Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 338

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 338 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
โสมหิมะหยก
โดย

ภูเขาชำระจิต

จูเหล่าซานยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างราวภูผาสูงชันทอดเงายาวบนพื้น หนวดเคราผมเผ้าของเขารุงรังราววัชพืช ใบหน้าดำคล้ำ กล้ามเนื้อสีทองแดงบึกบึนเหมือนหินผา บนมือคู่โตดังพัดมีนิ้วมือหนา เส้นเลือดหลังมือคล้ายจะระเบิดปริออก เขายืนอยู่ตรงนั้น มีท่าทีกล้าแกร่งไม่หวั่นไหว

เพียงเห็นจูเหล่าซานในหนแรก หลินสวินก็ใจสั่นสะท้าน รู้สึกกดดันยากจะบรรยาย

ราวกับจูเหล่าซานเป็นเทพสงครามที่เพิ่งออกมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยภูเขาศพทะเลเลือด ลมหายใจปนเลือดเหล็กของมือสังหารอันมีเอกลักษณ์นั้นซึมซาบเข้าไปถึงกระดูก ไม่สามารถปิดบังไว้ได้จริงๆ

แข็งแกร่งมาก!

อย่างน้อยต้องมีปราณระดับหยั่งสัจจะ!

หลินสวินประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าชายผู้เก่งกล้าที่มาเพื่อ ‘แทนคุณ’ จะเป็นผู้มีความสามารถแข็งแกร่งปานนี้

ขณะเดียวกับที่หลินสวินประเมินจูเหล่าซานนั้นเอง ฝ่ายหลังก็เงยหน้าขึ้น มองหลินสวินปราดหนึ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ ดวงตาสงบนิ่ง แต่เพียงมองครั้งเดียว กลับทำให้หลินสวินรู้สึกราวถูกหอกทิ่มแทงไปทั้งตัว

ยังดีที่ในชั่วพริบตานั้นจูเหล่าซานถอนสายตาออกมา พูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าชื่อจูเหล่าซาน เมื่อห้าร้อยเจ็ดสิบหกปีก่อน ในการบุกกองทัพมืดครั้งที่สิบเก้าของจักรวรรดิ ข้าเคยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก โชคดีท่านเต้าเฉินยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ ทำให้ข้ารอดชีวิตมาครั้งหนึ่ง”

เสียงต่ำทุ้มดังขึ้นกลางโถงใหญ่ “ตอนนั้นข้าเคยสาบานไว้ ชีวิตนี้ต้องแทนคุณท่านเต้าเฉินที่ช่วยชีวิตให้จงได้!” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดทันที จมอยู่ในความเงียบ

พูดจบแล้วหรือ?

หลินสวินอึ้งไป รอครู่หนึ่ง เมื่อจูเหล่าซานไม่มีทีท่าจะพูดต่อ ก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านทวดข้าจากไปแล้ว ท่านมาช้าไปแล้วล่ะ”

จูเหล่าซานตอบเสียงต่ำ “ไม่ช้าไปหรอก เจ้าเป็นเหลนสายตรงของท่านเต้าเฉิน ข้าถือว่าเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณ ต้องตอบแทนที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

พูดตามจริง มีผู้มากฝีมือเช่นนี้มาออกตัวแทนคุณเองเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับหลินสวิน ซึ่งในตอนนี้ขาดคนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขากลับไม่กล้าออกตัวรับคำเอง

“สิบกว่าปีก่อน ตระกูลหลินของข้าเคยเกิดเหตุนองเลือดขึ้น ส่งผลให้ท่านปู่ ท่านพ่อและคนในตระกูลถูกฆ่า ถ้าท่านอยากแทนคุณ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวเสียตั้งแต่ตอนนั้น”

แววตาหลินสวินลุ่มลึก มองตรงไปยังจูเหล่าซาน

ทันใดนั้น หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาของจูเหล่าซานฉายแววหวั่นไหวยากจะสังเกตเห็น ดูเจ็บปวด ดูโทษตัวเอง

แต่ฉับพลันจูเหล่าซานก็กลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าเพิ่งออกจากสนามรบกลับเข้ามาที่เมืองต้องห้าม ผู้ร้ายก็หายตัวไปแล้ว” เขาไม่อธิบายมากนัก ตัวเขาเหมือนหินผาเย็นชา ทำให้ผู้อื่นไม่อาจจับความรู้สึกในใจหรือความคิดของเขาได้

ทว่าเพียงครู่เดียวหลินสวินกลับเข้าใจ

หลังจากเกิดเหตุนองเลือดนั้น ทุกคนนึกว่าคนตระกูลหลินตายไปหมดแล้ว บวกกับศัตรูก็มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าอันลึกลับ สถานการณ์เช่นนี้ต่อให้จูเหล่าซานอยากทดแทนบุญคุณก็คงไม่มีทางทำได้

“ข้าเพิ่งกลับมาภูเขาชำระจิตเมื่อวาน แล้วท่านรู้ฐานะของข้าได้อย่างไร” หลินสวินถามขึ้นทันควัน

จูเหล่าซานพูดอย่างกระชับได้ใจความ “ข้าได้ยินจากปากลูกชายเทพเศรษฐี”

“สืออวี่หรือ”

หลินสวินตะลึงงัน ความสงสัยในใจบรรเทาลงไม่น้อย เขาคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปถามสืออวี่ ก็ได้รู้ที่มาที่ไปของจูเหล่าซานเองเสียแล้ว

เด็กหนุ่มพึมพำ “ท่านคิดว่าจะแทนคุณอย่างไร”

จูเหล่าซานเอ่ย “ข้าต่อสู้เป็นอย่างเดียว เจ้าให้ข้าเป็นผู้คุ้มภัยของเจ้าก็ได้ ยามข้าเห็นว่าได้แทนคุณจนหมดแล้ว ข้าจะจากไปเอง”

หลินสวินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ต้องให้ข้าเตรียมอะไรให้หรือไม่”

จูเหล่าซานตอบ “ข้าวหนึ่งชาม น้ำหนึ่งกระบวยก็พอแล้ว ข้าจะไม่ยุ่งกับชีวิตเจ้า เพียงเมื่อเจ้าต้องการข้า ข้าจะปรากฏตัวเอง”

ในที่สุดหลินสวินก็มั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ต้องการมาแทนคุณจริงๆ จึงห้ามใจไม่ให้รู้สึกขอบคุณมิได้

ท่านทวดที่ตนไม่เคยได้พบหน้าจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและอิทธิพลที่ทิ้งไว้ครานั้น กลับยืนยาวมาถึงบัดนี้ แค่คิดก็รู้ว่ากิตติศัพท์และชื่อเสียงของท่านทวดในตอนนั้นจะสูงส่งเพียงไหน!

ทว่าจูเหล่าซานยิ่งประหลาดคน บุญคุณครานั้นเพียงครั้งเดียว ก็จดจำฝังใจจนบัดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณผู้อื่น ใครจะยึดถือไว้ได้อย่างเขา เมื่อตั้งสัตย์สาบานแล้วไม่คืนคำ นี่สิถึงเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง!

หลินจงไปส่งจูเหล่าซานออกจากโถง ไม่นานนักก็กลับมารายงานว่า “นายน้อย ข้าจัดที่พักไว้ให้เขาแล้วขอรับ”

หลินสวินส่งเสียงอืม พูดอย่างใคร่ครวญว่า “ลุงจง ท่านว่าคนคนนี้เป็นอย่างไร”

บ่าวชรานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วรีบตอบว่า “คนคนนี้เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายมือสังหารเลือดเหล็ก เป็นผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้ในสนามรบนานปีแน่นอน ดูวาจาท่าทางก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตนะขอรับ”

หลินสวินถามคำถามที่คาดไม่ถึง “เช่นนั้นท่านเอาชนะเขาได้หรือไม่”

“นี่ก็…”

หลินจงอึ้งไป เหมือนถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัว พลันตอบอย่างอายๆ ว่า “นายน้อย ข้าเป็นคนรับใช้แก่ๆ ไปเทียบกับผู้แข็งแกร่งผู้นั้นคงมิได้หรอกขอรับ”

หลินสวินร้องอ๋อ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางพูดว่า “ลุงจง ขนาดข้ายังมองพลังที่แท้จริงของจูเหล่าซานผู้นั้นไม่ออก ท่านกลับไม่เพียงประเมินพลังของอีกฝ่ายได้ ทั้งยังระบุชัดเจนว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง ออกจะแปลกนะ”

อีกฝ่ายยิ้มขื่น “นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ บ่าวเคยติดตามรับใช้นายท่านผู้นำตระกูลอยู่นานปี เห็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะมาก็มาก ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ทำได้เองอย่างง่ายดายขอรับ”

เด็กหนุ่มพูดพลางถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่เค้นถามท่านแล้ว ท่านไปเถอะ”

หลินจงอยากพูดแต่ยั้งปากไว้ ในที่สุดก็อดกลั้นได้ จึงหันหลังจากไป

‘ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุน ผู้ได้ตำแหน่งทั่นฮวาในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อหกสิบปีก่อน ขนาดพญาแร้งยังเคยได้ยินชื่อ เพียงคิดก็รู้ว่าเป็นบุรุษมากความสามารถไร้เทียมทานที่สะดุดตาขนาดไหน ถ้าลุงจงคือเสิ่นจิงหลุนจริงๆ เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้’ หลินสวินใคร่ครวญพลางเดินขึ้นไปชั้นสาม

ชั้นสามของตำหนักชำระจิตเป็นห้องฝึกลับที่จัดไว้ให้ผู้นำตระกูลหลินโดยเฉพาะ ในอดีต ที่นี่สงวนไว้ให้ผู้นำตระกูลใช้เพียงผู้เดียวเหมือนเป็นเขตหวงห้าม แต่บัดนี้เมื่อได้ครอบครอง ‘ลัญจกรชำระจิต’ แล้ว หลินสวินก็สามารถเข้าไปได้

เมื่อหลินสวินมาถึงที่แห่งนี้ มีประตูสำริดโบราณบานหนึ่งกั้นอยู่ตรงหน้า พื้นผิวประตูสลักด้วยลายเมฆสลับซับซ้อน เก่าแก่ราวกรำโลกมานาน

ตั้งแต่มาถึงภูเขาชำระจิต เขาได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก

หลินสวินสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ยื่นลัญจกรชำระจิตออกมา พลังปราณระดับจิตผสานวิญญาณในกายไหลเวียน ฉับพลันลัญจกรสาดลำแสงสีม่วงหลั่งไหลอาบท่วมประตูสำริด

ทันใดนั้นพื้นผิวประตูสำริดเต็มไปด้วยเกลียวคลื่นพร่าเลือนไร้รูปร่าง ราวกับเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล

ประตูพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบต่อหน้าหลินสวิน

นอกตำหนักชำระจิต หลินจงกำลังถอนหญ้าที่ขึ้นรกตามทางขึ้นเขา เมื่อประตูสำริดเปิดออก ร่างค่อมชะงักเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นทันควัน ทอดตามองไปที่ตำหนักชำระจิต สีหน้าฉายแววซับซ้อนยากบรรยาย เหมือนรอคอยอยู่ลึกๆ ระคนลังเล

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลินจงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วละสายตาออกมา

ถึงบอกว่าเป็นห้องฝึกลับ แต่แท้จริงแล้วต่างกับวังตากอากาศตรงไหน

ชั่วขณะที่ประตูสำริดเปิดออก หลินสวินได้เห็นตำหนักใหญ่โตน่าเกรงขาม จนพูดได้ว่าโอ่โถงมโหฬารเสียด้วยซ้ำปรากฏขึ้นสู่สายตาตนเอง

ภายในว่างเปล่า หลินสวินรู้สึกตัวเล็กจิ๋วเมื่อเดินเข้าไป

ประตูเบื้องหลังเขาปิดลงอย่างเงียบเชียบ ในห้วงนั้นราวกับถูกตัดขาดจากโลก

“นี่หรือสถานที่ที่ผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงเข้ามาฝึกปราณได้” หลินสวินมองโดยรอบ กวาดสายตาไปก็ไม่พบกับเครื่องตกแต่งใดเลย มีเพียงเบาะรองนั่งที่ตั้งไว้กลางตำหนัก

หลินสวินไม่อาจห้ามใจไม่สงสัย หลังจากเกิดเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ขนาดห้องลับที่ไว้ฝึกพลังปราณยังโดนปล้นเสียเกลี้ยง ไม่เช่นนั้นจะว่างเปล่าขนาดนี้ได้อย่างไร

คิดไปคิดมา หลินสวินอดถอนใจไม่ได้ มาคิดเอาตอนนี้แล้วได้ประโยชน์อะไรเล่า

เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าเบาะรองนั่งที่ตั้งไว้กลางตำหนัก แล้วนั่งลงขัดสมาธิ

แม้ว่าเรื่องที่เกิดกับตัวมีมากนัก แต่หลินสวินไม่กล้าว่างเว้นการฝึกปราณ เขาตั้งใจแล้วว่าถ้ามีเวลาจะใช้ฝึกปราณทั้งหมดเพื่อให้ตนเลื่อนขั้นเร็วขึ้น เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม!

หลินสวินสูดหายใจเฮือกใหญ่ นำโสมสีขาวโพลนราวหิมะที่แตกรากบางมากมายออกมา

สิ่งนี้ยาวครึ่งคืบ หนาเท่าเปลวเทียน รูปลักษณ์เหมือนทารกหลับสนิท กลิ่นยาเข้มข้นชื่นใจกำจาย เพียงสูดดมครั้งเดียวก็ทำให้หลินสวินกระชุ่มกระชวยไปทั้งร่าง จิตใจปลอดโปร่ง

นี่ก็คือโสมหิมะหยก!

ยาวิเศษบำรุงปราณที่ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าคลั่งไคล้ ช่วยให้ผู้ฝึกปราณสกัดพลังปราณ เพิ่มระดับขั้น มีสรรพคุณเหลือคณา สูงค่าควรเมือง

โดยทั่วไป ยาวิญญาณสูงค่าระดับนี้ มีเพียงผู้ฝึกปราณชั้นสูงเท่านั้นถึงสกัดแล้วนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากผู้ฝึกปราณธรรมดากลืนกินยานี้เข้าไป อาจจะรับพลังมหาศาลที่กักเก็บอยู่ในยานี้ไว้ไม่อยู่ หลินสวินก็รู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้คิดจะกลืนโสมหิมะหยกลงไปในคราวเดียว

ก่อนอื่น เขาเตรียมขวดหยกมันแพะไว้ จากนั้นดึงรากโสมหิมะหยกออกมาเส้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง แล้วใส่โสมลงไปในขวดทันที ปิดผนึกแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้สรรพคุณยาของโสมกระจายออกมา

สุดท้าย หลินสวินจึงนำรากที่เด็ดไว้ยัดเข้าปากไป

แม้เขาจะระวังอย่างที่สุด แต่เขาก็ยังประเมินฤทธิ์ยาอันน่ากลัวที่โสมนี้มีอยู่ต่ำไป

เมื่อรากลงไปถึงท้อง หลินสวินได้ยินเพียงเสียงโครมราวกับหินหนืดมากมายปะทุในตัวเขาฉับพลัน

ชั่วพริบตาเท่านั้น ฤทธิ์ยาร้อนระอุดังม้าป่าที่หลุดพ้นการควบคุม ทะลุทะลวงทั่วทั้งจุดปราณเส้นปราณในกาย เกิดเป็นความเจ็บปวดร้อนรุ่มหาใดเปรียบ

ผิวหนังเนื้อตัวหลินสวินแดงซ่านขึ้นทันตา ทั้งร่างราวกลืนเตาไฟเข้าไป เหมือนกำลังจะเผาไหม้ รอบตัวมีไอสีขาวพวยพุ่งขึ้นไม่ขาดสาย

ฤทธิ์ยานี้น่ากลัวนัก!

เพียงรากเส้นเดียวก็ทำให้ร่างของหลินสวินเกิดภาพหลอนราวแทบระเบิดเกินรับไหว

อย่างที่รู้ แก่นพลังตอนเขาอยู่ขั้นผสานดินกล้าแข็งยิ่งนัก แกร่งพอที่จะล้มผู้แข็งแกร่งขั้นผสานฟ้าได้สบาย ทว่าตอนนี้ ขนาดแก่นพลังอันเข้มแข็งหาใดเปรียบของเขายังแทบต้านทานไว้ไม่อยู่!

มาเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว หลินสวินส่งเสียงหึทุ้มต่ำ กัดฟันกรอด เค้นแรงทั้งหมดสร้างวงโคจรเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน

ในเวลาเดียวกัน หินโม่พายุที่อยู่ในกายก็หมุนคว้างอย่างบ้าคลั่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด