Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1092 อานุภาพอริยะไร้สิ้นสุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1092 อานุภาพอริยะไร้สิ้นสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนหนุ่มหยาบกร้าน เป็นอาหลู่นั่นเอง

เพียงแต่เมื่อเห็นว่าคนที่ผรุสวาทหมิ่นตนเป็นคนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บรรดาอริยะเหล่านี้ล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ

บนโลกใบนี้ยังมีมดไม่กลัวตายอยู่หรือ

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจอยู่บ้างคือ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งแต่จังหวะแรก จุดนี้ผิดธรรมดานัก

แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ สายตาทยอยตกบนกระบองยักษ์เหล็กทมิฬสีดำเข้มในมือของอาหลู่

นี่คือสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง!

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นเป็นเพราะกลิ่นอายจากสมบัติอริยะชิ้นนี้ ช่างลึกลับอัศจรรย์จริงๆ

ถูกอริยะทั้งกลุ่มจับจ้อง อาหลู่ทำตัวไม่ถูกทันที แต่ปากยังคงร้องตะโกนโพล่งผรุสวาท “ทำไมหรือ ยังหมายตาของรักของข้าด้วยรึ มียางอายกันอยู่ไหม!”

ตูม!

อานุภาพกดดันแห่งอริยมรรคสายหนึ่งแผ่กว้างออกจากตัวฟางหลิงซู่ จองจำอาหลู่เพียงชั่วอึดใจ พาให้เขาแทบทรุดกายคุกเข่าราวกับถูกภูเขาเทพสยบ!

ใบหน้าเขาอึดอัดจนแดงก่ำ ผิวหนังทั่วร่างคล้ายจะแตกระเบิด แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไร แม้แต่คำพูดก็ยังไม่สามารถเปล่งออกมาได้

เขาจวนจะคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ร่อมร่อ ทันใดนั้นกระบองเหล็กทมิฬในมือเขาก็ยิงแสงกาฬน่าสะพรึงออกมาสายหนึ่งเสียงดังตูม กลายร่างเป็นนักพรตเฒ่าร่างเตี้ยผอมแห้ง ทั่วร่างสกปรกมอมแมม

หืม?

พวกฟางหลิงซู่ทั้งหกคนต่างนัยน์ตาหดรัด

ก็เห็นว่าหลังจากนักพรตเฒ่าคนนี้ปรากฏตัว นัยน์ตาก็กวาดมองไปมารอบลาน จากนั้นตบกบาลอาหลู่หนึ่งฉาด บ่นใส่ว่า “บอกแล้วว่าห้ามไอ้ตัวแสบอย่างเจ้าก่อเรื่อง เจ้าดันไม่ฟัง เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือไร รีบตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”

เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงกาฬแถบหนึ่งแผ่ครอบอาหลู่เอาไว้ หมุนตัวจะจากไปทันที

พร้อมกันนั้นชายชรามอมแมมยังกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน พวกท่านทำธุระกันต่อเถิด เมื่อครู่เป็นเพียงความเข้าใจผิด คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาร่างชายชรามอมแมมก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว ความเร็วว่องไวยิ่งพาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง

“พลังเจตจำนงอริยะ มิน่าเมื่อครู่เจ้าเด็กนั่นถึงกล้าวางโตเช่นนี้” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้ว ดูออกว่านักพรตเฒ่ามอมแมมคนนั้นเป็นเพียงเจตจำนงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

“ดูแล้วก็ไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ไม่เช่นนั้นมีหรือต้องเผ่นแน่บรวดเร็วขนาดนี้”

อริยะคนอื่นๆ ต่างไม่ใส่ใจ

ตัวคั่นโรงคนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายามที่พวกเขาตั้งท่าลงมือก็บังเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกครั้ง

“มีสหายยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา”

อริยะเต้าคุนขมวดคิ้ว หันไปทางส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ด้านหลัง

อริยะคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน

ในห้วงนิมิตของพวกเขา ส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น กระจายตัวกันตามพื้นที่ต่างๆ

ล้วนเป็นบุคคลที่เหยียบย่างระดับอริยะเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสิ้น!

“เป็นสหายยุทธ์จากสำนักโบราณอื่นๆ ของสี่แดนวิภู ดูท่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหนนี้จะใหญ่โตเกินไป แม้แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงดูดมาด้วย”

อริยะเซวี่ยถูสีหน้าเย็นเยียบ น้ำเสียงอึมครึม

“ยังดี พวกเรามาก่อนก้าวหนึ่ง หาไม่สมบัติอริยะที่สูญหาย ณ ที่แห่งนี้ของพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนอื่นชิงตัดหน้าฮุบไปก่อนแล้ว”

อริยะเมี่ยวหวาเอ่ยวาจาเนิบนาบ

และเวลานี้เอง ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ไกลๆ มีเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายยุทธ์ทุกท่านไม่ต้องคลางแคลงใจ พวกข้าแค่มุ่งหน้ามาชมศึก ไร้เจตนายื่นมือเข้าแทรกแน่นอน”

นี่คือชายวัยกลางคนที่แผ่นหลังงอกปีกสีเท้าผู้หนึ่ง ระบายยิ้มพิมพ์ใจ ท่าทางไร้พิษสงต่อสรรพชีวิต ยืนอยู่บนพื้นหิมะเย็นเฉียบห่างออกไปเต็มพันลี้

เขาคืออริยะคนหนึ่งของเผ่าวาทวาโย นามว่าไป๋เชียนเริ่น

“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด”

ฟางหลิงซู่กล่าวเสียงเย็น

“เฮอะ ชมศึกย่อมได้ แต่หากใครมุ่งหวังอย่างอื่น ก็ชั่งใจดูแล้วกันว่าจะสามารถต้านทานเพลิงโทสะของพวกเราทั้งหกคนได้หรือไม่”

อริยะอวี่หมิงแค่นเสียงเย็น

พวกเมี่ยวหวา เต้าคุน เซวี่ยถู ฝูหยาต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร

ในลานเงียบกริบทันที ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก และไม่มีใครเข้ามาใกล้อีกเลย ล้วนปักหลักอยู่บริเวณไกลโพ้น คล้ายมาเพื่อชมศึกเท่านั้นจริงๆ

สิ่งนี้พาให้อริยะหกคนอย่างพวกฟางหลิงซู่สงบลงไม่น้อย

“รีบเคลื่อนไหวกันเถอะ รีบรบรีบจบ”

ฟางหลิงซู่สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทั่วกายมีเจตกระบี่น่าสะพรึงพุ่งพรวดขึ้นมาฉีกทึ้งห้วงอากาศ แผ่กว้างออกไปทางทะเลหมากดาราที่อยู่ห่างออกไป

โครมครืน!

บนทะเลหมากดารา ความเงียบสงัดแต่เดิมถูกทำลาย ประกายดาราพลุ่งพล่าน ผุดพลังกระเพื่อมไหวของผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงครอบฟ้าคลุมดิน สกัดกั้นเจตกระบี่สายนั้นเอาไว้

ฟางหลิงซู่คล้ายเตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา พลังกฎระเบียบอริยมรรคระฟ้าพุ่งยิง วิวัฒน์เป็นฝนกระบี่บ้าคลั่ง แน่นขนัดประหนึ่งคลุมฟ้ากลบดิน ทะยานออกไปดังหวีดหวิว

เกือบจะเวลาเดียวกัน อริยะคนอื่นๆ ก็ลงมือด้วยเช่นกัน

วู้ม!

อริยะเมี่ยวหวาสะบัดมือออกไป เชือกสีทองอร่ามเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ประหนึ่งมังกรใหญ่สีเหลืองทองเลื้อยคดเคี้ยว โอบล้อมด้วยรัศมีแสงอริยมรรค ห้อทะยานสู่ทะเล

พรึ่บ!

อริยะเต้าคุนยื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วกางประทับ แสงเพลิงพุ่งเสียดฟ้า สำแดงอานุภาพสุดสะพรึงที่เผาผลาญสรรพสิ่ง

ชิ้ง!

ดาบศึกในมืออริยะเซวี่ยถูผ่าฟันออกไป ชั่วพริบตาห้วงอากาศแปรปรวนพังทลาย แหวกเป็นรอยแยกยาวหนึ่งสาย แผ่ซ่านลุกลามเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมากดารา

เวลาเดียวกันนั้น อริยะอวี่หมิง อริยะฝูหยาต่างก็ลงมือเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน

กลางฟ้าดินเมฆลมเปลี่ยนสี ทรายปลิวว่อนหินเขยื้อน

พื้นที่แถบนี้ถูกพลังอริยมรรคที่น่าสะพรึงยิ่งใหญ่ปกคลุมโดยสิ้นเชิง ปรากฏภาพน่าสะพรึงยิ่งยวด พาให้ผู้คนที่ทอดมองอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังและหายใจไม่ออก

พลังผนึกต้องห้ามบนทะเลหมากดาราน่ากลัวมากจริงๆ

แต่อริยะทั้งหกไม่ได้เหยียบย่างบนนั้นด้วยซ้ำ แค่ทำเพื่อเก็บสมบัติอริยะที่ถูกสยบอยู่ในนั้นกลับไป และถือโอกาสสังหารหลินสวิน ความยากระดับนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงพวกเขาแน่นอน

ไม่นานพลังที่พวกเขาสำแดงออกมาก็พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดารา และยังคงแผ่ขยายเรื่อยๆ…

……

หืม?

หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิจู่ๆ ก็ถูกกลิ่นอายอันตรายทำให้สะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นมา

โครมครืน!

เบื้องหน้าเกาะสันโดษที่เขาอยู่ น้ำทะเลพลุ่งพล่านปั่นป่วน ตวัดคลื่นยักษ์นับหมื่น เกิดเป็นเสียงระเบิดปานอสนีคำราม

“อริยะ!”

“หกคนเต็มๆ!”

อาศัยสัมผัสของพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา เพียงชั่วพริบตา ในห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏภาพชายฝั่งทะเลขึ้น พาให้เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นเยียบขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลังจากฆ่าเหล่าราชัน จะต้องชักนำให้เกิดมรสุมที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน

แต่กลับคิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น เคราะห์สังหารคับฟ้าก็ไหลทะลักประดังเข้ามาเสียแล้ว!

“อริยะหกคนร่วมมือกันเคลื่อนไหว ช่างให้ความสำคัญกับข้าหลินสวินจริงๆ…” หลินสวินพึมพำกับตัวเอง กลางนัยน์ตาดำยิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ

พร้อมกันนี้เขาทอดถอนใจในใจ แผนการไล่ไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เดิมทีตั้งใจจะเก็บตัวอยู่ที่นี่เพื่อเสริมปราณแห่งตนให้สมบูรณ์

ใครเลยจะคาดคิด เพื่อจัดการกับเขา ขุมอำนาจเหล่านั้นถึงกับส่งอริยะออกโรงอย่างไม่เสียดาย หนำซ้ำยังมีถึงหกคนอีกด้วย!

นี่ไหนเลยจะเป็นเพียงการข่มเหงรังแกกันทั่วไป เห็นชัดๆ ว่าตั้งใจเข่นฆ่าจนสิ้นซากแล้ว!

ตูม!

ก้นทะเล แสงกระบี่สายหนึ่งโฉบออกมา แผ่รัศมีไร้ขอบเขต ส่องสว่างฟ้าดิน

กระบี่เทียมฟ้า!

กระบี่นี้เดิมทีถูกสยบไว้ ไร้หนทางปลดเปลื้อง แต่เวลานี้กลับเป็นเหมือนมังกรจองจำห้อทะยานสู่ฟ้า พุ่งไปทางชายฝั่งทะเล

หลินสวินรู้ นี่คือการเคลื่อนไหวของอริยะสำนักกระบี่เทียมฟ้า

เขาไม่ได้ปัดป้อง เพราะไม่สามารถป้องปัดได้เลยสักนิด

ครืนๆ!

ไม่นานตำหนักอมตะเองก็พุ่งออกมาราวกับภูเขาเทพลูกหนึ่งก็ไม่ปาน บนตัวตำหนักมีแสงสำริดไหลเวียนท่วมท้น แหวกทะลวงห้วงอากาศ ตามกระบี่เทียมฟ้าออกมาติดๆ

ไม่จำเป็นต้องเดาสักนิด คราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวของอริยะแดนพิสุทธิ์อมตะ

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก พุ่งโฉบเข้าไปในส่วนที่ลึกยิ่งกว่าเดิมของทะเลหมากดาราโดยไม่ได้โอ้เอ้แต่อย่างใด

พลังของอริยะน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ห่างชั้นเกินกว่าระดับราชันจะเทียบได้

ในสายตาระดับราชัน ผู้ฝึกปราณห้าระดับเป็นดั่งมด

แต่ในสายตาของอริยะ ทุกชีวิตล้วนเป็นเหมือนมด!

นี่ก็คือความแตกต่าง!

จากการที่พวกเขาสามารถเก็บสมบัติอริยะที่ถูกจองจำได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็เห็นได้ว่าพลังของอริยะเหล่านี้น่าสะพรึงเพียงใด

ยามนี้หลินสวินได้แต่หวังว่าพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราของทะเลหมากดารา จะสามารถปกป้องตนได้เท่านั้นแล้ว

ขณะที่หลินสวินเคลื่อนไหวได้ไม่นาน สมบัติอริยะอย่างร่มรุ้งสมบัติม่วง บรรทัดสยบฟ้า ประทับนรกโลหิต ตำราหยกสีทองที่ถูกขังอยู่ใต้ทะเล ต่างก็ปลดเปลื้องพันธนาการออกมาติดต่อกัน ถูกอริยะที่อยู่ชายฝั่งทะเลเก็บกลับไป

เหตุที่รวดเร็วเช่นนี้ ความจริงแล้วง่ายดายยิ่ง

สมบัติอริยะเหล่านี้เดิมก็เป็นของขุมอำนาจของพวกเขาแต่ละคนอยู่แล้ว สมบัติอริยะมีวิญญาณ กลิ่นอายของมันย่อมถูกอริยะเหล่านี้สัมผัสได้ตั้งแต่แรก กอปรกับการเรียกหากันทั้งจากภายในและภายนอก จึงง่ายดายอย่างที่สุดอยู่แล้ว

เพียงแต่หลังจากที่เก็บสมบัติอริยะแล้ว เหล่าอริยะกลับไม่ได้ดูยินดีสักนิด ตรงข้ามสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นอึมครึมในทันที

“เจ้าเด็กนั่นถึงกับหยิบยืมพลังผนึกต้องห้ามของทะเลหมากดารามากำราบสมบัติอริยะของพวกเรา! จนทำให้สมบัติอริยะเสียหาย!”

ฟางหลิงซู่โมโหเลือดขึ้นหน้า สังเกตเห็นทันทีว่ากระบี่เทียมฟ้าชำรุด ถึงแม้จะไม่ถือว่าร้ายแรง แต่หากคิดจะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล

“ฆ่าคนในสำนักข้า ทำลายสมบัติอริยะ เด็กนี่ต้องชดใช้ค่าเสียหายอย่างหนัก!”

อริยะคนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเพิ่งถูกสยบไปไม่กี่วัน สมบัติอริยะเหล่านี้ต่างได้รับความเสียหายหลากหลายระดับ สิ่งนี้พาให้พวกเขาเจ็บปวด หัวใจล้วนหลั่งเลือด!

พวกเขาสามารถมองทุกชีวิตเป็นเหมือนมดปลวก แต่กลับไม่อาจไม่สนใจสมบัติอริยะ!

เนื่องจากในใจของพวกเขา สมบัติอริยะสำคัญกว่าหน่อยอย่างไม่ต้องสงสัย เกี่ยวโยงกับแผนระยะยาวของการที่ขุมอำนาจแห่งหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปในโลกหล้า!

สมบัติอริยะระดับนี้ มีหรือจะยอมให้เสียหายได้ง่ายๆ

“เจ้าหนุ่ม เจ้าหนีไม่รอดหรอก ให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ยอมให้จับแต่โดยดี จะให้เจ้าได้ไปสบาย!”

ฟางหลิงซู่ทอดเสียงยานคางหนึ่งครา แววตาสาดมอง เพียงชั่วครู่ก็จับจ้องหลินสวินที่เผ่นหนีไปในส่วนลึกของทะเลหมากดาราเอาไว้ได้

นี่เป็นการดูถูกอย่างยิ่ง ลำพังพลังของอริยะอย่างเขาย่อมสามารถสยบหลินสวินได้อยู่แล้ว

แต่ตอนนี้กลับให้หลินสวินเป็นฝ่ายมอบตัว ท่าทีเหยียดหยันและสูงส่งเช่นนั้น สะท้อนออกมาอย่างชัดแจ้งในประโยคเดียว

หลินสวินตัวแข็งไปทั้งร่าง สัมผัสได้ว่าเจตจำนงอันน่ากลัวกำลังจับจ้องตนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดิ้นหลุด ราวกับหนามบนหลัง เป็นดั่งปรสิตติดกระดูก

สิ่งนี้พาให้เขาหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่าหวาดกลัวของระดับอริยะโดยสิ้นเชิง!

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยประจันหน้ากับอริยะอย่างแท้จริงสักครั้ง เดิมทีคิดว่าตนยังประเมินสูงเกินไปด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ายังดูเบาบุคคลระดับนี้ไปเสียแล้ว

ระยะห่างขนาดนี้ ทั้งยังมีค่ายกลวัฏจักรดาราคั่นกลาง กลับยังคงถูกพลังขับเคลื่อนของอีกฝ่ายจับกุมแน่นหนา สิ่งนี้น่าสะพรึงอย่างไม่ต้องสงสัย!

ตูม!

หลินสวินกัดฟัน โคจรพลังของค่ายกลวัฏจักรดาราโดยไม่ลังเลสักนิด ทันใดนั้นเวิ้งนภาพังทลาย สะท้อนหมู่ดาวนับไม่ถ้วน ประกายดาราสีเงินยวงร่วงโปรยปราย

เหนือผิวทะเล ประกายดาราพลุ่งพล่าน พลังผนึกต้องห้ามพวยพุ่งอาบชโลมเงาร่างหลินสวินไว้ภายในนั้น เปลี่ยนเป็นเจิดจรัสไร้ใดเปรียบ ประหนึ่งกลายร่างเป็นนายเหนือหัวผู้หนึ่ง

“เห น่าสนใจ สามารถใช้พลังผนึกต้องห้ามของทะเลนี้ได้จริงๆ ด้วย มิน่าหลายวันก่อนถึงกล้าโอหังถึงขั้นสังหารระดับราชันตั้งมากมายขนาดนั้น”

ฟางหลิงซู่หรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก หากแต่กำลังสำรวจโดยละเอียด สีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง มีความมั่นใจอย่างถึงที่สุด เหมือนพบเหยื่อที่น่าสนใจตัวหนึ่ง

แน่นอน สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงความน่าสนใจเท่านั้น เหยื่อสุดท้ายก็เป็นแค่เหยื่อวันยังค่ำ ถูกกำหนดให้ไม่อาจหนีพ้นจุดจบที่ต้องถูกสังหารแน่นอน!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1092 อานุภาพอริยะไร้สิ้นสุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1092 อานุภาพอริยะไร้สิ้นสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนหนุ่มหยาบกร้าน เป็นอาหลู่นั่นเอง

เพียงแต่เมื่อเห็นว่าคนที่ผรุสวาทหมิ่นตนเป็นคนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บรรดาอริยะเหล่านี้ล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ

บนโลกใบนี้ยังมีมดไม่กลัวตายอยู่หรือ

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจอยู่บ้างคือ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งแต่จังหวะแรก จุดนี้ผิดธรรมดานัก

แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ สายตาทยอยตกบนกระบองยักษ์เหล็กทมิฬสีดำเข้มในมือของอาหลู่

นี่คือสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง!

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นเป็นเพราะกลิ่นอายจากสมบัติอริยะชิ้นนี้ ช่างลึกลับอัศจรรย์จริงๆ

ถูกอริยะทั้งกลุ่มจับจ้อง อาหลู่ทำตัวไม่ถูกทันที แต่ปากยังคงร้องตะโกนโพล่งผรุสวาท “ทำไมหรือ ยังหมายตาของรักของข้าด้วยรึ มียางอายกันอยู่ไหม!”

ตูม!

อานุภาพกดดันแห่งอริยมรรคสายหนึ่งแผ่กว้างออกจากตัวฟางหลิงซู่ จองจำอาหลู่เพียงชั่วอึดใจ พาให้เขาแทบทรุดกายคุกเข่าราวกับถูกภูเขาเทพสยบ!

ใบหน้าเขาอึดอัดจนแดงก่ำ ผิวหนังทั่วร่างคล้ายจะแตกระเบิด แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไร แม้แต่คำพูดก็ยังไม่สามารถเปล่งออกมาได้

เขาจวนจะคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ร่อมร่อ ทันใดนั้นกระบองเหล็กทมิฬในมือเขาก็ยิงแสงกาฬน่าสะพรึงออกมาสายหนึ่งเสียงดังตูม กลายร่างเป็นนักพรตเฒ่าร่างเตี้ยผอมแห้ง ทั่วร่างสกปรกมอมแมม

หืม?

พวกฟางหลิงซู่ทั้งหกคนต่างนัยน์ตาหดรัด

ก็เห็นว่าหลังจากนักพรตเฒ่าคนนี้ปรากฏตัว นัยน์ตาก็กวาดมองไปมารอบลาน จากนั้นตบกบาลอาหลู่หนึ่งฉาด บ่นใส่ว่า “บอกแล้วว่าห้ามไอ้ตัวแสบอย่างเจ้าก่อเรื่อง เจ้าดันไม่ฟัง เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือไร รีบตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”

เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงกาฬแถบหนึ่งแผ่ครอบอาหลู่เอาไว้ หมุนตัวจะจากไปทันที

พร้อมกันนั้นชายชรามอมแมมยังกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน พวกท่านทำธุระกันต่อเถิด เมื่อครู่เป็นเพียงความเข้าใจผิด คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาร่างชายชรามอมแมมก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว ความเร็วว่องไวยิ่งพาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง

“พลังเจตจำนงอริยะ มิน่าเมื่อครู่เจ้าเด็กนั่นถึงกล้าวางโตเช่นนี้” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้ว ดูออกว่านักพรตเฒ่ามอมแมมคนนั้นเป็นเพียงเจตจำนงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

“ดูแล้วก็ไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ไม่เช่นนั้นมีหรือต้องเผ่นแน่บรวดเร็วขนาดนี้”

อริยะคนอื่นๆ ต่างไม่ใส่ใจ

ตัวคั่นโรงคนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายามที่พวกเขาตั้งท่าลงมือก็บังเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกครั้ง

“มีสหายยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา”

อริยะเต้าคุนขมวดคิ้ว หันไปทางส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ด้านหลัง

อริยะคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน

ในห้วงนิมิตของพวกเขา ส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น กระจายตัวกันตามพื้นที่ต่างๆ

ล้วนเป็นบุคคลที่เหยียบย่างระดับอริยะเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสิ้น!

“เป็นสหายยุทธ์จากสำนักโบราณอื่นๆ ของสี่แดนวิภู ดูท่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหนนี้จะใหญ่โตเกินไป แม้แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงดูดมาด้วย”

อริยะเซวี่ยถูสีหน้าเย็นเยียบ น้ำเสียงอึมครึม

“ยังดี พวกเรามาก่อนก้าวหนึ่ง หาไม่สมบัติอริยะที่สูญหาย ณ ที่แห่งนี้ของพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนอื่นชิงตัดหน้าฮุบไปก่อนแล้ว”

อริยะเมี่ยวหวาเอ่ยวาจาเนิบนาบ

และเวลานี้เอง ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ไกลๆ มีเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายยุทธ์ทุกท่านไม่ต้องคลางแคลงใจ พวกข้าแค่มุ่งหน้ามาชมศึก ไร้เจตนายื่นมือเข้าแทรกแน่นอน”

นี่คือชายวัยกลางคนที่แผ่นหลังงอกปีกสีเท้าผู้หนึ่ง ระบายยิ้มพิมพ์ใจ ท่าทางไร้พิษสงต่อสรรพชีวิต ยืนอยู่บนพื้นหิมะเย็นเฉียบห่างออกไปเต็มพันลี้

เขาคืออริยะคนหนึ่งของเผ่าวาทวาโย นามว่าไป๋เชียนเริ่น

“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด”

ฟางหลิงซู่กล่าวเสียงเย็น

“เฮอะ ชมศึกย่อมได้ แต่หากใครมุ่งหวังอย่างอื่น ก็ชั่งใจดูแล้วกันว่าจะสามารถต้านทานเพลิงโทสะของพวกเราทั้งหกคนได้หรือไม่”

อริยะอวี่หมิงแค่นเสียงเย็น

พวกเมี่ยวหวา เต้าคุน เซวี่ยถู ฝูหยาต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร

ในลานเงียบกริบทันที ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก และไม่มีใครเข้ามาใกล้อีกเลย ล้วนปักหลักอยู่บริเวณไกลโพ้น คล้ายมาเพื่อชมศึกเท่านั้นจริงๆ

สิ่งนี้พาให้อริยะหกคนอย่างพวกฟางหลิงซู่สงบลงไม่น้อย

“รีบเคลื่อนไหวกันเถอะ รีบรบรีบจบ”

ฟางหลิงซู่สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทั่วกายมีเจตกระบี่น่าสะพรึงพุ่งพรวดขึ้นมาฉีกทึ้งห้วงอากาศ แผ่กว้างออกไปทางทะเลหมากดาราที่อยู่ห่างออกไป

โครมครืน!

บนทะเลหมากดารา ความเงียบสงัดแต่เดิมถูกทำลาย ประกายดาราพลุ่งพล่าน ผุดพลังกระเพื่อมไหวของผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงครอบฟ้าคลุมดิน สกัดกั้นเจตกระบี่สายนั้นเอาไว้

ฟางหลิงซู่คล้ายเตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา พลังกฎระเบียบอริยมรรคระฟ้าพุ่งยิง วิวัฒน์เป็นฝนกระบี่บ้าคลั่ง แน่นขนัดประหนึ่งคลุมฟ้ากลบดิน ทะยานออกไปดังหวีดหวิว

เกือบจะเวลาเดียวกัน อริยะคนอื่นๆ ก็ลงมือด้วยเช่นกัน

วู้ม!

อริยะเมี่ยวหวาสะบัดมือออกไป เชือกสีทองอร่ามเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ประหนึ่งมังกรใหญ่สีเหลืองทองเลื้อยคดเคี้ยว โอบล้อมด้วยรัศมีแสงอริยมรรค ห้อทะยานสู่ทะเล

พรึ่บ!

อริยะเต้าคุนยื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วกางประทับ แสงเพลิงพุ่งเสียดฟ้า สำแดงอานุภาพสุดสะพรึงที่เผาผลาญสรรพสิ่ง

ชิ้ง!

ดาบศึกในมืออริยะเซวี่ยถูผ่าฟันออกไป ชั่วพริบตาห้วงอากาศแปรปรวนพังทลาย แหวกเป็นรอยแยกยาวหนึ่งสาย แผ่ซ่านลุกลามเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมากดารา

เวลาเดียวกันนั้น อริยะอวี่หมิง อริยะฝูหยาต่างก็ลงมือเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน

กลางฟ้าดินเมฆลมเปลี่ยนสี ทรายปลิวว่อนหินเขยื้อน

พื้นที่แถบนี้ถูกพลังอริยมรรคที่น่าสะพรึงยิ่งใหญ่ปกคลุมโดยสิ้นเชิง ปรากฏภาพน่าสะพรึงยิ่งยวด พาให้ผู้คนที่ทอดมองอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังและหายใจไม่ออก

พลังผนึกต้องห้ามบนทะเลหมากดาราน่ากลัวมากจริงๆ

แต่อริยะทั้งหกไม่ได้เหยียบย่างบนนั้นด้วยซ้ำ แค่ทำเพื่อเก็บสมบัติอริยะที่ถูกสยบอยู่ในนั้นกลับไป และถือโอกาสสังหารหลินสวิน ความยากระดับนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงพวกเขาแน่นอน

ไม่นานพลังที่พวกเขาสำแดงออกมาก็พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทะเลหมากดารา และยังคงแผ่ขยายเรื่อยๆ…

……

หืม?

หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิจู่ๆ ก็ถูกกลิ่นอายอันตรายทำให้สะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นมา

โครมครืน!

เบื้องหน้าเกาะสันโดษที่เขาอยู่ น้ำทะเลพลุ่งพล่านปั่นป่วน ตวัดคลื่นยักษ์นับหมื่น เกิดเป็นเสียงระเบิดปานอสนีคำราม

“อริยะ!”

“หกคนเต็มๆ!”

อาศัยสัมผัสของพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา เพียงชั่วพริบตา ในห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏภาพชายฝั่งทะเลขึ้น พาให้เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นเยียบขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลังจากฆ่าเหล่าราชัน จะต้องชักนำให้เกิดมรสุมที่ไม่อาจคาดเดาได้อย่างแน่นอน

แต่กลับคิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น เคราะห์สังหารคับฟ้าก็ไหลทะลักประดังเข้ามาเสียแล้ว!

“อริยะหกคนร่วมมือกันเคลื่อนไหว ช่างให้ความสำคัญกับข้าหลินสวินจริงๆ…” หลินสวินพึมพำกับตัวเอง กลางนัยน์ตาดำยิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ

พร้อมกันนี้เขาทอดถอนใจในใจ แผนการไล่ไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เดิมทีตั้งใจจะเก็บตัวอยู่ที่นี่เพื่อเสริมปราณแห่งตนให้สมบูรณ์

ใครเลยจะคาดคิด เพื่อจัดการกับเขา ขุมอำนาจเหล่านั้นถึงกับส่งอริยะออกโรงอย่างไม่เสียดาย หนำซ้ำยังมีถึงหกคนอีกด้วย!

นี่ไหนเลยจะเป็นเพียงการข่มเหงรังแกกันทั่วไป เห็นชัดๆ ว่าตั้งใจเข่นฆ่าจนสิ้นซากแล้ว!

ตูม!

ก้นทะเล แสงกระบี่สายหนึ่งโฉบออกมา แผ่รัศมีไร้ขอบเขต ส่องสว่างฟ้าดิน

กระบี่เทียมฟ้า!

กระบี่นี้เดิมทีถูกสยบไว้ ไร้หนทางปลดเปลื้อง แต่เวลานี้กลับเป็นเหมือนมังกรจองจำห้อทะยานสู่ฟ้า พุ่งไปทางชายฝั่งทะเล

หลินสวินรู้ นี่คือการเคลื่อนไหวของอริยะสำนักกระบี่เทียมฟ้า

เขาไม่ได้ปัดป้อง เพราะไม่สามารถป้องปัดได้เลยสักนิด

ครืนๆ!

ไม่นานตำหนักอมตะเองก็พุ่งออกมาราวกับภูเขาเทพลูกหนึ่งก็ไม่ปาน บนตัวตำหนักมีแสงสำริดไหลเวียนท่วมท้น แหวกทะลวงห้วงอากาศ ตามกระบี่เทียมฟ้าออกมาติดๆ

ไม่จำเป็นต้องเดาสักนิด คราวนี้เป็นการเคลื่อนไหวของอริยะแดนพิสุทธิ์อมตะ

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก พุ่งโฉบเข้าไปในส่วนที่ลึกยิ่งกว่าเดิมของทะเลหมากดาราโดยไม่ได้โอ้เอ้แต่อย่างใด

พลังของอริยะน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด ห่างชั้นเกินกว่าระดับราชันจะเทียบได้

ในสายตาระดับราชัน ผู้ฝึกปราณห้าระดับเป็นดั่งมด

แต่ในสายตาของอริยะ ทุกชีวิตล้วนเป็นเหมือนมด!

นี่ก็คือความแตกต่าง!

จากการที่พวกเขาสามารถเก็บสมบัติอริยะที่ถูกจองจำได้รวดเร็วขนาดนี้ ก็เห็นได้ว่าพลังของอริยะเหล่านี้น่าสะพรึงเพียงใด

ยามนี้หลินสวินได้แต่หวังว่าพลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราของทะเลหมากดารา จะสามารถปกป้องตนได้เท่านั้นแล้ว

ขณะที่หลินสวินเคลื่อนไหวได้ไม่นาน สมบัติอริยะอย่างร่มรุ้งสมบัติม่วง บรรทัดสยบฟ้า ประทับนรกโลหิต ตำราหยกสีทองที่ถูกขังอยู่ใต้ทะเล ต่างก็ปลดเปลื้องพันธนาการออกมาติดต่อกัน ถูกอริยะที่อยู่ชายฝั่งทะเลเก็บกลับไป

เหตุที่รวดเร็วเช่นนี้ ความจริงแล้วง่ายดายยิ่ง

สมบัติอริยะเหล่านี้เดิมก็เป็นของขุมอำนาจของพวกเขาแต่ละคนอยู่แล้ว สมบัติอริยะมีวิญญาณ กลิ่นอายของมันย่อมถูกอริยะเหล่านี้สัมผัสได้ตั้งแต่แรก กอปรกับการเรียกหากันทั้งจากภายในและภายนอก จึงง่ายดายอย่างที่สุดอยู่แล้ว

เพียงแต่หลังจากที่เก็บสมบัติอริยะแล้ว เหล่าอริยะกลับไม่ได้ดูยินดีสักนิด ตรงข้ามสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นอึมครึมในทันที

“เจ้าเด็กนั่นถึงกับหยิบยืมพลังผนึกต้องห้ามของทะเลหมากดารามากำราบสมบัติอริยะของพวกเรา! จนทำให้สมบัติอริยะเสียหาย!”

ฟางหลิงซู่โมโหเลือดขึ้นหน้า สังเกตเห็นทันทีว่ากระบี่เทียมฟ้าชำรุด ถึงแม้จะไม่ถือว่าร้ายแรง แต่หากคิดจะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล

“ฆ่าคนในสำนักข้า ทำลายสมบัติอริยะ เด็กนี่ต้องชดใช้ค่าเสียหายอย่างหนัก!”

อริยะคนอื่นๆ ต่างก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเพิ่งถูกสยบไปไม่กี่วัน สมบัติอริยะเหล่านี้ต่างได้รับความเสียหายหลากหลายระดับ สิ่งนี้พาให้พวกเขาเจ็บปวด หัวใจล้วนหลั่งเลือด!

พวกเขาสามารถมองทุกชีวิตเป็นเหมือนมดปลวก แต่กลับไม่อาจไม่สนใจสมบัติอริยะ!

เนื่องจากในใจของพวกเขา สมบัติอริยะสำคัญกว่าหน่อยอย่างไม่ต้องสงสัย เกี่ยวโยงกับแผนระยะยาวของการที่ขุมอำนาจแห่งหนึ่งจะคงอยู่ต่อไปในโลกหล้า!

สมบัติอริยะระดับนี้ มีหรือจะยอมให้เสียหายได้ง่ายๆ

“เจ้าหนุ่ม เจ้าหนีไม่รอดหรอก ให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ยอมให้จับแต่โดยดี จะให้เจ้าได้ไปสบาย!”

ฟางหลิงซู่ทอดเสียงยานคางหนึ่งครา แววตาสาดมอง เพียงชั่วครู่ก็จับจ้องหลินสวินที่เผ่นหนีไปในส่วนลึกของทะเลหมากดาราเอาไว้ได้

นี่เป็นการดูถูกอย่างยิ่ง ลำพังพลังของอริยะอย่างเขาย่อมสามารถสยบหลินสวินได้อยู่แล้ว

แต่ตอนนี้กลับให้หลินสวินเป็นฝ่ายมอบตัว ท่าทีเหยียดหยันและสูงส่งเช่นนั้น สะท้อนออกมาอย่างชัดแจ้งในประโยคเดียว

หลินสวินตัวแข็งไปทั้งร่าง สัมผัสได้ว่าเจตจำนงอันน่ากลัวกำลังจับจ้องตนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดิ้นหลุด ราวกับหนามบนหลัง เป็นดั่งปรสิตติดกระดูก

สิ่งนี้พาให้เขาหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ตระหนักได้ถึงความน่าหวาดกลัวของระดับอริยะโดยสิ้นเชิง!

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยประจันหน้ากับอริยะอย่างแท้จริงสักครั้ง เดิมทีคิดว่าตนยังประเมินสูงเกินไปด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ายังดูเบาบุคคลระดับนี้ไปเสียแล้ว

ระยะห่างขนาดนี้ ทั้งยังมีค่ายกลวัฏจักรดาราคั่นกลาง กลับยังคงถูกพลังขับเคลื่อนของอีกฝ่ายจับกุมแน่นหนา สิ่งนี้น่าสะพรึงอย่างไม่ต้องสงสัย!

ตูม!

หลินสวินกัดฟัน โคจรพลังของค่ายกลวัฏจักรดาราโดยไม่ลังเลสักนิด ทันใดนั้นเวิ้งนภาพังทลาย สะท้อนหมู่ดาวนับไม่ถ้วน ประกายดาราสีเงินยวงร่วงโปรยปราย

เหนือผิวทะเล ประกายดาราพลุ่งพล่าน พลังผนึกต้องห้ามพวยพุ่งอาบชโลมเงาร่างหลินสวินไว้ภายในนั้น เปลี่ยนเป็นเจิดจรัสไร้ใดเปรียบ ประหนึ่งกลายร่างเป็นนายเหนือหัวผู้หนึ่ง

“เห น่าสนใจ สามารถใช้พลังผนึกต้องห้ามของทะเลนี้ได้จริงๆ ด้วย มิน่าหลายวันก่อนถึงกล้าโอหังถึงขั้นสังหารระดับราชันตั้งมากมายขนาดนั้น”

ฟางหลิงซู่หรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้ตื่นตระหนก หากแต่กำลังสำรวจโดยละเอียด สีหน้าเรียบเฉยและสงบนิ่ง มีความมั่นใจอย่างถึงที่สุด เหมือนพบเหยื่อที่น่าสนใจตัวหนึ่ง

แน่นอน สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงความน่าสนใจเท่านั้น เหยื่อสุดท้ายก็เป็นแค่เหยื่อวันยังค่ำ ถูกกำหนดให้ไม่อาจหนีพ้นจุดจบที่ต้องถูกสังหารแน่นอน!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+