Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 328

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 328 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
โมโหจนฆ่าคน
โดย

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็จับไปที่แส้เหล็ก

เพี๊ยะ!

เด็กหนุ่มหวดแส้ออกไปด้วยแรงขับจากพลังภายใน ฟาดผู้ฝึกปรานคนนั้นเนื้อเปิดกระดูกแตก อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส จนสลบลงไปในท้ายที่สุด

“ตายแน่”

ผู้ฝึกปราณซึ่งเป็นผู้ติดตามฉือเจ๋ออีกคนโมโห เขายกมือขึ้นทันที ทว่าก็รู้สึกถึงพลังงานน่ากลัวจากหลินสวินในขณะเดียวกัน

เสียงโครมครามดังขึ้น ผู้ฝึกปราณคนนั้นถูกพลังของหลินสวินกระแทกลอยหวือ เขาไม่ทันป้องกันหรือรู้สึกตัวโดยสิ้นเชิง

เพี๊ยะ!

หลินสวินฟาดแส้เหล็กลงไปอย่างแรงโดยไม่ไว้หน้า จนผู้ฝึกปราณคนนั้นสลบเหมือด ก่อนจะทิ้งแส้เหล็กแล้วพุ่งเข้าไปในเรือนพญาแร้ง

เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่มีแม้แต่เงาคน ขึ้นมาบนชั้นสองแล้วก็ไม่พบใครเช่นกัน ภาพตรงหน้าทำให้หลินสวินชะงัก ก่อนสังเกตได้ว่าลึกเข้าไปในเรือนพญาแร้งยังมีประตูอีกบานเชื่อมไปสู่ลานบ้าน เมื่อมองจากชั้นสองแล้วถึงเห็นภาพโดยรวมของทั้งหอสุราได้

ยามนี้ในลานบ้านมีองครักษ์ยืนอยู่ ฉือเจ๋อยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา มีดาบเล่มหนึ่งจ่ออยู่บนคอ

เจ้าของดาบอยู่ในชุดสีเรียบ ร่างกายเว้าโค้งสูงโปร่ง ขาเรียวยาวยิ่งขับให้นางดูสูงกว่าที่เป็น นางมีผมสั้นสีดำ หน้าตาขาวสวย ไม่ว่าหน้าตา รูปร่าง หรือลักษณะภายนอก ล้วนกล่าวได้เต็มปากว่างดงามยิ่ง ท่าถือดาบของนางมั่นคงและเหมาะสม สีหน้าราบเรียบคล้ายภูเขาน้ำแข็ง มีกลิ่นอายไม่ต้อนรับแขกสายหนึ่ง

คนนี้ย่อมเป็นครูฝึกเสี่ยวเคอ

เพียงแต่เมื่อเทียบกับยามสวมชุดทหารอยู่ในค่ายกระหายเลือดแล้ว บัดนี้นางดูงดงามชดช้อยยิ่งกว่าเก่า ผนวกกับความเฉยชาเฉพาะตัวและเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ ก็พอจะทำให้คนที่พบเห็นใจสั่นได้ไม่ยาก

ตอนหลินสวินเห็นครั้งแรกนั้นก็ยังไม่วายชะงัก ก่อนลอบถอนหายใจ ยังดีเสี่ยวเคอยามนี้เพียงแค่ใช้ดาบขู่คนเท่านั้น ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ

แม้มีดาบจ่อคอยู่ แต่ฉือเจ๋อกลับไม่ร้อนรน สีหน้าของเขานิ่งสงบ สายตาของจับจ้องใบหน้างามของเสี่ยวเคอ พลางยิ้มเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้าทำไม่ลงหรอก เก็บดาบลงไปเถอะ”

เสี่ยวเคอไม่เก็บดาบ “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฟันหัวเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ฉือเจ๋อหัวเราะอย่างลำพองใจ “เจ้าไม่กล้าหรอก ฆ่าข้าแล้วเจ้าอาจจะหนีไปจากที่นี่ได้ แต่เรือนพญาแร้งกับเจ้าของเรือนพญาแร้งต้องชดใช้ด้วยเลือดอย่างสาสม”

สักพักสายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นร้อนแรงมุ่งมั่น “เสี่ยวเคอ เจ้ารู้ดีว่าฆ่าข้าเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่ผลที่ตามมาไม่ง่ายเช่นนั้นเลย ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้าลงมือมาตลอด เจ้าดูสิ สิ่งนี้ต่างหากเรียกว่าอำนาจ”

พูดถึงตอนสุดท้ายเขาก็ยกมือขึ้นมาจะจับใบหน้าเสี่ยวเคอ แต่เมื่อสบตานิ่งสงบนั้นแล้ว เขาก็ชักมือกลับมา

ก่อนจะยิ้มกริ่ม “ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เจ้าก็ต้องไปกับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะทำลายเรือนพญาแร้ง ฆ่าเจ้าของที่นี่ทิ้งเสีย”

เสี่ยวเคอหรี่ตา เสียงเย็นเยือก “เจ้ากล้าหรือ”

“เจ้าก็ลองดู ข้าเดาว่าเจ้าคงไม่ยอมเห็นเจ้าของเรือนพญาแร้งถูกทำลายไปพราะเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ายังจะขัดขืนด้วยเหตุผลใด” ฉือเจ๋อยิ้มร่า

ฝ่ายเสี่ยวเคอเงียบกริบ

ความเงียบของนางทำให้ฉือเจ๋อยิ่งได้ใจ ว่าเย้า “เสี่ยวเคอ ข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าอยู่กับข้าไม่ดีตรงไหน ตอนนี้ข้ามีหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉือเป็นที่พึ่ง เจ้าอยู่กับข้าก็กลายเป็นคนตระกูลฉือ มีเกียรติจะตาย”

ปัง!

เสี่ยวเคอสะบัดข้อมือทิ้งดาบใส่หน้าอกของฉือเจ๋อจนเขาต้องกระโดดหลบ

“ออกไป” เสี่ยวเคอพูดเบาๆ

ทว่าฉือเจ๋อกลับไม่โกรธเคือง ค่อยๆ หยัดกายลุก ปัดฝุ่นเสื้อผ้าเดินเข้ามาหาเสี่ยวเคอ “เลิกเล่นได้แล้ว เจ้าไม่กล้าฆ่าข้าแล้ว เหตุใดจะต้องดึงดันขันขืนอีก”

ผู้ฝึกปราณโดยรอบเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกระหย่อง เสี่ยวเคอเหมือนภูเขาน้ำแข็งจับต้องไม่ได้ในสายตาพวกเขา ยิ่งทำให้เหล่าบุรุษเกิดท้าทายหมายจะพิชิต

ยามนี้ฉือเจ๋อรุกหน้าเกี้ยวพาเสี่ยวเคอ พวกเขาเห็นแล้วก็อดคึกคักไปด้วยไม่ได้

เสี่ยวเคอมองฉือเจ๋อก้าวเข้ามา ในมือของนางกำดาบจนข้อขาวซีด นัยน์ตาล้ำลึกราบเรียบมีแววขัดขืน

เมื่อห่างจากเสี่ยวคือไม่ถึงหนึ่งฉื่อแล้ว ฉือเจ๋อก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มแห่งชัยชนะ แม้สตรีผู้นี้จะมีพลังปราณสูงแค่ไหน พลังต่อสู้แข็งแกร่งเพียงใด นิสัยเย็นชาอย่างไร แต่ก็ยังต้องยอมยืนนิ่งๆ อยู่หน้าเขาตรงนี้ไม่ใช่หรือ

ความสุขจากชัยชนะทำให้ฉือเจ๋อเลือดพล่านจนอยากเงยหน้าหัวเราะ นี่น่ะหรือคืออำนาจ

ต่อหน้าอำนาจ ทุกอย่างล้วนเป็นแค่เสือกระดาษที่ไร้กำลังจะจู่โจมใครเท่านั้นแหละ

“เสี่ยวเคอ ไปกับข้าเถิด ฉือเจ๋อเสียงอ่อนโยน ยกมือขึ้นจับศอกเสี่ยวเคอ

เสี่ยวเคอตัวสั่นคล้ายกำลังกลั้นอารมณ์ของตนเอง ท่าทางของนางยิ่งทำให้ฉือเจ๋อได้ใจ นี่คือความสุขจากการเอาชนะผู้อื่น เป็นความสำราญหาใดเปรียบ และมีเพียงสตรีตรงหน้าที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้

พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “หากเจ้ากล้าแตะต้องนางแม้แต่ไรขน ข้าจะตัดนิ้วเจ้าโยนให้สุนัขกิน”

หลังเสียงนั้นกล่าวจบ ร่างของหลินสวินก็ปรากฏเข้ามาในลานบ้าน

“ใคร”

“อยากตายหรืออย่างไร”

“รนหาที่ตายแล้ว กล้ามาขัดขวางเรื่องนายของข้า” ผู้ฝึกปราณร้อนรนตะคอกด่า กรูเข้าไปหาหลินสวิน

เสี่ยวเคอชะงักเมื่อเห็นหลินสวิน เด็กคนนี้มาได้อย่างไร

“ตายเสียเถิด” ผู้ฝึกปราณวิ่งเข้าใส่หลินสวิน

หลินสวินไม่ทุกข์ร้อน เรียกหน้าไม้ฝนดาวตกออกมา เกิดเป็นเสียงดังโครมคราม ลูกไฟวิญญาณสีเงินพุ่งออกมาเหมือนพายุก็ไม่ปาน

ฉึก! ฉึก! ฉึก!

ผู้ฝึกปราณเจ็ดแปดคนที่หลบไม่ทันถูกสังหารเลือดนองในทันที

จากนั้นหลินสวินก็นำดาบเวทเรืองแสงสาวเท้าไปข้างหน้า

ภาพที่ได้ยินและได้เห็นเมื่อครู่ทำให้หลินสวินตับแทบระเบิด โดยเฉพาะเมื่อยามครูฝึกเสี่ยวเคอที่เคารพของเขาถูกฉือเจ๋อบีบจนไร้ทางสู้ เด็กหนุ่มทั้งแค้นทั้งอดสู

เสี่ยวเคอเป็นถึงครูฝึกจากค่ายกระหายเลือดของจักรวรรดิ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนแซ่ฉือกลับไร้หนทางสู้ ทำได้เพียงโอนอ่อน

แต่หลินสวินรู้ว่านี่คือความจริง เสี่ยวเคอไม่กล้าลงมือก็เพราะอำนาจของตระกูลฉือที่อยู่เบื้องหลังของฉือเจ๋อ

อำนาจของตระกูลใหญ่ทำให้เกิดผลลัพธ์อันย่ำแย่เสมอ

ในเหตุการณ์เช่นนี้ หลินสวินหรือจะอดทนอยู่ได้ ความเกลียดชังในใจพลันลุกโชน เด็กหนุ่มจัดการลงมืออย่างไม่ไว้หน้า

ภายในลานบ้านเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด ผู้ติดตามของฉือเจ๋อส่วนใหญ่อยู่ในขั้นผสานใจ ไหนเลยจะต่อกรกับการโจมตีแบบนี้ได้ เพียงพริบตาก็ล้มตายกันไปกว่าครึ่ง

“ตายเสียเถิด”

ในยามนี้ฉือเจ๋อมีสีหน้าถมึงทึง โมโหจนถึงขีดสุด สายตาลึกล้ำน่ากลัว ในใจของเขาเหมือนมีไฟลุก ด้วยเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่มีคนเข้ามาขัดขวางเสียได้

โครม

เขาดีดกายขึ้น เงื้อมือหาอากาศจนเกิดเป็นรอยมือสีดำ กดดันในอากาศเสียงวูบวาบ

สังหารศัตรูกลางอากาศ!

ครั้นเห็นกระบวนท่าของผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณ เสี่ยวเคอรีบกัดฟันพุ่งตัวเข้าไป ใช้มือแตะเบาๆ ที่อากาศลวงตาจนทลายหายไป

“เสี่ยวเคอเจ้า…”

ฉือเจ๋อโมโห ไม่อยากเชื่อว่าเสี่ยวเคอจะกล้าขัดขวางตนเอง

ปัง!

เพียงแต่เขายังพูดไม่จบ ขาเรียวยาวก็ถีบผ่านอากาศเข้าที่หน้าอกของฉือเจ๋อ เสียงฉึกดังขึ้น ก่อนที่กระดูกอกของฉือเจ๋อแตกหัก เลือดไหลออกจากทั้งเจ็ดทวาร ร่างของชายหนุ่มร่วงลงกับพื้น ก่อให้เกิดหลุมยุบฝุ่นตลบ

ในขณะเดียวกัน หลินสวินจัดการลูกสมุนของฉือเจ๋อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มถือมีดอาบเลือดเดินเข้ามาหา “ครูฝึกเสี่ยวเคอ นี่ต่างหากที่เป็นท่าน”

เสี่ยวเคอตาใสเรียบนิ่ง มองหลินสวิน “เพิ่งเจอหน้าก็สร้างปัญหาใหญ่ให้ข้าแล้ว เจ้าหาวิธีจัดการตนเองเถิด”

“จัดการหรือขอรับ ข้าคิดว่าคงไม่ต้องทำเช่นนั้น เพราะนอกเสียจากพวกเขาจะฆ่าข้าตอนนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อย่าคิดจะหนี”

ฉือเจ๋อที่อยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมาพร้อมใบหน้าครึ้มเขียว ผมเผ้าสะบัดสยาย นัยน์ตาคล้ายเต็มไปด้วยเลือด หลังจากที่เปลี่ยนไปใช้แซ่ฉือ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ไม่เคยเสียหน้าถึงเพียงนี้

เสี่ยวเคอมุ่นคิ้ว อยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหลินสวินกลับขัดขึ้น “ครูฝึกเสี่ยวเคอ ให้ข้าจัดการเถิด รับรองว่าท่านจะไม่เป็นอะไร”

เด็กหนุ่มว่าพลางเขาถือดาบไปที่หน้าของฉือเจ๋อ ยิ้มบาง “วางใจ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ยกดาบขึ้นตัดมือทั้งสองของฉือเจ๋อจนเลือดกระเซ็น ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด “เจ้าตายแน่ เจ้าตายแน่ ตระกูลฉือไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ ข้าสาบาน”

เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยวเคอก็ขมวดคิ้วเป็นกังวล

หลินสวินค้อมกายลง จ้องฉือเจ๋อที่ใบหน้ายับยู่บิดเบี้ยวเขียวเข้ม พลางยิ้ม “เจ้าคงไม่รู้ ก่อนที่ข้าจะเข้ามาในนครต้องห้าม ข้าสังหารผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือไปสองพันกว่าคน ทำลายเรือรบวีรชนม่วงไปหกลำ จริงสิ สุดท้ายแม้แต่ฉือฉางเฟิงก็แจ้นไปสังหารข้านอกเมืองเพลงยุทธ์ แต่ข้าก็ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้”

หลินสวินจงใจเอ่ย “ตอนนี้ จ้าว่าข้ายังกลัวการแก้แค้นของตระกูลฉืออยู่หรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด