Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 729 ศรเดียวลิขิตฟ้าดิน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 729 ศรเดียวลิขิตฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ธนูยักษ์ปริศนาที่สร้างจากกระดูกขาว ศรเทพดำสนิทซึ่งแฝงกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ทันทีที่ปรากฏพลันดึงดูดสายตาทุกคนทันใด

ยามนี้ไม่ว่าจักรวรรดิหรือเผ่าพ่อมดเถื่อน ล้วนเคยได้ยินผลงานอันเกริกก้องมากมายของหลินสวิน

และในผลงานที่ได้ยินเหล่านี้ ทุกครั้งต่างมีการคาดเดาและข่าวลือนานัปการเกี่ยวกับธนูยักษ์กระดูกขาวและศรเทพสีดำปริศนา

เพราะจากมุมมองพวกเขา เพราะอาศัยคู่ศรธนูนี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสือเอ้อร์สร้างวีรกรรมพลิกฟ้า ข้ามระดับมาสังหารราชันกึ่งระดับ!

‘นี่คือสมบัติบรรพกาลที่สมบูรณ์แบบคู่หนึ่ง ประวัติความเป็นมาเกินคาดเดา อาจเป็นมรดกสืบทอดจากอริยะบางคน!’

นี่คือการสันนิษฐานของผู้ฝึกปราณส่วนมาก มันน่าตื่นตาและดึงดูดผู้คนยิ่ง

ดังนั้นเมื่อหลินสวินนำศรธนูปริศนาคู่นี้ออกมา สายตา ณ ที่นั้นต่างถูกดึงดูดไปสิ้น

“สมบัติชั้นดี…”

จ่างซุนเลี่ยกล่าวชื่นชม แววตาเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวนต่อเนื่อง เขาสัมผัสได้ถึงความเร้นลับและน่ากลัวของศรธนูคู่นี้อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านเพราะมัน

นัยน์ตาของราชันวิญญาณเร้น ราชันวิญญาณเขียว ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามที่อยู่ห่างออกไปกลับหดตัวลงเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง

แม้ระยะห่างไกลสุดหล้า แต่ด้วยพลังปราณของพวกเขาล้วนเพียงพอให้รับรู้ถึงพลังของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามอย่างง่ายดาย

น่ากลัวยิ่งนัก!

นี่คือสัญชาตญาณของพวกเขา พอนึกถึงว่าศรธนูคู่นี้เคยจู่โจมสังหารราชันกึ่งระดับโดยง่าย แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่อาจไม่ระมัดระวัง

“ศรเทพสีดำนั่นหายไปจากส่วนลึกหุบเขาพยัคฆ์ เดิมทีควรเป็นของพวกเรา…”

ราชันวิญญาณเร้นพึมพำ นัยน์ตาลุกโชนวูบหนึ่ง “ครานี้พวกเราอาจต้องลงมือเต็มกำลัง ชิงสมบัติล้ำค่าคู่นี้กลับมาให้หมด!”

“ไม่เลว พลังของพวกมันเร้นลับและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก แม้ไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายสมบัติอริยะได้ชั่วขณะ แต่สัญชาตญาณบอกข้า ต่อให้พวกมันไม่ใช่สมบัติอริยะ แต่จะต้องไม่ด้อยไปกว่านั้นเด็ดขาด”

ราชันคนอื่นๆ อีกสามคนปรากฏความละโมบขึ้นในใจ สมบัติพลิกฟ้าเช่นนี้ แม้แต่พวกเขาล้วนไม่เคยมีในครอบครอง จะไม่ให้พวกเขาไหวหวั่นได้อย่างไร

แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ต้องระวังตัว เพราะตอนนี้จ่างซุนเลี่ยรับธนูยักษ์แล้วง้างสายธนูเต็มที่ เล็งมาทางพวกเขาแล้ว

วู้ม!

พริบตาที่สายธนูสีแดงก่ำดั่งโลหิตถูกง้างเต็มกำลัง ลักษณ์ประหลาดลึกลับชวนประหวั่นพลันปรากฏรอบคันธนู

วายุอสนีถาโถมโหมกระหน่ำ เทพมารกราดเกรี้ยวโหยหวน ยิ่งมีธารดาราระเบิดแตก หมื่นมรรคาดับสลาย ตะวันดวงใหญ่ร่วงหล่นอยู่เหนือนภาคราม กาทองครวญโลหิตกลางทะเลเขียวมรกต!

กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงเหลือล้ำเกินบรรยายตลบอบอวล พาให้ฟ้าดินทั้งผืนเงียบสงัดทันใด!

แรงกดดันท่วมท้น!

ห้วงอากาศคล้ายแบกรับไว้ไม่อยู่ แยกปริจมดิ่งอย่างไร้สุ้มเสียง กองทัพพ่อมดเถื่อนซึ่งอยู่ไกลออกไป เวลานี้ต่างตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ โลหิตจับตัวแข็ง แต่ละคนจวนเจียนหายใจไม่ออก แทบจะพังทลาย

“แย่แล้ว!”

พวกราชันวิญญาณเร้นหน้าพลันเปลี่ยนสี พวกเขาเองก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารเสียดกระดูก น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขาต่างมีรู้สึกสั่นสะท้าน ขนพองสยองเกล้า ราวมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง

และนี่เป็นเพียงพลานุภาพที่เกิดขึ้นจากการง้างธนูเท่านั้น!

เงาร่างจ่างซุนเลี่ยสูงใหญ่ หยัดยืนเหนือห้วงอากาศ เหนี่ยวรั้งสายธนูประดุจเทพบรรพกาลเยือนโลกา ท่าทางองอาจและหยิ่งผยองนั่น ทำเอาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างสะท้าน ในใจปั่นป่วนโกลาหล

แม้แต่หลินสวินก็ยังรู้สึกเกินคาดหมาย อานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสารตอนนี้ เห็นชัดว่าทรงอานุภาพกว่าตอนอยู่ในมือตนไม่รู้กี่เท่า!

‘หรือนี่จะเป็นอานุภาพที่แท้จริงของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร’ หลินสวินพึมพำอยู่ในใจ

‘นี่จะต้องเป็นสมบัติอริยะซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพกาลคู่หนึ่งแน่ เคยย้อมโลหิตสดมานับไม่ถ้วน ไอสังหารนั่นราวสามารถปั่นป่วนหยินหยางและฟ้าดิน!’

ฉินฉู่ใจเต้นโครมคราม นัยน์ตาเบิกกว้าง วาบแววลุกโชนยากสังเกตวูบหนึ่ง สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ตกอยู่ในมือหลินสือเอ้อร์นั่น ช่างราวไข่มุกคลุกฝุ่นเหลือเกิน…

“ลงมือ!”

เสียงตวาดหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ราชันวิญญาณเขียวเป็นคนแรกที่รู้สึกว่าไม่เข้าที ชิงโจมตีก่อนอย่างห้าวหาญ เขาเรียกทวนวงเดือนซึ่งตีมาจากกระดูกสัตว์ออกมา กวาดเฉือนแหวกอากาศ ฟาดผ่าไปทางจ่างซุนเลี่ย

ตูม!

ทวนวงเดือนนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดาทั่วไป ยาวประมาณหนึ่งจั้งกว่า ทะยานสู่ฟากฟ้า ปรากฏสัญลักษณ์ประหลาดทับซ้อนมากมาย มีเสียงบริกรรมคาถาคลุมเครืออันเก่าแก่โบราณสะท้อนก้องฟ้าดิน

ห้วงอากาศแถบนี้พังทลาย ฟ้าดินราวถูกแหวกผ่าออกเป็นสองส่วน น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว สำแดงอานุภาพแห่งราชันที่แท้จริงคนหนึ่งออกมาอย่างถึงแก่น

หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบ ไม่แคลงใจแม้แต่น้อย ว่าหากตนเผชิญหน้ากับการจู่โจมนี้ คงไม่มีพลังตอบโต้สักนิด จะต้องถูกบดอัดตายคาที่ในชั่วพริบตาแน่!

นี่ก็คือพลานุภาพแห่งราชัน!

ปึง!

เกือบจะเวลาเดียวกัน จ่างซุนเลี่ยก็ปล่อยศรแห่งนภาครามออกมา มันประหนึ่งไร้ผู้ต่อกร เคลือบแฝงความดุดันรุนแรงถึงขีดสุด พลานุภาพที่แทบจะทำลายสิ้นทุกสิ่งปรากฏออกมาบนโลก

เร็วเกินไปแล้ว!

และน่าสะพรึงเหลือเกิน ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งดวงตาเจ็บแปลบ จิตใจสั่นสะท้าน ไม่อาจเห็นชัดเจน และไม่อาจรับรู้โดยสิ้นเชิง

ได้ยินเสียงดังตู้มสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทวนวงเดือนกระดูกขาวนั่นถูกกระแทกจนปลิวกระเด็น เปล่งเสียงคร่ำครวญเสียดหูหาใดเปรียบ คบทวนถึงกับแตกเป็นชิ้นๆ!

“แย่แล้ว!”

ไกลออกไป ราชันวิญญตกใจแทบสะดุ้ง เดิมทีเขาหวาดกลัวศรและคันธนูนั่นอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงชิงลงมือก่อน แต่ตอนนี้เขาเพิ่งพบว่าตนประเมินความน่ากลัวของสมบัติคู่นี้ต่ำไป!

เขาหมายหลีกหลบ

แต่แสงสีดำสายหนึ่งพลันปรากฏ ก็เห็นร่างกายของเขาถูกระเบิดเป็นสองส่วน เลือดเนื้อแตกกระจายกลายเป็นฝนโลหิตสีแดงสด สาดพรมห้วงอากาศ

ราชันผู้หนึ่ง ไม่ทันได้หลีกหลบก็ถูกสังหาร!

เมื่อเห็นภาพนี้ ราชันวิญญาณเร้น ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามซึ่งเดิมคิดจะเข้าไปช่วยต่างพรั่นพรึง สั่นไปทั้งตัวราวตกลงสู่ถ้ำน้ำแข็ง

นี่ต้องเป็นสมบัติน่ากลัวระดับใดกันแน่ ถึงได้สามารถฆ่าราชันคนหนึ่งในชั่วพริบตา

พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี สันหลังอาบเหงื่อกาฬเย็นยะเยียบ แทบถูกข่มขู่จนตะลึงงัน

บรรยากาศกลางที่นั้นเงียบสงัด ไม่ว่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนล้วนตกอยู่ในความตื่นตะลึง

ศรเดียว สังหารราชันคนหนึ่ง!

แรงสะเทือนเยี่ยงนั้น หากไม่เห็นกับตาตนเองคงไม่อาจจินตนาการได้เด็ดขาด สะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว พาให้คนแทบสูญสิ้นความกล้า

‘จริงดังคาด อานุภาพที่แท้จริงของธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามไม่เคยถูกข้าสำแดงออกมาโดยตลอด…’ ในใจหลินสวินตกตะลึงอยู่บ้าง

ธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามเดิมเป็นสมบัติของเขา แต่กระทั่งตอนนี้เขายังไม่เคยควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์

และเวลานี้เมื่ออยู่ในมือจ่างซุนเลี่ย จึงทำให้หลินสวินเห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของสมบัติคู่นี้ เรียกได้ว่าเป็นอาวุธดุดันไร้เทียมทาน แหลมคมทลายทุกสิ่ง!

ด้านข้าง ฉินฉู่ตกตะลึงเหม่อลอย นัยน์ตาจับจ้องธนูวิญญาณไร้แก่นสารราวถูกสะกด ไม่อาจเคลื่อนแม้เพียงเสี้ยว

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

หากมีสมบัติคู่นี้อยู่ในมือ ใต้หล้ากว้างใหญ่มีที่ใดที่ตนไม่อาจวางอำนาจตามอำเภอใจบ้าง

ณ ที่นั้นเงียบสงัด ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด

จ่างซุนเลี่ยไม่ได้โจมตีต่อ คนอื่นมองไม่ออก แต่เขาเองกำลังแอบพร่ำบ่นในใจ ศรธนูคู่นี้แม้อานุภาพดุดันจนแม้แต่ตัวเขายังตะลึงถึงที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันกลับผลาญพลังเขาแทบเกลี้ยง!

“ท่านแม่ทัพช่างเกรียงไกร!”

บัดนั้น มีผู้ฝึกปราณตื่นเต้นร้องตะโกนออกมา ไม่ทันไรทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดต่างมีเสียงตะโกนฮึกเหิมหาใดเปรียบ

หนึ่งศรสังหารราชัน อานุภาพเช่นนี้ ทอดตามองทั่วสมรภูมิกระหายเลือด ใครเล่าจะสามารถชิงชัย

ส่วนฝั่งกองทัพพ่อมดเถื่อน ขวัญกำลังใจกลับถูกจู่โจมสาหัสอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ละคนในใจหวาดกลัว ร้อนรนกระสับกระส่าย

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

เดิมทีพวกเขามีท่าทีเหิมเกริม เตรียมการมาพร้อม ทัพใหญ่ประชิดพรมแดน ไม่เห็นผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิในสายตา

แต่ศรเดียวของจ่างซุนเลี่ยกลับเหมือนค้อนยักษ์ที่ทุบลงบนใจพวกเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้ความใจสู้ของพวกเขาแทบพังทลาย

ไม่เพียงแค่พวกเขา แม้แต่ราชันวิญญาณเร้น ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามล้วนหน้าเปลี่ยนสี เหงื่อกาฬชุ่มกายตั้งแต่ปลายเท้า ภาพเมื่อครู่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา

แต่พวกเขากลับขัดขวางไม่ทันโดยสิ้นเชิง!

พวกเขาต่างไม่กล้าคิด หากศรนั้นพุ่งมาทางพวกเขา ตนจะต้านทานได้หรือไม่…

“ไสหัวไปตอนนี้ยังทัน”

จ่างซุนเลี่ยสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยปาก

หลินสวินชะงัก พลันตระหนักได้ว่าศรเดียวเมื่อครู่นี้ น่ากลัวว่าจะสูบพลังจ่างซุนเลี่ยเกือบหมด…

“ดูท่า เจ้าคงไม่อาจปล่อยศรดอกที่สองแล้ว”

ราชันวิญญาณเร้นคล้ายมองจุดนี้ออก กล่าวด้วยหน้าตาอึมครึม เขาไม่ยอมล่าถอยไปเช่นนี้แน่

ระดมไพร่พลมา กลับถูกผู้อื่นยิงศรเดียวสังหารราชันไปคนหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ตกใจจนสลัดขนหนีกลับ หากแพร่งพรายออกไป นั่นคงอับอายขายหน้าถึงตระกูล

“ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด”

จ่างซุนเลี่ยเปิดเผยยิ่ง “แต่เจ้าอย่าลืมว่าข้างกายข้ายังมีราชันอีกคนหนึ่ง ข้าแค่ส่งมอบศรธนูคู่นี้แก่เขาก็เพียงพอสังหารหนึ่งในพวกเจ้าอีกคน!”

ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมา พวกราชันวิญญาณเร้นพลันหน้าเปลี่ยนสี

“หรือจะบอกว่า พวกเจ้าตัดสินใจใช้อีกชีวิตหนึ่งมาสู้กับพวกข้าต่อ?”

จ่างซุนเลี่ยสีหน้าเย็นเยียบ “เช่นนั้นก็ดี ขอแค่ข้าเปิดใช้ค่ายอริยะแปดวิทูร ยืนหยัดจนพลังกายฟื้นคืน ก็มีพลังจู่โจมสังหารพวกเจ้าทีละคนๆ แล้ว!”

พวกราชันวิญญาณเร้นต่างเงียบกริบ

ในหมู่พวกเขา ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากเอาชีวิตตนไปล้อเล่น

อีกทั้งพวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับ ที่จ่างซุนเลี่ยคิดนับว่าถูกต้องยิ่ง ทำให้พวกเขาหวาดหวั่น ไม่กล้าผลีผลามลงมือ

แต่จะให้พวกเขากลับไปอย่างกระอักกระอ่วนเช่นนี้ นั่นคงอัดอั้นและขายขี้หน้าเกินไปแล้ว!

ด้านผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิล้วนกำลังโห่ร้องและตะโกนเพิ่มขวัญกำลังใจ ใครต่างคาดไม่ถึงว่าศึกใหญ่เหี้ยมโหดหาใดเปรียบยังไม่ทันเปิดฉาก แต่เพราะการปรากฏตัวของศรธนูคู่หนึ่ง ถึงกับพลิกสถานการณ์โดยสิ้นเชิง!

นี่ช่างราวภาพฉากแห่งความฝัน

และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหลินสวินที่นำมา นี่ทำให้สายตาพวกเขาที่มองยังหลินสวินต่างฮึกเหิมและชื่นชมยิ่งกว่าเดิม

“ข้าลุยเอง!”

ฉินฉู่เป็นฝ่ายออกปากด้วยตัวเอง กระตือรือร้นอยากลองดู แววตาเขาเร่าร้อน แทบอยากชิงศรธนูคู่นั้นในมือจ่างซุนเลี่ยมาเต็มประดา อยากลองสัมผัสพลานุภาพร้ายกาจของมันด้วยตัวเอง

เพียงแต่ยังไม่รอให้จ่างซุนเลี่ยตกปากรับคำ พวกราชันวิญญาณเร้นซึ่งอยู่ไกลออกไปก็ทำการตัดสินเด็ดขาด

“ถอย!”

พวกเขาล่าถอย หน้าตาคล้ำเขียวเจือเพลิงโทสะและความแค้นเหลือคณา นี่เป็นการตัดสินใจที่ปลอดภัยที่สุด แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่อัปยศอดสูยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ทัพใหญ่ประชิดพรมแดน กลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งซะจริง ทำให้พวกเขาต่างท้อแท้สิ้นหวัง หน้าตาอับแสง

ครืน ครืน…

กองทัพพ่อมดเถื่อนถอยกลับว่องไวดั่งกระแสน้ำ หายลับจากไปบนเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล

เมื่อเห็นภาพนี้กับตาตนเอง ค่ายหมายเลขเจ็ดแห่งจักรวรรดิกลับเงียบสงัด ผู้ฝึกปราณแต่ละคนต่างสีหน้ามึนงงคล้ายไม่กล้าเชื่อ

กองทัพศัตรูซึ่งนำโดยราชันเถื่อนสี่คน… กลับถอยไปเช่นนี้?

เดิมทีหากเป็นไปตามปกติ จะต้องเปิดศึกใหญ่อันบ้าระห่ำ แต่สภาพการณ์ดันผกผันและเปลี่ยนแปลงซะอย่างนั้น ทำให้ทุกอย่างยังไม่ทันได้เกิดขึ้นก็สิ้นสุดลงกะทันหัน

และสิ่งที่ชักนำให้เกิดทุกอย่างนี้ มาจากศรและธนูในมือหลินสวิน!

ศรเดียวสังหารราชัน ศรเดียวสะท้านเหล่าศัตรู ทำเอาพวกมันหลีกหนีแตกตื่น!

นี่สิถึงเรียกว่าศรเดียวลิขิตฟ้าดินอย่างแท้จริง!

……………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด