Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 300

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 300 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
300 คุณชายผู้ถือดี
โดย

ในการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ หลินสวินได้รู้จากปากของผู้ฝึกปราณที่ถูกจับเป็นบางคนแล้วว่าผู้ที่ส่งกองกำลังมาต่อกรกับตนครั้งนี้ก็คือตระกูลฉือที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจชั้นสูงจากนครต้องห้าม

แต่ผู้ที่ดำเนินการเคลื่อนไหวครั้งนี้ กลับเป็นลูกหลานรุ่นหลังตระกูลฉือนามฉือฉางเหมย รวมถึงสวี่เชียนจิ้ง ‘ปรมาจารย์กลศึก’ รุ่นเยาว์จากสำนักศึกษามฤคมรกต

สำหรับปรมาจารย์กลศึกที่เชี่ยวชาญการจัดทัพวางแนวรบอย่างสวี่เชียนจิ้งแล้ว หลินสวินไม่กล้าเพิกเฉยอย่างแน่นอน

เขาถึงกับสงสัยว่า การล้อมสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าหลายวันก่อน ทำให้สวี่เชียนจิ้งรู้จักรูปแบบการต่อสู้และพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของตนราวนิ้วมือตัวเองอยู่นานแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูยิ่งเข้าใจตนมากเท่าไร ก็รังแต่จะเป็นผลเสียต่อตัวเองมากเท่านั้น

ทว่าหากตนสามารถบรรลุเข้าขั้นผสานดินได้ในเวลาอันใกล้นี้ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีก ต่อให้สวี่เชียนจิ้งต้องการต่อกรกับตน ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจพลังที่แท้ของตนใหม่อีกครั้ง

และหากสวี่เชียนจิ้งต้องการทำได้ถึงขั้นนี้ ก็ต้องสิ้นเปลืองเวลายิ่งขึ้นเพื่อรวบรวมรายงานข่าวและวิเคราะห์สันนิษฐาน!

ขอเพียงมีเวลาเป็นตัวกันกระแทก ก็สามารถทำให้หลินสวินมีโอกาสใช้ประโยชน์ได้มากมาย

ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าความคิดและการสันนิษฐานทั้งหมดของเขาเวลานี้เสียเปล่าถึงเพียงไหน เพราะก่อนเขาสร้างความเสียหายอย่างหนักให้เรือรบวีรชนม่วง สวี่เชียนจิ้งก็ถูกฉือฉางเหมยชิงอำนาจสั่งการและจากไปอย่างเศร้าสร้อย…

แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินสวินก็รู้สึกได้อย่างแรงกล้าถึงเค้าลางบรรลุขั้น หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน เขาจะบรรลุเข้าสู่ขั้นผสานดินอย่างราบรื่นในไม่กี่วันนี้!

วิธีการเลื่อนขั้นเช่นนี้เป็นการพรั่งพรูที่กดทับไว้ไม่ได้แล้ว เป็นไปตามสถานการณ์ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ประหนึ่งน้ำเต็มแก้วเอ่อไหลออกมาเอง ทดสอบว่าแก่นการฝึกปราณของผู้ฝึกปราณรุ่มรวยถึงที่สุดหรือไม่ได้ดีที่สุด

ตัวหลินสวินรอคอยยิ่งว่าเมื่อตนเข้าสู่ขั้นผสานดิน ความเปลี่ยนแปลงของพลังต่อสู้จะนำความประหลาดใจอย่างไรมาให้ตนบ้าง

หลังจากเดินหน้ามาหลายชั่วยาม ทัศนวิสัยตรงหน้ายิ่งเปิดกว้างขึ้น สามารถเห็นได้แล้วว่าบนขอบฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาปรากฏเค้าโครงเมืองเมืองหนึ่ง

นั่นคือเมืองมังกรเหลือง ถือเป็นเมืองใหญ่พลุกพล่านเมืองหนึ่งในมณฑลซิงอวิ๋นที่อยู่ภาคกลางของจักรวรรดิ

ตามเส้นทางที่หลินสวินวางไว้ก่อนหน้านี้ เมืองมังกรเหลืองเป็นหนึ่งในเมืองที่ต้องผ่าน

เขาคิดจะเร่งไปให้ถึงเมืองมังกรเหลืองก่อนฟ้ามืดอย่างเต็มกำลัง จากนั้นก็หาที่ปลอดภัย เก็บตัวเพื่อเตรียมตัวบรรลุขั้นผสานดิน

ในป่ากว้างอันตรายเกินไป หากตอนบรรลุขั้นเกิดอันตรายอะไรเข้า ย่อมถูกโจมตีถึงชีวิตแน่

ส่วนระหว่างเข้าเมืองมังกรเหลืองจะพบอันตรายหรือไม่ หลินสวินไม่ได้กังวลมากนัก

น่าขันนัก นั่นเป็นเมืองที่พลุกพล่านเมืองหนึ่งในจักรวรรดิเชียวนะ ต่อให้ศัตรูกำเริบเสิบสานกว่านี้ ก็ย่อมไม่กล้าต่อกรกับตนอย่างใจกล้าบ้าระห่ำแบบก่อนหน้านี้อีก

หืม?

เมื่อหลินสวินมุ่งหน้าเดินไปนั้นเอง พลันสังเกตได้ว่ายังสถานที่ไกลโพ้นมีขบวนขบวนหนึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้

นัยน์ตาเขาหรี่ลง ขณะที่กำลังประเมินอยู่ว่ากองกำลังนั้นเป็นของศัตรูหรือไม่ กลับค้นพบอย่างไม่ตั้งใจว่ารถลากที่แผ้วทางอยู่หน้าขบวนแขวนธงลายเมฆสีเหลืองผืนหนึ่งไว้ ด้านบนเขียนว่าอัครการค้าอย่างชัดเจน

เหตุใดถึงพบกองกำลังของอัครการค้าที่นี่ได้

หลินสวินอึ้งไป เมื่อขบวนนั้นใกล้เข้ามา เขาก็ยิ่งค้นพบเงาร่างของคนคุ้นเคยคนหนึ่ง…หวังหลิน!

หวังหลินผู้นี้เป็นนักประเมินทรัพย์ของอัครการค้าเมืองตงหลิน ทั้งเป็นบริวารข้างกายมู่หวั่นซูที่มีฝีมือที่สุด

ช่วงแรกที่อยู่เมืองตงหลิน หลินสวินก็เคยสานสัมพันธ์กับหวังหลิน แต่ไม่คิดว่ากลับบังเอิญพบเขาที่นี่ได้

“หลินสวิน! เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้”

แทบจะในเวลาเดียวกัน หวังหลินที่นั่งอยู่บนรถลากนั้นก็พบหลินสวินเข้า พลันโบกมืออย่างประหลาดใจและมีท่าทีเกินคาดถึงที่สุด

ทันใดนั้นขบวนที่มีขนาดหลักร้อยคนกองนี้ก็หยุดลง

หวังหลินรีบลงจากรถลากมาอยู่ตรงหน้าหลินสวิน พูดพลางยิ้มว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในที่ป่ากว้างเช่นนี้จะบังเอิญเจอเจ้าได้”

หลินสวินหัวเราะ “ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน”

“เจ้ามากับข้า คุณหนูหวั่นซูก็อยู่ในขบวน หากนางเห็นเจ้าต้องประหลาดใจมากแน่ ฮ่าๆ” หวังหลินพูดพลางพาหลินสวินเดินไปกลางขบวน

ระหว่างที่เดินอยู่ หลินสวินถึงสังเกตเห็นว่าขบวนของอัครการค้าครั้งนี้มีเอกลักษณ์มาก นอกจากมีทหารยามที่มีฝีมือและไหวพริบหลายสิบคนแล้ว ยังมีเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีหลายคน แม้ใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่พลังและความแข็งแกร่งเต็มเปี่ยม

เมื่อหลินสวินประเมินเด็กหนุ่มเหล่านั้น พวกเขาก็ประเมินหลินสวินด้วยความสงสัยเช่นกัน

“พวกนี้เป็นต้นอ่อนชั้นดีที่คุณหนูหวั่นซูคัดเลือกมาจากอัครการค้าเมืองมังกรเหลือง เพียงต้องขัดเกลาเสียหน่อยก็จะกลายเป็นบริวารที่มีความสามารถที่สุด”

หวังหลินแจกแจง

หลินสวินพูดอย่างตกตะลึงว่า “แค่บริวารเท่านั้นเอง เหตุใดต้องถ่อมาไกลถึงเพียงนี้”

หวังหลินอธิบายเสียงค่อย “คุณหนูหวั่นซูเพิ่งตั้งตัวในเมืองหมอกอำพราง ข้างกายขาดคนที่ใช้การได้ แต่เพื่อไม่ให้มีเรื่องคนตั้งใจเข้ามาเป็นสายลับเกิดขึ้น ก็ทำได้เพียงทิ้งคนใกล้มาหาคนไกลนี่ล่ะ”

เวลานี้หลินสวินถึงเข้าใจในทันทีทันใด อดพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้ว่า “คิดจะทำการสักอย่างต้องวางพื้นฐานให้ดีเสียก่อน ยามใช้คน ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติอย่างแรกๆ ที่สำคัญที่สุด”

หวังหลินพูดไปยิ้มไปว่า “เช่นนั้นล่ะ”

เวลานี้หลินสวินถึงนึกขึ้นมาได้ มิน่าตอนเขากำลังจะออกจากเมืองหมอกอำพราง เขาไปอัครการค้าเพื่อไปบอกลามู่หวั่นซู แต่กลับรับทราบว่านางไม่อยู่ ที่แท้ก็ไปเมืองมังกรเหลืองเพื่อคัดเลือกบริวารเสียแล้ว

“หวังหลิน เหตุใดขบวนถึงหยุดเล่า”

ยังไม่ทันเดินถึงตรงกลางขบวน ก็เห็นว่าบุรุษชุดเงินผู้หนึ่งเดินมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

บุรุษชุดเงินผู้นี้รูปลักษณ์สง่างาม สวมเกี้ยวขนนกบนศีรษะ คาดเข็มขัดหยกที่เอว สวมรองเท้าหุ้มข้อลายมังกร ในมือถือพัดหรูหราเล่มหนึ่ง ยามยกมือย่างเท้าเผยให้เห็นท่าทีหยิ่งผยองวางโต

“ระหว่างทางบังเอิญเจอสหายของคุณหนูหวั่นซูท่านหนึ่ง ข้าจึงพาเขามาพบคุณหนูเสียหน่อย”

หวังหลินสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา ใบหน้าเก็บซ่อนความชิงชังและต่อต้านที่ยากสังเกตเห็นไว้ เขาพูดพลางพาหลินสวินเดินต่อไป

กลับเห็นว่าบุรุษชุดเงินส่งเสียงหึหยัน ย่างก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวขวางทางไว้ แล้วพูดว่า “เพื่อนคนไหนหรือ เหตุใดข้าไม่ยักเห็น”

เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นหลินสวินกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ดูจองหองไร้มารยาทถึงที่สุด

เวลานี้ขนาดหลินสวินก็อดนิ่วหน้าไม่ได้ เขารู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า บุรุษชุดเงินผู้นี้แสดงความไม่เป็นมิตรกับตนอย่างเปิดเผย

หวังหลินสีหน้าอึมครึมไม่น้อย เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ ท่านผู้นี้ก็คือเพื่อนของคุณหนูหวั่นซู นามว่าหลินสวิน”

เขาพูดพลางแนะนำหลินสวินว่า “หลินสวิน นี่คือคุณชายลู่เซ่าอวิ๋น”

หลินสวินร้องอ๋อ ในโสตประสาทพลันมีเสียงสื่อจิตแผ่วเบาของหวังหลินดังขึ้นว่า “บิดาของเจ้านี่ชื่อลู่เทียนจ้าว เป็นผู้ดูแลอาวุโสที่มีอำนาจมากผู้หนึ่งของสาขาใหญ่อัครการค้า”

“และเจ้าลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้หลงตัวเองนัก อาศัยชื่อบิดาเขาเกี้ยวสตรีไปทั่ว ไม่รู้จักร่ำเรียน ชื่อเสียงที่ลือออกไปก็ย่ำแย่ ได้ยินมาว่าเพราะไปต่อสู้แย่งชิงสตรีนางหนึ่ง เลยหมางใจกับลูกผู้ดีที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งท่านหนึ่งในนครต้องห้าม ถูกบิดาเขาขับออกจากนครต้องห้าม”

“ครานี้เมื่อคุณหนูหวั่นซูมาทำธุระที่เมืองมังกรเหลือง ก็ถูกเจ้าลู่เซ่าอวิ๋นนี่พบเข้า ทันใดนั้นก็ติดแจเหมือนแผ่นแปะยาหนังหมา เห็นได้ชัดว่าหมายใจความงามของคุณหนูหวั่นซู แต่ไม่ว่าอย่างไร บิดาของเจ้านี่ก็เป็นผู้ดูแลอาวุโสที่มีอำนาจมากผู้หนึ่งของสาขาใหญ่อัครการค้า ด้วยกลัวจะผิดใจกัน คุณหนูหวั่นซูก็จนใจกับเจ้านี่ ทำได้เพียงให้เขาติดตามมา”

การส่งกระแสจิตอธิบายนี้ทำให้หลินสวินเข้าใจในทันทีทันใด

เวลาเดียวกับที่หวังหลินอธิบาย ลู่เซ่าอวิ๋นก็ทอดสายตามายังหลินสวิน ประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเหิมเกริมไม่เกรงกลัว แล้วแค่นหัวเราะออกมา “เจ้านี่อายุเพิ่งสิบกว่าปีกระมัง แต่งกายก็ซอมซ่อเช่นนี้ จะเป็นเพื่อนของหวั่นซูไปได้อย่างไร”

คำถากถางตรงไปตรงมานี้ขอเพียงหูไม่หนวกก็ฟังออก

หวังหลินไม่คิดเลยว่าลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้จะปากคอเราะรายได้ถึงเพียงนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “คุณชายลู่ สำรวมกิริยาด้วย!”

ลู่เซ่าอวิ๋นยกพัดหยกในมือขึ้น พลันตีที่หน้าผากของหวังหลิน “ไอ้หมารับใช้ ใครให้เจ้ากล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้!”

เผียะ!

พัดหยกลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วถูกมือหนึ่งคว้าไว้ได้ เป็นหลินสวินที่ลงมือ

เขาทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ เดิมทีเขานึกว่ารุ่ยชิงที่เขาได้พบในเมืองหลิวเขียวก็ก้าวร้าวมากพอแล้ว ใครจะคิดว่าเมื่อเทียบกับลู่เซ่าอวิ๋นตรงหน้า ช่างเหมือนพ่อมดน้อยพบพ่อมดใหญ่

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

พัดหยกถูกยึดไว้ ลู่เซ่าอวิ๋นพยายามอย่างสุดแรงก็ยังชิงมาไม่ได้ พลันโวยวายด่าทอแล้วเตะหลินสวิน

ผลัวะ!

ก็เห็นว่าหลินสวินรอดูท่าทีค่อยลงมือ หมัดเดียวกระแทกบนหน้าผากของลู่เซ่าอวิ๋นจนดั้งยุบ เกิดเสียงวิ้งในหัว มึนงงมองเห็นดวงดาว ร่างกายกระเด็นออกไปอย่างเสียการควบคุม

ยังไม่จบเท่านี้ หลินสวินไม่แม้แต่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งขึ้นไปหาลู่เซ่าอวิ๋นแล้วต่อยตีอย่างบ้าคลั่งจนเขาตัวคดตัวงอ ร้องเสียงดังโหยหวน

หวังหลินพลันมองนิ่ง ลู่เซ่าอวิ๋นเหิมเกริมมาก แต่ก็เพียงแค่แกว่งปาก หลินสวินเสียอีกที่ไม่เปลืองวาจาสักคำก็เริ่มลงมือ สองคนนี้เทียบกันแล้ว หลินสวินกลับดูอหังการแข็งกร้าวยิ่งนัก

พูดตามจริง เมื่อหวังหลินเห็นลู่เซ่าอวิ๋นถูกตีจนเป็นเช่นนั้น ในใจก็สะใจยิ่งนัก แต่เมื่อคิดถึงฐานะของลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้ เขาก็พลันปวดหัวขึ้นมาทันที

ความเคลื่อนไหวของฝั่งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในขบวนรถอยู่นานแล้ว แต่เมื่อเห็นลู่เซ่าอวิ๋นถูกเล่นงานกลับไม่มีใครมาขัดขวาง กลับรู้สึกพอใจเหมือนกับหวังหลิน

ระหว่างทางลู่เซ่าอวิ๋นกริยาเสแสร้ง เย่อหยิ่งยโส เห็นใครขัดหูขัดตาก็เอาแต่ตำหนิติเตียน พาให้ผู้อารักขาเหล่านั้นล้วนเก็บกักความโกรธไว้ในใจ

แต่เพราะมู่หวั่นซูเคยสั่งไว้ว่าไม่สามารถมีเรื่องกับลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้ได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงขัดเคืองแต่พูดออกมาไม่ได้

ทว่าตอนนี้หลินสวินเมื่อมาถึงก็สั่งสอนคุณชายจากตระกูลร่ำรวยผู้นี้เสียยกหนึ่ง พวกเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร

“ไอ้เวร! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”

ลู่เซ่าอวิ๋นถูกสั่งสอนจนใบหน้าฟกช้ำ คำรามเสียงแหลม

ปึ้กๆๆ !

ที่รอรับเขาอยู่ก็คือการเตะอย่างบ้าระห่ำ

“เจ้าตายแน่! ตายแน่ๆ!”

ลู่เซ่าอวิ๋นเบ้าตาแทบฉีกขาด โกรธจนแทบระเบิด

ร้องโหยหวนครั้งหนึ่ง ปากเขาก็ถูกดินโคลนที่เหม็นคละคลุ้งยัดเข้าไปในปาก ไม่สามารถส่งเสียงได้อีก ในที่สุดตาก็เหลือกขึ้นด้วยถูกเล่นงานจนสลบไป

เห็นเช่นนี้หลินสวินถึงได้รามือ พ่นลมหายใจยาวออกมา ปลอดโปร่งสบายใจนัก

เขากวาดตาไปโดยรอบแล้วพูดพลางยิ้มว่า “ทุกท่านอย่าถือสา ข้าเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกว่าที่แท้ยังมีคนที่ขาดการสั่งสอนเช่นนี้ด้วย ครั้งนี้หากไม่สั่งสอนเขาให้สมใจ ใจข้าคงรู้สึกผิดอยู่บ้าง”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด