Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 385 เก้าศิลาประตูมังกร

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 385 เก้าศิลาประตูมังกร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 385 เก้าศิลาประตูมังกร
โดย

ห้องโถงโอ่อ่า เสาหินทุกต้นตั้งตระหง่าน พื้นที่กว้างขวางไม่อาจจินตนาการได้

โดยรอบๆ ห้องโถงมีเก้าอี้วางเรียงอยู่ ส่วนตำแหน่งตรงกลางนั้นกลับมีเวทีหยกดำรัศมีประมาณร้อยจั้ง

บนเวทีหยกดำมีแท่นหินเก้าแท่นเรียงรายอยู่

ทุกแท่นล้วนสูงราวสิบจั้ง มีรอยด่างพร้อยทั้งผืน เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวันเวลาราวกับตั้งตระหง่านน่าเกรงขามตั้งแต่บรรพกาลมาถึงปัจจุบัน

ที่นี่ก็คือโถงทดสอบระดับปรมาจารย์!

เวทีหยกดำแห่งนั้นมีนามว่า ‘เวทีประตูมังกร’ แท่นหินเก่าแก่เก้าแผ่นที่อยู่บนเวทีก็คือ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’ ที่มีชื่อเสียงระบือใต้หล้า พาให้นักสลักรอยสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนเคารพบูชาอย่างบ้าคลั่ง!

ยามข้ารับใช้นำทางหลินสวินมาถึงที่นี่ ที่นั่งในห้องโถงก็มีเงาร่างมากมายแน่นขนัดนั่งอยู่ก่อนแล้ว

เงาร่างเหล่านี้ถ้าไม่เป็นคนวัยกลางคนท่าทางไม่ธรรมดา สีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ก็เป็นผู้ชราผมหงอกขาว

เมื่อเทียบกันแล้วคนรุ่นหนุ่มมีน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินยิ่งน้อยลงไปอีก กวาดมองไปทั้งสี่ทิศล้วนหาเจอเพียงไม่กี่คน

“คุณชาย เชิญรอตรงนี้ก่อนขอรับ เมื่อการรับรองเริ่มขึ้นท่านเพียงต้องปฏิบัติตามกติกา ไปยังเวทีประตูมังกรเพื่อดำเนินการทดสอบก็เรียบร้อยแล้วขอรับ”

ข้ารับใช้อธิบายเสียงค่อยแล้วรีบร้อนจากไป

หลินสวินหาที่นั่งตามใจแล้วนั่งลง ดวงตามองไปยังเวทีประตูมังกรที่อยู่ตรงกลางโถง

ก่อนมาที่นี่เขาได้รับรู้มาแล้วว่า ถ้าต้องการรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ ก็ต้องผ่านการทดสอบ ‘เก้าศิลาประตูมังกร’

คนนอกไม่สามารถแทรกแซงระหว่างทดสอบ ดังนั้นจึงรับประกันความยุติธรรมในการทดสอบได้

แน่นอนว่าหากพลังของนักสลักวิญญาณไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่สามารถอาศัยการทุจริตผ่านการทดสอบได้ นี่เป็นการตัดปัญหาไม่ให้มีกรณีผู้ไร้ความสามารถเข้ามาปะปนกับผู้มีความสามารถเกิดขึ้น

กล่าวได้ว่านักสลักวิญญาณที่ผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกร ย่อมเป็นผู้เก่งกาจมีเกียรติสมความสามารถ ไม่มีคนธรรมดาเลยสักคน

ทว่าคิดจะผ่านการทดสอบไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นนั้น

ฉับพลันเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังไกลออกไปก็ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน

“ได้ยินว่าวันนี้ขนาดท่านผู้อาวุโสเฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณชั้นสูงจากสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือ ผู้อาวุโสเสิ่นทั่วหัวหน้าปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต รวมถึงคนสำคัญที่ครอบครองความรู้ลึกล้ำเหนือธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ตอนนี้ล้วนมาถึงภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแล้ว”

“เหอะๆ มีเพียงคนที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างไห่ตงถึงดึงดูดคนสำคัญมากมายขนาดนี้ภายในเวลาอันสั้นได้”

“ใช่ เจ้าเด็กไห่ตงคนนี้หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์การสลักวิญญาณมาสิบกว่าปีแล้ว ครั้งนี้น่าจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้โดยราบรื่น!”

ฝูงชนแลกเปลี่ยนความเห็น ถ้อยคำล้วนมีแต่ความชื่นชม ดวงตามองไปยังเด็กหนุ่มในชุดดำท่าทางโดดเด่น คิ้วทั้งสองราวหมึก ดวงตาเปล่งประกาย รูปลักษณ์หล่อเหลามีสง่ายิ่งนัก

เมื่อเผชิญหน้ากับคำชมของผู้คน เขาระบายยิ้มกุมมือคารวะแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านยอข้าเกินไปแล้ว ข้าฉู่ไห่ตงมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะได้ผู้อาวุโสทุกท่านตั้งใจอบรมบ่มเพาะขอรับ”

“โถ ไห่ตงถ่อมตัวไปแล้ว”

“นั่นสิ ที่พวกข้ามาคราวนี้ก็เพื่อมาส่งแรงใจให้เจ้า ต้องแสดงฝีมือให้ดีนะ”

ชายชราและคนวัยกลางคนเหล่านั้นล้วนเอ่ยปาก ถ้อยคำมีแต่ให้กำลังใจและชื่นชม

ตระกูลฉู่?

หลินสวินอึ้งไป ในนครต้องห้ามมีตระกูลนักสลักวิญญาณใหญ่อยู่สามตระกูล ได้แก่ตระกูลฉู่ ตระกูลเฟิงและตระกูลโม่

เด็กหนุ่มนามฉู่ไห่ตงผู้นั้น ในเมื่อกล้ามารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ เกรงว่าคงจะมาจากตระกูลฉู่ที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ

นี่ทำให้หลินสวินพลันนึกถึงฉู่เฟิงที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง ฉู่เฟิงก็มาจากตระกูลฉู่เช่นกัน แต่เพราะความวุ่นวายบางอย่างทำให้เขาถูกขับออกจากตระกูลฉู่ ต้องหลบหนีมาอยู่ในเมืองหมอกอำพราง

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ใจเต้น ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉู่เฟิงจึงถูกขับออกมากันแน่ ถ้ามีโอกาสเขาก็อยากไปสืบดูเรื่องราวเกี่ยวกับฉู่เฟิง

แต่ตอนนี้หลินสวินยังไม่คิดจะทำเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายที่ไม่จำเป็น

ในเวลาต่อมา จากการสังเกตของหลินสวินก็พอจะประเมินฐานะของคนอื่นๆ ที่อยู่ในโถงได้

ที่ทำให้หลินสวินแปลกใจก็คือ บรรดาผู้คนเหล่านี้มีเพียงสี่ห้าคนที่จะทดสอบการรับรองฐานะปรมาจารย์ในวันนี้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็รวมฉู่ไห่ตงเข้าไปด้วย

ส่วนคนอื่นนั้นเป็นนักสลักวิญญาณแทบทุกคน ถ้าไม่ใช่มาสังเกตการณ์เพื่อเรียนรู้ ก็มาให้กำลังใจผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบอย่างพวกฉู่ไห่ตง

อย่างชายชราและคนวัยกลางคนที่อยู่ข้างฉู่ไห่ตงราวสิบกว่าคนนั้น ล้วนมาจากตระกูลฉู่ ทุกคนต่างเป็นนักสลักวิญญาณ นั่งอยู่ตรงนั้นดูดึงดูดสายตานัก

จากจุดนี้ก็ทำให้ดูออกว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ ภูมิหลังของตระกูลฉู่ในศาสตร์สลักรอยวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่ปานใด

“เอ๋ หลินสวิน!?”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากที่ไกลออกไป เจือด้วยความประหลาดใจ

หลินสวินชะงักไปก่อนหเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าในที่นั่งที่ไม่ไกลมากนักมีบุรุษแปลกหน้าชุดเหลืองผู้หนึ่งมองมาทางตนด้วยสีหน้าตะลึง

หลินสวิน?

ผู้คนมากมายชำเลืองมองด้วยถูกเสียงนี้ดึงดูด

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ คงไม่ได้…มาเข้าร่วมทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณด้วยใช่ไหม”

บุรุษชุดเหลือนผู้นั้นตื่นตระหนก เสียงก็ดังนัก พาให้คนอื่นไม่อาจไม่สนใจได้

ไม่ทันที่หลินสวินจะได้เอ่ยปากก็มีคนชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พี่ชาย ที่เจ้าพูดนี่หลินสวินคนไหน”

“ยังจะมีใครเล่า ก็หลินสวินที่เพิ่งกำราบฮวาอู๋โยว หลินสวินที่ชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งนครต้องห้ามคนนั้นอย่างไรเล่า”

บุรุษชุดเหลืองดูฮึกเหิมนัก เหมือนได้ค้นพบความลับใหญ่โตสะเทือนสวรรค์

เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในที่นั้น

“ที่แท้เขาก็คือหลินสวิน ยังเยาว์เหมือนข่าวลือเลย”

“การประลองครั้งนั้นของเขากับฮวาอู๋โยวทำให้เกิดความครึกโครมไปทั้งนครต้องห้าม ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ แต่ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”

เสียงสนทนาดังขึ้น ดวงตาหลายคู่ล้วนมองไปยังหลินสวิน ท่าทางสงสัยราวกับมองดูสัตว์ประหลาด

หลินสวินหัวเราะขื่นอยู่ในใจ ที่แท้ตอนนี้ตนก็มีชื่อเสียงขนาดนี้แล้ว นี่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก

“หลินสวิน เจ้า…เจ้ามาเข้าร่วมการทดสอบรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณจริงๆ หรือ”

บุรุษชุดเหลืองผู้นั้นถามย้ำอีกครั้ง

หลินสวินเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย เป็นความสงสัยโดยแท้ ก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ

แต่การกระทำของเขากลับทำให้ชายชุดเหลืองผู้นั้นตื่นเต้นขึ้นอย่างหาใดเปรียบโดยพลัน ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “สวรรค์ เจ้าแห่งภูเขาชำระจิตอันยิ่งใหญ่ ผู้กล้าวัยเยาว์ผู้โดดเด่นยิ่ง กลับมารับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปในนครต้องห้ามคงเกิดความครึกโครมไปทั่ว!”

สีหน้าของเขายกยอชื่นชม เสียงดังอย่างยิ่ง พาให้ผู้ที่อยู่ในที่นั้นตื่นตัวไปครู่หนึ่ง หลายคนเผยสีหน้าตกตะลึงทำใจเชื่อได้ยากออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

หลินสวินผู้นี้มารับรองคุณสมบัติปรมาจาย์สลักวิญญาณจริงหรือนี่

นี่คาดไม่ถึงเกินไปแล้ว!

ใครจะกล้าคิดว่ายอดผู้กล้าวัยเยาว์ที่มีคุณลักษณะดึงดูดสายตาในการฝึกปราณ กลับพลันพลิกตัวมาขอรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณในศาสตร์สลักรอยวิญญาณเสียแล้ว

นี่…พาให้ผู้ที่ได้ยินตกใจยิ่ง!

หลินสวินเข้าใจจุดนี้ อย่างไรเสียขนาดยามพญาแร้งรู้ถึงการตัดสินใจของตนก็อึ้งไปนานนัก

ท่ามกลางเสียงฮือฮาตื่นตระหนกนี้เอง ฉับพลันมีคนหัวเราะหยัน “ตลกน่า เด็กน้อยอายุสิบกว่าปี ยังเพ้อฝันคิดเรื่องเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณงั้นหรือ น่าขันเกินไปแล้ว!”

นี่คือชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างฉู่ไห่ตง

ฝูงชนในที่นั้นจำได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงคนหนึ่งในตระกูลฉู่นามว่าฉู่อวิ๋นคง ลำดับอาวุโสในตระกูลสูงยิ่ง

เห็นฉู่อวิ๋นคงเอ่ยปากเหน็บแนมอย่างไม่ไว้หน้า พลันทำให้ผู้คนไม่น้อยรู้สึกตัวขึ้นมา นั่นสิ หลินสวินผู้นี้อายุเพิ่งสิบกว่าปีเท่านั้น จะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้อย่างไร

หลินสวินยิ้มน้อยๆ ขี้คร้านจะอธิบายอีกฝ่าย

แต่เมื่อเขาไม่พูด กลับยิ่งทำให้ฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นยิ่งแน่ใจว่า ที่หลินสวินมาคราวนี้เพื่อเป็นเพียงตัวประกอบ ไม่ได้มีคุณสมบัติโดยแท้จริง

เขาหัวเราะหยันแล้วพูดว่า “แทบทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นนักสลักวิญญาณ คิดจะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งนั้นยากเย็นขนาดไหน ก็คงราวกับคูน้ำสวรรค์ ผู้ที่ก้าวข้ามได้นั้น ในหมื่นคนหามีไม่!”

หลายคนแอบพยักหน้า แน่ล่ะ ปรมาจารย์สลักวิญญาณไม่ธรรมดาเกินไป ต้องมีทั้งพรสวรรค์กับความเชี่ยวชาญในการศาสตร์สลักรอยวิญญาณที่วิเศษยิ่ง ถึงจะมีความสามารถมากพอให้มาถึงจุดนี้ได้

ฉู่อวิ๋นคงพูดต่อ “ข้าผู้แซ่ฉู่ไม่มีพรสวรรค์ ถูกจำกัดด้วยความสามารถสามัญ ใช้สิ้นทั้งความพยายามและจิตวิญญาณ ไม่เคยไปถึงขั้นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ในตอนนี้ยังเป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นสูงดังเดิม”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยยิ้มกล่าวถากถาง “ในสถานการณ์เช่นนี้ เด็กน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งกลับคุยโตว่าจะมาขอรับรองคุณสมบัติปรมาจารย์สลักวิญญาณ นี่…น่าตลกขนาดไหน! โอหังขนาดไหน! ทั้งโง่เง่าไม่รู้ความขนาดไหน!”

เอ่ยคำแรกๆ ยังดีอยู่ แต่คำหลังที่เอ่ยออกมานั้นไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับชี้หน้าด่าหลินสวินตรงๆ เลย

ฝูงชนอดตกใจระคนสงสัยไม่หยุดหย่อน แม้วาจาของฉู่อวิ๋นคงจะระคายหูไม่น่าฟัง แต่ที่พูดก็เป็นความจริง หลินสวินเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น จะเอาอะไรมากล้าขอรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ

หรือเขานึกว่าใครก็สามารถเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณได้?

ทันใดนั้นสายตาที่ผู้คนมองไปยังหลินสวินก็เปลี่ยนไป

ถูกตาแก่คนหนึ่งต่อว่าอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทั้งถูกผู้คนจ้องมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ต่อให้เป็นคนที่ใจกว้างกว่านี้ก็เกรงว่าคงทนได้ยาก

นับประสาอะไรกับหลินสวินผู้ไม่ใช่คนใจกว้าง

ตรงกันข้าม ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด มีแค้นต้องชำระ

“ท่านลุงผู้นี้ เอาความอาวุโสมากดข่มผู้เยาว์เช่นนี้ไม่ดีนะ แก่ปูนนั้นแล้วยังควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ไม่รู้หรือว่าปากพาซวยเป็นอย่างไร เคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ ที่พูดกันว่าแก่แล้วยังไม่ตาย…ถือเป็นภัยร้าย!”

หลินสวินเริ่มโต้กลับ เสียงพูดราบเรียบแต่ทุกคำกลับดังเข้าไปในโสตประสาทของทุกคนในที่นั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ทันใดนั้นหลายคนพากันตื่นตะลึง การโต้กลับของหลินสวินนั้นร้ายกาจยิ่ง ถึงกับด่าฉู่อวิ๋นคงว่าแก่แต่ไม่ตายเสียที!

ตามคาด เห็นฉู่อวิ๋นคงสีหน้าถมึงทึงเกรี้ยวโกรธ “ไอ้เด็กน้อย เจ้า…กำเริบเสิบสาน!”

พวกคนในตระกูลฉู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าถมึงทึง ดวงตาฉายแววไม่เป็นมิตร

แต่หลินสวินไม่สนใจเลยสักนิด ยิ้มยิงฟันแล้วพูดว่า “ท่านลุง ทุกคนดูอยู่นะ เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย ท่านกลับเหน็บแนมต่อว่าข้าเสียหลายยก ท่านว่าใครกำเริบเสิบสานกว่ากัน ข้าหลินสวินเคารพผู้ใหญ่รักผู้น้อย ให้เกียรติอาจารย์เชื่อฟังคำสอน น่าเสียดายที่ท่านลุงไม่รู้จักรักตัวเอง ปากสาระแนนัก ข้าจึงไม่อาจให้ท่านเล่นละครร้องรำอยู่คนเดียวได้”

“เจ้า…!”

ฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นจะคิดได้ที่ไหนว่าวาจาหลินสวินจะร้ายกาจยากรับมือเช่นนี้ จึงโกรธเสียจนตาถลน ปอดแทบระเบิด

เวลานี้ฉู่ไห่ตงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ชิงพูดก่อน “หลินสวิน เมื่อกี้ถ้อยคำของท่านลุงข้าอาจรุนแรงไปบ้าง แต่ทุกอย่างที่พูดล้วนเป็นความจริง ถ้าเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เห็นต้องเอาจริงเอาจังเช่นนี้”

เห็นฉู่ไห่ตงผู้นี้ออกหน้ามาด้วย หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ มุมปากของเขาพลันเผยแววดูถูก โพล่งออกมาสองคำ “ไอ้โง่!”

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

ฉู่ไห่ตงดวงตาเย็นชา เอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล

หลินสวินยักไหล่ ยิ้มพูดขึ้นว่า “ดูสิ ที่ข้าพูดก็เป็นความจริง ถ้าเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เห็นต้องเอาจริงเอาจังเช่นนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด