Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 298

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 298 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
หยั่งรู้ทัศนวิสัย
โดย

หม่าหมิงซ่อนตัวในเงามืดของหลังคา รออย่างใจเย็น

ในฐานะที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการนี้ เขามีความสามารถที่น่าเชื่อถืออยู่

เขามีปราณขั้นผสานฟ้า มีวิชาธนูเลิศล้ำสามารถปลิดชีพศัตรูที่ห่างออกไปสามพันจั้งได้

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเปี่ยมด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการศึกที่เคี่ยวกรำจากการออกศึกมานานปี

นี่ถึงเป็นสาเหตุแท้จริง ที่เขาได้เป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการนี้

ตอนนี้ในมือของหม่าหมิงจับคันธนูวิญญาณเรียวยาวเก่าแก่เรียบง่ายไม่หรูหราคันหนึ่ง คันธนูนี้มีนามว่า ‘ผนึกลมหายใจ’ มาจากการผนึกลมหายใจได้ในลูกธนูเดียว

ในหอสุราราตรีต้นเฟิงที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยสามสิบหกจั้งกำลังเกิดการต่อสู้นองเลือดฉากหนึ่ง หอสุราสั่นสะเทือนเลือนลั่นแทบจะสลายลงมาแล้ว จินตนาการได้เลยว่าการต่อสู้ในนั้นจะโหดร้ายขนาดปานใด

ทว่าจากการที่หม่าหมิงวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับหลายวันมานี้ เป้าหมายที่รอดจากการถล่มโจมตีของเรือรบวีรชนม่วงได้ ย่อมไม่ถูกสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้น

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาก็ไม่หวังว่าสหายที่อยู่ในหอสุราราตรีต้นเฟิงเหล่านั้นจะสามารถฆ่าเป้าหมายได้เลย

ในแผนของเขา สิ่งที่สหายยี่สิบเจ็ดคนที่กระจายอยู่ในหอสุราเหล่านั้นต้องทำจริงๆ ก็คือล้อมตัวเป้าหมายไว้!

ขอเพียงรั้งเป้าหมายไว้ได้ หม่าหมิงก็จะถือโอกาสนี้จัดวางกำลังอย่างถ้วนถี่ ปิดทางหนีของเป้าหมายจนหมดสิ้น ทำให้เขากลายเป็นหนูติดจั่นยากหลบหนี!

แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่สหายยี่สิบเจ็ดคนนั้นจะต้องสละชีวิตกลายเป็นผู้ที่สลายกลายเป็นจุณ แต่เขาไม่สนใจ

สำหรับเขาแล้วคิดจะสังหารเป้าหมายที่ร้ายกาจ วิปริตและต่อกรได้ยากเช่นนี้ จะไม่จ่ายค่าตอบแทนได้อย่างไร

รูปการณ์ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าแผนของหม่าหมิงถูกต้อง หลังจากเกิดการต่อสู้ขึ้นในหอสุรา เขาก็เตรียมคนซ่อนตัวในสถานที่ต่างๆ รอบหอสุรา หมายจะผนึกอาณาเขตบริเวณนั้นไว้

ตอนนี้รอเพียงเป้าหมายปรากฏตัวเท่านั้น!

แน่นอนว่า หากเป้าหมายตายระหว่างการต่อสู้ในหอสุราย่อมดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หม่าหมิงไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา

หอสุราราตรีต้นเฟิงที่โคลงเคลงใกล้ล้มในที่สุดก็รับแรงโจมตีไม่ไหว ถล่มลงมาอย่างครึกโครมกลายเป็นซากปรักหักพัง

นัยน์ตาหม่าหมิงพลันหรี่ลง แสดงสัญญาณมือขึ้นไปในอากาศ บอกผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งที่ซุ่มตัวอยู่ใกล้ๆ ให้เตรียมตัวให้ดี เพียงเป้าหมายปรากฏตัวก็จะเริ่มโจมตีทำลายล้างอย่างมืดฟ้ามัวดิน!

วิธีการโจมตีเรียบง่ายดิบเถื่อนยิ่งนัก นั่นก็คือใช้หน้าไม้และคันธนูวิญญาณโจมตีครอบคลุมพื้นที่ที่เป้าหมายปรากฏตัว

หม่าหมิงมั่นใจว่าด้วยการโจมตีนี้ อย่าว่าแต่เป้าหมาย ขนาดแมลงวันตัวหนึ่งยังถูกสังหารแหลกเป็นผุยผง!

บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและน่าหวั่นเกรง บนถนนบริเวณนี้ไม่มีคนสัญจรสักคนแล้ว ว่างเปล่าเงียบเหงา

แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริเวณซากหอสุรานั้นยังคงเงียบเชียบดังเดิม ไม่ปรากฏเงาร่างของเป้าหมายเลย

แน่นอนว่าสหายยี่สิบเจ็ดคนที่ห้ำหั่นกับเป้าหมายเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏตัวออกมาสักคน

เงียบจนน่ากลัว!

จิตใจหม่าหมิงพลันบังเกิดความรู้สึกชอบกล ในการวิเคราะห์ของเขา เมื่อหอสุราถล่มลง เป้าหมายย่อมต้องเลือกโผล่ออกมาเพื่อหลบหนี

แต่รูปการณ์เงียบเชียบตรงหน้ากลับเกินความคาดหมายของเขา

หรือว่าเป้าหมายก็จบชีวิตลงไปพร้อมกับสหายเหล่านั้นแล้ว

เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง เสียวหวีดแหลมหาใดเทียบเสียงหนึ่งก็ระเบิดดังขึ้นในหูของเขา ทำให้นัยน์ตาเขาอดหดตัวลงไม่ได้

นี่เป็นเสียงของหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์!

ไอ้คนไหนมันลงมือเองไม่ฟังคำสั่ง

ในใจของหม่าหมิงเกิดความหงุดหงิด แต่เมื่อสายตาเขามองไป สีหน้ากลับอดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้ มองเห็นว่าสหายที่เดิมซ่อนตัวบนหลังคาบ้านเรือนหลังหนึ่งกลิ้งหล่นตุ้บลงมาบนพื้น กลางศีรษะถูกเจาะเป็นโพรงมีเลือดไหลรินรูหนึ่ง เลือดไหลออกมาไม่หยุด!

เฮือก!

หม่าหมิงลอบสูดหายใจยะเยือก รับรู้ได้ว่าที่ตนวิเคราะห์ไว้ผิดพลาดแล้ว เสียงยิงพุ่งของหน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์เมื่อกี้นี้ย่อมไม่ได้มาจากสหายที่อยู่ใกล้เคียง แต่มาจากเป้าหมาย!

ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!

ยังไม่ทันตั้งตัว เสียงหวีดแหลมต่อเนื่องเริ่มดังขึ้นติดต่อกันในเวลานี้ ราวกับเสียงมารปีศาจที่มาจากนรก ซัดสาดกลางอากาศเหนือตรอกว่างเปล่าเงียบเชียบ

หม่าหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถสงบใจได้ ด้วยขณะนี้เขาเห็นลูกศรวิญญาณที่หน้าไม้แขนศักดิ์สิทธิ์ยิงพุ่งออกมาหลายสิบลูกจากซากหอสุรานั้น ฉีกขาดห้วงอากาศตามวิถีต่างกันยิงออกมารอบทิศ

โครม!

ในชั่วขณะเดียว อาคารหลายหลังที่อยู่ใกล้เคียงถูกทำลาย ก้อนหินกระจุยกระจายคละคลุ้งไปด้วยฝุ่น เสียงร้องโหยหวนดังตามมา พาให้บรรยากาศดูน่าอกสั่นขวัญแขวน

เท่าที่หม่าหมิงเห็นด้วยตัวเอง มีสหายที่ซ่อนตัวในแต่ละที่เจ็ดแปดคนถูกปลิดชีพไปในชั่วพริบตา!

มือเท้าของเขาเย็นเฉียบราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

เขาไม่อาจคาดคิดไว้ว่าเป้าหมายทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันแน่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาซ่อนตัวมิดชิดพอแล้ว แต่เป้าหมายกลับเหมือนมือธนูเทพที่หยั่งรู้สรรพสิ่ง แม้ไม่เคยปรากฏกาย แต่ก็สร้างเภทภัยนองเลือดให้พวกเขาได้!

น่ากลัว!

น่ากลัวเกินไปแล้ว ในที่สุดหม่าหมิงก็รับรู้ได้ว่าเหตุใดเป้าหมายถึงรอดชีวิตจากการล้อมสังหารครั้งแล้วครั้งเล่ามาจนถึงทุกวันนี้

เจ้านี่ช่างเหมือนผีร้าย แผนการและการวางหมากทั้งหมดตรงหน้าเขาเหมือนไม่เคยมีอยู่ ล้วนถูกอีกฝ่ายทำลายด้วยความโหดเหี้ยมบ้าเลือดและฝีมือร้ายกาจเกินธรรมดา!

ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!

เสียงหวีดแหลมที่เกิดขึ้นยามยิงหน้าไม้นั้นสะท้อนก้องฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงคำรามเร่งเอาชีวิต ทุกที่เต็มไปด้วยเงามืดแห่งความตาย

หม่าหมิงลุกลี้ลุกลนแล้ว ร้องเสียงเข้มยาวอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นว่า “ถอย!”

ปั้ง!

และก็ในเวลานี้เอง ลูกธนูวิญญาณลูกหนึ่งฉีกห้วงอากาศเสียบเข้าอย่างแม่นยำที่ปากของหม่าหมิง ทะลุผ่านไปทำให้ทั้งร่างสั่น แล้วตรึงไว้อย่างโหดเหี้ยมบนชายคาที่อยู่ไม่ไกล

ดวงตาหม่าหมิงเบิกกว้างเหม่อลอย ก่อนตายยังคิดไม่ออกเลยว่าเป้าหมายพบที่ที่พวกเขาซ่อนตัวได้อย่างไรกันแน่…

ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!

เสียงหวีดแหลมกระชั้นยังคงสะท้อนก้อง

ครู่หนึ่งผ่านไป

ลึกเข้าไปในซากหอสุราราตรีต้นเฟิง หลินสวินเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสารแล้วลุกขึ้นยืน ข้างกายเขามีหน้าไม้ที่ถูกทิ้งไว้หลายสิบคันหล่นอยู่

ในห้วงนิมิต ความรู้สึกสงบนิ่งโดยสิ้นเชิงประหนึ่งสามารถหยั่งรู้สรรพสิ่งได้กำลังมลายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาสีดำของหลินสวินค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

ตั้งแต่ชั่วขณะที่เหยียบหอสุราราตรีต้นเฟิง เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่ชอบมาพากล

กลุ่มลูกค้าที่อยู่บนหอสุราชั้นสองนั้น แม้เก็บงำพลังปลอมตัวอย่างแนบเนียนยิ่งนัก แต่สำหรับหลินสวินแล้ว เพียงเห็นรอยด้านที่โผล่ออกมาบนฝ่ามือ เขาก็รู้ชัดว่านี่เป็นกลุ่มตัวฉกาจที่เคี่ยวกรำวิชายุทธ์มานานปี!

เดิมทีเขาไม่กล้าฟันธงว่าเพ่งเล็งตน แต่ภายหลังไม่ว่าเขาจะนำเจ้าจิ๊บจิ๊บออกมาจากกลางอากาศ หรือลงมือจัดการพวกรุ่ยชิงสองคนนั้น ปฏิกิริยาของลูกค้าเหล่านั้นล้วนสงบนิ่งเกินไป ไม่มีการแสดงออกที่คนทั่วไปควรมีเลย

ถ้าบอกว่าร่องรอยเหล่านี้ยังไม่พอให้เขามองทุกอย่างขาด เช่นนั้นเมื่อหลินสวินเก็บของ คิดจะพาลั่วลั่วออกไปด้วยกันนั้น กลับรับรู้ได้ในชั่วอึดใจว่าลูกค้าที่กำลังรับประทานอาหารเหล่านั้น ล้วนตั้งใจหยุดการกระทำของตัวเอง

ทั้งหมดนี้พาให้หลินสวินชี้ชัดว่านี่เป็นฉากที่จัดวางไว้ก่อนเพื่อพุ่งเป้ามาที่ตน!

ครั้นการต่อสู้เปิดฉากขึ้น เขายิ่งรับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่านอกหอสุราราตรีต้นเฟิงปรากฏพลังคลุมเครือไม่น้อย

จนกระทั่งสังหารศัตรูทุกคนในหอสุราจนสิ้น หลังจากที่อาคารหอสุรากลายเป็นซาก หลินสวินก็นำธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมา ชั่วขณะที่ดึงสายธนูขึ้น ก็หยั่งรู้ได้อย่างเฉียบคมว่ามีเงาร่างผู้ฝึกปราณคนแล้วคนเล่าซุ่มอยู่ตามอาคารมากมายในบริเวณใกล้เคียงรอบทิศ

นี่ก็คือคุณประโยชน์ของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ทุกครั้งที่ดึงสายธนูสีแดงสดราวโลหิตขึ้น การรับรู้และความรู้สึกทั้งหมดของหลินสวินจะเข้าสู่ความสงบนิ่งโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันทัศนวิสัยของเขาจะเกิดคุณประโยชน์มหาศาล ราวหยั่งรู้สรรพสิ่ง ทำให้อันตรายทั้งปวงปรากฏขึ้นในทัศนวิสัยของเขาจนหมดสิ้น

ช่วงแรกที่อยู่บนเทือกเขาราตรีต้นเฟิง หลินสวินเคยอาศัยคุณประโยชน์นี้ของธนูไร้แก่นสารสร้างความเสียหายใหญ่โตแก่เรือรบวีรชนม่วงลำนั้นในการโจมตีเดียว

ทว่าไม่เหมือนกับคราวก่อน คราวนี้เขาเพียงอาศัยความสามารถหยั่งรู้อัศจรรย์นั้นของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ยามสังหารศัตรู ที่ใช้กลับเป็นหน้าไม้อาวุธวิญญาณที่ชิงมาได้จากศัตรู

สาเหตุที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหลินสวินมือเติบตั้งใจจะใช้หน้าไม้อย่างฟุ่มเฟือย แต่เพราะหน้าไม้อาวุธวิญญาณไม่ต้องเปลืองพลังวิญญาณ เช่นนี้ก็สามารถรักษาและออมพลังกายได้มากถึงขีดสุด

‘ศัตรูในหอสุรามียี่สิบเจ็ดคน ที่ซุ่มอยู่ข้างนอกมีสามสิบสามคน สุดท้ายมีเก้าคนหนีไป…’

‘การต่อสู้ครั้งนี้ได้ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ ของธนูวิญญาณไร้แก่นสารช่วยไว้ หาไม่หากเมื่อกี้พุ่งออกไปกะทันหัน น่ากลัวจะถูกแทงพรุนเป็นรังผึ้งในพริบตาแน่’

หยั่งรู้ทัศนวิสัยก็คือชื่อที่หลินสวินตั้งให้พลังหยั่งรู้อัศจรรย์นั้นของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร นอกจากนี้แล้ว ยังมี ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ ที่มีประโยชน์ด้วย

ยิ่งผ่านการต่อสู้มากเท่าไร หลินสวินยิ่งรับรู้ความมหัศจรรย์ของธนูวิญญาณไร้แก่นสารมากเท่านั้น นี่ย่อมเป็นสมบัติชั้นยอดที่มีที่มายิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งแน่ เพียงคุณประโยชน์ ‘หยั่งรู้ทัศนวิสัย’ กับ ‘สงบนิ่งสิ้นเชิง’ สองอย่างนี้ คันธนูวิญญาณคันอื่นก็เทียบไม่ได้แล้ว!

หลินสวินไม่ร่ำไรอีก แบกตะกร้าพลางหายตัวออกไปจากกลางซากปรักหักพัง

บนถนนกว้างขวางว่างเปล่าวังเวงไร้คน หากสังเกตดูบนชายคาบนตรอกที่ใกล้กันนั้น กลับมีศพร่างแล้วร่างเล่าที่ยังคงมีเลือดไหลออกมากองอยู่

หลินสวินไม่แน่ใจว่าที่อื่นในเมืองหลิวเขียวนี้ยังมีศัตรูแฝงตัวอยู่หรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงคิดจะจากไปทันที

ทว่าที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือเขายังไม่ทันเคลื่อนไหว บนตรอกที่ไกลออกไปก็มีกลุ่มคนท่าทางดุดันพุ่งเข้ามา

“ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าลูกไร้ความสามารถ แต่ไอ้เวรนั่นมันร้ายกาจเกินไป ข้าเอ่ยชื่อตระกูลรุ่ยของพวกเราแล้ว แต่มันก็ยังแผลงฤทธิ์หาใดเทียบดังเดิม เหิมเกริมทำร้าย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตระกูลรุ่ยของเราอยู่ในสายตาเลย!”

“ท่านพ่อ ท่านต้องออกหน้าแทนลูกนะขอรับ เมืองหลิวเขียวนี้เป็นถึงอาณาเขตของตระกูลรุ่ยของเรา จะยอมให้ไอ้เด็กต่างที่มากำเริบเสิบสานได้หรือ”

ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้หนึ่ง รุ่ยชิงที่ก่อนหน้านี้หลินสวินโยนออกไปนอกหน้าต่างตามมาข้างกายชายวัยกลางคน

เวลานี้รุ่ยชิงกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าขัดเคือง

เห็นได้ชัดเจนว่าชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานผู้นั้นเป็นบิดาของรุ่ยชิง ด้านหลังสองคนนั้นมีกลุ่มคนรับใช้กลุ่มหนึ่งติดตาม ย่อมเป็นลูกสมุนที่มาจากตระกูลรุ่ยอย่างไม่ต้องสงสัย

“หืม? เหตุใดหอสุราราตรีต้นเฟิงถึงถูกทำลายสิ้น ข้าจากไปไม่ทันไร เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้แล้ว”

รุ่ยชิงเห็นหอสุราราตรีต้นเฟิงถูกทำลายมาแต่ไกลก็อดอึ้งไปไม่ได้ ทันใดนั้นสายตาชำเลืองไป

เมื่อเห็นหลินสวินที่อยู่หน้าซากนั้น เขาก็พลันกัดฟันกรอดร้องตะโกนออกมาอย่างเคืองแค้นว่า

“เป็นมัน เป็นมันนี่เอง!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด