียอีก หากติดตามเขาเพื่อเรียนรู้ ช่าง…น่าขายหน้ายิ่ง!

นางรู้ว่าหลินสวินเก่งกาจ ไม่ใช่ผู้ที่ตนจะเทียบได้ แต่ความหยิ่งยโสในใจกลับทำให้นางก้มหัวให้เขาได้ยาก…

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นไม่ขาดสาย แต่กลับไม่มีคนใหญ่คนโตสักคนจากไปในตอนนี้ เพราะพวกเขารู้ดีว่างานแถลงครั้งนี้เพิ่งเริ่มขึ้น ต่อไปรอเมื่อหลินสวินออกโรงจึงจะเป็นฉากเด็ด!

ด้วยฐานะของพวกเขาแต่ละคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล ฐานันดรสูงส่งยิ่งในจักรวรรดิ เหตุใดถึงมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ในครั้งนี้เล่า

นอกจากต้องการประจักษ์ชุดสลักวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ด้วยตาตัวเองแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือต้องการอาศัยโอกาสนี้แย่งชิงโอกาสครั้งหนึ่ง

ส่วนจะเป็นโอกาสอะไรกันแน่นั้น อีกครู่หนึ่งก็จะรู้

“เมื่อครู่ไม่ใช่มีคนพูดว่าหลินสวินทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตาหรือ ตอนนี้ข้ากลับอยากถามสักคำว่าเป็นหลินสวินทำตัวเกินหน้าเกินตา หรือเป็นใครบางคนใช้ความอาวุโสเข้าข่มกันแน่”

ทันใดนั้นเหล่าโม่ก็เอ่ยปาก ทำให้หลายคนชำเลืองมอง และนึกถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

อย่างที่คิด เมื่อได้ยินคำนี้สีหน้าหลัวเฟิงเคร่งขรึมในทันใด แต่เขาก็ระงับอารมณ์ไว้ได้ พูดโดยไม่ชักสีหน้าว่า “เพราะมีข้อสงสัย จึงสามารถสำแดงเอกลักษณ์และความมหัศจรรย์ของสมบัตินี้ได้ เหล่าโม่ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ดูใจแคบไปนะ”

เขาหยุดไปครู่แล้วพูดต่อว่า “อีกทั้งทุกคนต่างก็รู้ว่า การหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตามากที่สุด ครั้งนี้หลินสวินทำสำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าภายหลังเขาจะหลอมสมบัติเช่นเดียวกันนี้ได้โดยราบรื่น”

ถ้อยคำนี้ไม่แสดงความรู้สึกชัดเจน แต่หากตั้งใจฟังกลับฟังออกว่า หลัวเฟิงแน่ใจว่าที่หลินสวินหลอมอาสัญสลายออกมาได้ล้วนเป็นเพราะโชคช่วย ภายภาคหน้าน่ากลัวจะไม่โชคดีเช่นนี้แล้ว

แต่ที่หลัวเฟิงพูดก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ เพราะในกาลก่อนมีตัวอย่างลักษณะเดียวกันนี้มากมาย สาเหตุก็เพราะการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณมีอัตราการล้มเหลวสูงยิ่ง ต่อให้เป็นบุคคลระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็เคยล้มเหลวไปหลายครั้ง

หากไม่เป็นเช่นนี้ ชุดศึกสลักวิญญาณจะหายากและสูงค่าเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า

เพียงแต่วาจาที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา มีน้ำเสียงแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ขอแค่ไม่โง่ก็ล้วนฟังออก

เหล่าโม่สีหน้าถมึงทึง ในความเห็นของเขาคำพูดนี้ของหลัวเฟิงร้ายกาจเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังสาปแช่งหลินสวิน!

แต่ไม่รอให้เหล่าโม่เอ่ยปากโต้กลับ ก็ได้ยินเสียงสงบนิ่งเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น

“พูดเช่นนี้ ปรมาจารย์หลัวเฟิงกำลังคาดการณ์ว่า ภายภาคหน้าเป็นไปได้ยากที่ข้าจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้อีกใช่หรือไม่”

………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด