Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 358

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 358 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โอกาสทองถึงสองครั้ง

ยามหลินสวินกำลังจะกล่าวลา กลับถูกหลินเป่ยกวงเรียกเอาไว้

“บนเขามหัตหลวงของตระกูลหลินที่อยู่นอกนครต้องห้ามหนึ่งพันเจ็ดร้อยลี้มีสายแร่ระดับสาม ในแต่ละเดือนจะได้กำไรห้าแสนเหรียญทอง ต่อไปรายได้จากสายแร่เหมืองแห่งนี้จะถูกส่งไปที่ภูเขาชำระจิตตามเวลา”

หลินเป่ยกวงครั้นเอ่ยปากก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่ออกมา

“ต่อไปถ้าความสามารถของเจ้ายิ่งแข็งแกร่งขึ้น ข้าก็จะทยอยยกกิจการของตระกูลหลินให้อยู่ในการควบคุมของภูเขาชำระจิต”

หลินสวินหัวใจสะท้าน จ้องหลินเป่ยกวงอึ้งๆ ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็เชื่อว่าท่านปู่ห้าผู้นี้ของตนไม่ได้จงใจใช้คำว่า ‘บททดสอบ’ มากลั่นแกล้ง

“ขอบพระคุณท่านปู่ห้า” หลินสวินโค้งคำนับ

“นอกจากนี้ มีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาเจ้า”

หลินเป่ยกวงใคร่ครวญแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้ามีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ข้างกายกลุ่มหนึ่ง และต่างเป็นคนนอก นี่ไม่ดีต่อการปกครองตระกูลของเจ้าในอนาคต เพราะอย่างไรคนนอกก็คือคนนอก เรื่องในตระกูลควรให้คนในตระกูลจัดการ”

หลินสวินเองก็เคยคิดเรื่องนี้ ถึงขั้นที่พญาแร้งเคยวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ให้เขาฟัง

ดังนั้นหลังจากได้ยินหลินเป่ยกวงพูดเช่นนี้ เขาพลันตระหนักได้และพูดว่า “ไม่ทราบว่าท่านปู่ห้ามีคำแนะนำอย่างไร”

หลินเป่ยกวงเอ่ย “ข้าคิดว่าจะส่งลูกหลานวัยเยาว์ในตระกูลไปที่ภูเขาชำระจิต เจ้าจะอนุญาตหรือไม่”

ถ้าเป็นคนทั่วไปได้ยินแบบนี้คงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการสอดแทรกอำนาจของตระกูลหลินแห่งแสงอุดมไว้ข้างกายหลินสวิน!

ถ้าวันหนึ่งคนตระกูลหลินแห่งแสงอุดมเหล่านี้ควบคุมทุกอย่างในภูเขาชำระจิตได้ ก็อาจจะควบคุมเจ้าของอย่างหลินสวินไปด้วย!

เพียงแต่หลินสวินคิดๆ แล้วกลับพูดว่า “แน่นอนว่าต้องยินดีอย่างยิ่ง ตอนนี้ภูเขาชำระจิตกำลังรกร้างรอวันฟื้นตัว ขาดกำลังคนที่ไว้ใจได้อย่างมาก หากมีคนในตระกูลให้ความช่วยเหลือ ย่อมสามารถแบ่งเบาภาระของข้าได้ไม่น้อย”

หลินเป่ยกวงยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วเอ่ยว่า “อยากจะครอบครองอำนาจทั้งหมดในตระกูล ก็ต้องมีวิธีในการใช้อำนาจ หลังจากคนเหล่านั้นไปถึงภูเขาชำระจิต ดูซิว่าเจ้าจะรับมือกับพวกเขาได้หรือไม่”

หลินสวินเองก็ยิ้ม “สำหรับข้า มีตระกูลหลินเพียงตระกูลเดียว ไม่มีการแบ่งแยกตระกูลสาขาและตระกูลหลักอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุและแสงอุดร หากข้าสามารถใช้งานได้ ข้าจะถือเป็นคนกันเอง แต่ถ้าไม่…”

“เจ้าจะทำอย่างไร?”

นัยน์ตาของหลินเป่ยกวงลึกซึ้ง จ้องหลินสวินอย่างไม่ละสายตา

หลินสวินกลับยิ้มแล้วย้อนถาม “ท่านปู่ห้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร”

หลินเป่ยกวงอึ้งไป ก่อนจะโบกมือพูด “ช่างเถอะ เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน ข้าหวังเพียงว่าตอนที่ต้องตัดสินใจอะไร เจ้าจะยึดส่วนรวมเป็นหลัก”

“ส่วนรวมงั้นหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว

หลินเป่ยกวงพูดอย่างจริงจัง “ใช่ ส่วนรวม”

“ได้” หลินสวินรับคำสบายๆ

เขาตอบอย่างผ่อนคลายและเรียบเฉยเกินไป ทำให้หลินเป่ยกวงยากจะตัดสินได้ในชั่วขณะว่าคำพูดนี้ของหลินสวินเชื่อได้แค่ไหน

ครู่หนึ่งหลินเป่ยกวงจึงโบกมือพร้อมกล่าว “ไปเถอะ เจ้าแบกรับภาระอันใหญ่โต ไม่เพียงแค่ศึกใน แต่ยังมีศึกนอก หวังว่า…สักวันหนึ่งเจ้าจะสามารถแก้แค้นให้ตระกูลหลินได้จริงๆ และพาตระกูลหลินผงาดเหนือนครต้องห้ามอีกครั้ง!”

สีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงกลับเหมือนกำชับ

หลินสวินพลันโค้งคำนับลา

ตั้งแต่ออกจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดรกลับไปยังภูเขาชำระจิต หลินสวินคิดไตร่ตรองตลอดทาง

หลังจากเรื่องนี้ ทำให้หลินสวินรู้ท่าทีของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่อตนในระดับหนึ่งแล้ว

แม้คนส่วนใหญ่ในตระกูลไม่ชื่นชมในตัวเขา แต่หลินสวินเชื่อว่าขอเพียงแค่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่เห็นตนเป็นศัตรู สักวันตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะต้องกลับคืนสู่ภูเขาชำระจิตโดยดี!

นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย

ในบรรดาตระกูลสาขาทั้งสี่ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไปแล้ว ทำให้การจัดการ ‘ศึกใน’ ของหลินสวินก้าวไปอีกก้าวใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!

ส่วนเรื่องที่จะจัดการกับอีกสามตระกูลสาขาที่เหลืออย่างไร หลินสวินไม่รีบ แต่เขาได้รับปากเอาไว้แล้วว่า จะให้เวลาพวกเขาคิดสามปี

หลังสามปี ถ้าพวกเขายังดื้อดึงไม่ยอมรับ ยืนยันว่าจะเป็นศัตรูกับตน งั้นหลินสวินก็จะไม่ปรานี!

……

ภูเขาชำระจิต

หลังจากหลินสวินกลับมา ก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้พญาแร้งฟัง

“การต่อต้านและปฏิเสธทั้งหลายยากจะหลีกเลี่ยง รอให้เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งก่อน ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก็จะยอมจำนนต่อเจ้า”

พญาแร้งสรุป

หลินสวินเองก็เห็นด้วย “ข้าก็คิดเช่นนี้”

“หลังจากการเตรียมการในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ห้องหลอมยาของชื่อเซวี่ย ฐานหลอมอาวุธของหยางหลิงก็กำลังจะเริ่มทำแล้ว ฝั่งผู้เฒ่าเตียวก็เริ่มเตรียมการวางค่ายกลให้กับภูเขาชำระจิตแล้ว”

พญาแร้งพลันเปลี่ยนเรื่อง “ไม่รู้ว่าเจ้ามีการวางแผนเรื่องนี้อย่างไรบ้าง”

หลินสวินคิดๆ แล้วพูดอย่างจนปัญญา “ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ คงต้องรบกวนท่านช่วยจัดการด้วยตัวเอง”

พญาแร้งบื้อใบ้ไปชั่วขณะ ค่อยพยักหน้าพูด “ช่างเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าแล้วกัน”

จู่ๆ เขาก็คิดอะไรออก พลันพูดว่า “หลินสวิน หลังจากที่เสี่ยวเคอได้ไปสืบมาอย่างละเอียด มั่นใจแล้วว่าตระกูลสาขาทั้งสามของตระกูลหลินอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุคงไม่มีใครยอมจำนนต่อเจ้า”

หลินสวินพูดสบายๆ “ข้าเข้าใจ อย่างไรข้าก็ให้เวลาพวกเขาคิดสามปี หลังจากสามปีค่อยตัดสินจากท่าทีของพวกเขาเป็นพอ”

พญาแร้งส่ายหน้า “ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมเจ้า”

“เพราะเหตุใด?”

“ง่ายมาก ในเหตุนองเลือดบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขาทั้งสามตระกูลเคยแอบไปสมคบกับขุมอำนาจภายนอกเพื่อช่วงชิงและแบ่งทรัพย์สินของตระกูลหลิน!”

หลินสวินหรี่ตา เงียบไปครู่จึงพูดว่า “ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรมีส่วนร่วมในการสมคบศัตรูภายนอกหรือไม่?”

“ไม่”

พญาแร้งส่ายหน้า

หลินสวินแอบโล่งใจ ถ้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเคยคบคิดกับศัตรูภายนอกมาก่อน ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“เจ้าจะทำอย่างไร?” พญาแร้งถาม

“ในเมื่อข้าเคยสัญญากับพวกเขาว่าจะให้เวลาคิดสามปี แน่นอนว่าจะคืนคำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ข้าให้อภัยความผิดที่พวกเขาเคยทำ กลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาดำขลับแฝงความเย็นเยียบ

……

กลางดึก

หลินสวินนั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือบนชั้นสองของภูเขาชำระจิตเพียงลำพัง

ดูจากตอนนี้ ในที่สุดเรื่องวุ่นวายของภูเขาชำระจิตก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง

ภายในมีพญาแร้ง เสี่ยวเคอคอยช่วย ทั้งยังมีหลินจงและจูเหล่าซานคอยควบคุมสถานการณ์ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะรับประกันได้ว่าทุกอย่างในภูเขาชำระจิตจะขับเคลื่อนไปตามปกติ

ในขณะเดียวกันท่านปู่เป่ยกวงก็รับปากแล้วว่าจะส่งห้าแสนเหรียญทองมาให้ทุกเดือน สำหรับหลินสวินที่กำลังขัดสนเรื่องเงิน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกไปวิ่งเต้นหาเงินอีก

อีกอย่างรอให้เรื่องที่พวกชื่อเซวี่ยและหยางหลิงกำลังเร่งอยู่เปิดใช้งานอย่างราบรื่น ย่อมสร้างรายได้ให้กับภูเขาชำระจิตในระดับหนึ่ง

ส่วนปัญหาของตระกูลสาขาทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ หลินสวินยังไม่คิดจะวู่วามทำอะไรตอนนี้

รอให้กำลังของภูเขาชำระจิตค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นจนถึงระดับหนึ่งก่อน แน่นอนว่าหลินสวินจะต้องลงมือแก้ไขปัญหาศึกภายในตระกูลให้จบ

แต่หลินสวินก็รู้ดีว่า การที่ตนไม่ได้ลงมือ ไม่ได้หมายความว่าตระกูลสาขาทั้งสามจะยอมหยุดเพียงเท่านี้

ถึงขั้นที่ว่า จากที่พญาแร้งวิเคราะห์ ทั้งสามตระกูลสาขาได้เริ่มลงมือไปอย่างเงียบๆ แล้ว หมายจะควบคุมหลินสวินให้กลายเป็นหุ่นเชิดในมือพวกเขา

ถ้าเป็นแบบนั้นไม่เพียงไม่ทำให้หลินสวินถึงแก่ชีวิต ยังสามารถทำให้พวกเขาได้กลับมาครอบครองอำนาจสูงสุดบนภูเขาชำระจิต เรียกได้ว่าเป็นแผนการที่ร้ายกาจเหลือเกิน

เหมือนกับเหตุการณ์ที่หลินสวินถูกลอบทำร้ายระหว่างทางกลับจากอัครการค้าเมื่อหลายวันก่อน หากไม่ใช่เพราะหลินจงสำแดงฤทธิ์ก็คงแย่

การลอบทำร้ายในครั้งนั้นเป็นแผนของตระกูลสาขาทั้งสาม ผู้ที่ลงมือคือยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่ได้รับฉายาว่าเป็น ‘มารเฒ่าฉวี่’

คนผู้นี้ชำนาญวิชาการช่วงชิงวิญญาณที่สุด

จากเรื่องนี้สามารถคาดการได้ว่า ที่ตระกูลสาขาทั้งสามทำเช่นนี้ เหมือนที่พญาแร้งวิเคราะห์ว่าไม่ใช่เพื่อฆ่าหลินสวินให้ตาย แต่ต้องการควบคุมดวงวิญญาณของเขา ให้เป็นหุ่นเชิดสูญเสียความนึกคิด!

ก็เพราะเรื่องนี้ เหตุผลหลักๆ ที่คราวนี้หลินสวินพาจูเหล่าซานและหลินจงไปที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรด้วย ก็เพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากตระกูลสาขาทั้งสาม

ทว่าขอเพียงแค่อยู่ในภูเขาชำระจิต หลินสวินก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้

เหตุผลนั้นง่ายมาก ในฐานะที่ภูเขาชำระจิตเป็นหนึ่งในยอดเขาแห่งอำนาจทั้งเจ็ดสิบสอง ย่อมต้องมีข้อห้ามอันน่ากลัวอยู่ในตัว ถ้าหลินสวินไม่อนุญาต คนนอกก็อย่าคิดว่าจะบุกรุกเข้ามาได้

‘สิ่งเดียวที่ต้องทำตอนนี้คือการยกระดับกำลังของภูเขาชำระจิต ทั้งหมดนี้ล้วนสามารถมอบหมายให้พญาแร้งเป็นคนจัดการได้…’

หลินสวินใคร่ครวญ ‘และสิ่งที่ข้าต้องทำก็คือยกระดับความสามารถ เพิ่มพูนชื่อเสียง ทำทุกวิถีทางเติมเต็มรากฐานของตัวเอง’

หลินสวินรู้ดีว่า ในฐานะผู้สืบทอดภูเขาชำระจิต ความสามารถและชื่อเสียงเป็นพื้นฐานที่สุด ถ้าไม่มีทั้งหมดนี้ อย่างอื่นก็ไม่ต้องพูดถึง!

หืม?

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ตนบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว และนี่ก็หมายความว่ายังมีอีกสองโอกาสวางอยู่ตรงหน้าตน!

ไม่ผิด ไม่ใช่แค่โอกาสเดียว แต่เป็นสองโอกาส!

โอกาสที่หนึ่งคือเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์!

คราวที่แล้วตอนที่ออกจาก ‘ด่านที่สามแห่งทางเดินเมฆาหยก’ เขาได้รับคำเตือนว่า การเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์คราวหน้า พลังปราณต้องอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ

และตอนนี้เขาก็ได้บรรลุสู่ระดับที่ว่าแล้ว!

การเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ในครั้งนี้จะมีบททดสอบและรางวัลอะไรรอเขาอยู่นะ?

หลินสวินตื่นเต้นมาก

แต่คิดๆ แล้วเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปรับบททดสอบในโถงมรรคาสวรรค์ตอนนี้

เขาเพิ่งจะบรรลุ ยังไม่สามารถควบคุมพลังทั้งหมดในระดับมหาสมุทรวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ เข้าไปรับบททดสอบตอนนี้เสี่ยงเกินไป อีกทั้งยังสิ้นเปลืองโอกาสในการทดสอบ ได้ไม่คุ้มเสีย

คิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็หยิบแหวนสีดำธรรมดาๆ วงหนึ่งที่ราวกับทำจากเหล็กดำและไม่มีความพิเศษขึ้นมา

แต่ที่มาของแหวนวงนี้กลับไม่ธรรมดา!

แหวนวงนี้มีชื่อว่า ‘ประสานมายา’ เป็นสมบัติที่บรรพบุรุษของตระกูลหลินสืบทอดต่อกันมา มีเพียงผู้สืบทอดที่เป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลหลินเท่านั้นจึงมีสิทธิ์ควบคุมมัน

คนในตระกูลสาขาและคนนอกล้วนไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้ เพราะแหวนวงนี้พิเศษมาก มีเพียงพลังจากสายเลือดโดยตรงเท่านั้น จึงจะสามารถปลุกให้พลังของมันปรากฏขึ้นได้

จากที่หลินจงบอกมา แหวนประสานมายาวงนี้ต่างหากที่เป็นรากฐานที่แท้จริงที่ตระกูลหลินสามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้

เพราะมีเพียงอาศัยแหวนวงนี้ จึงจะได้ครอบครองตำราชั้นสูงที่อยู่ภายใต้ร่มธงตระกูลหลิน… ‘คัมภีร์ประสานมายา’!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด