Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 692 ลูกผู้ดีมีเงินที่พาให้คนชิงชัง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 692 ลูกผู้ดีมีเงินที่พาให้คนชิงชัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทันทีที่สิ้นเสียงชายหนุ่มชุดคลุมสีเงิน ทั่วลานก็เกิดเสียงหัวเราะครืนดังก้องขึ้น

สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้น ต่างเป็นพวกที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากภูเขาดาบทะเลเพลิงกันทั้งสิ้น อีกทั้งในสมรภูมิกระหายเลือด สิ่งที่ต้องพึ่งพิงคือความสามารถของตัวเองในการเอาชีวิตรอด ย่อมไม่เกรงกลัวลูกผู้ดีมีเงินอะไรอยู่แล้ว

แน่นอน พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินบุคคลเช่นนี้มากเกินไปเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังต้องพึ่งพาคนมีอำนาจอย่างหลูเหวินถิงเพื่อปากท้องอยู่

ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะหัวเราะครืน แต่ก็ไม่ได้สุมไฟให้โหมกระพือหรือจงใจหาเรื่อง

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้หลินสวินมุ่นคิ้วน้อยๆ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว แต่ต่อให้เข้าใจผิด ถ้อยคำของชายหนุ่มชุดคลุมเงินผู้นั้นก็ยังบาดหูเกินไปอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี

“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องสนใจ”

ไม่รอให้หลินสวินเอ่ยปาก อาปี้ก็กล่าวอย่างไม่ใคร่สบอารมณ์เท่าใดนัก

ชายหนุ่มชุดคลุมเงินอึ้งงันไป “อาปี้ นี่เจ้ามองไม่ออกเชียวหรือ เจ้าหนุ่มนี่เป็นหนอนดูดเลือดตัวหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงได้ผูกมิตรกับคนพรรค์นี้”

“เจ้าว่าใครเป็นหนอนดูดเลือด”

ไม่รู้ว่าหลูเหวินถิงวกกลับมาตอนไหน หน้าตาเย็นเยียบ

“ข้า…” ชายหนุ่มชุดเงินยังคงไม่ลดละ กลับถูกหูทงถลึงตาจ้องปราดหนึ่ง จึงไม่กล้าพูดมากความอีก รีบหุบปากลงอย่างฉุนเฉียว

“เฮอะ!”

หลูเหวินถิงแค่นเสียงเย็นชา คราวนี้จึงเอ่ยคำกับหูทง “จำสิ่งที่เจ้ารับปากไว้ ข้าไม่หวังว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร”

หูทงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

เห็นได้ชัดว่าระหว่างพวกเขาสองคนได้บรรลุข้อตกลงบางประการกันแล้ว

“คุณชายหลิน จัดเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้การเดินทางครั้งนี้ของคุณชายราบรื่น กลับคืนมาอย่างสัมฤทธิ์ผล!”

หลูเหวินถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในที่สุดก็จัดแจงเผือกร้อนลวกมือผู้นี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งนี้มีหรือจะไม่ทำให้ภายในใจของหลูเหวินถิงเบิกบาน

“ขอบคุณมาก”

หลินสวินพยักหน้าเปล่งวาจาด้วยท่าทางว่า ในเมื่อมาแล้วก็จะอยู่ที่นี่อย่างสงบ

……

“ออกเดินทาง!”

ตามหลังคำสั่งของหูทง ยานสมบัติบุโรทั่งลำหนึ่งพลันทะยานสู่ท้องนภา บรรทุกหลินสวินและสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราออกไปจากค่าย เหาะเหินมุ่งหน้าไปยังแดนไกล

ยานสมบัติลำนี้ชำรุดทรุดโทรมถึงขีดสุด แต่กลับเสถียรมั่งคงยิ่ง อยู่กลางอากาศเหมือนหนึ่งว่าย่ำบนพื้นที่ราบ ความเร็วนั้นแม้พูดไม่ได้ว่ารวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้อืดอาด

ปฏิบัติการในสมรภูมิกระหายเลือด เวิ้งฟ้าเป็นดั่งเขตต้องห้าม การเหาะเหินอยู่บนนั้น อาจพบเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้

ทว่าขอเพียงแค่เหาะเหินในอากาศระดับต่ำ ก็จะไม่เกิดภัยคุกคามร้ายแรงถึงชีวิตอะไร

หลินสวินนิ่งเงียบตลอดทาง เขาสามารถรับรู้ได้ว่า นอกจากอาปี้แล้ว คนอื่นๆ ล้วนกีดกันและหมางเมินต่อการเข้าร่วมของตน

สิ่งนี้กลับไม่เป็นไรเลย เหตุผลที่เขายอมมาปฏิบัติภารกิจกับกลุ่มของพวกเขา ก็แค่อยากลองดูเสียหน่อย ว่าในฐานะผู้คร่ำหวอดในสมรภูมิกระหายเลือด พวกของหูทงจะต่อสู้กันอย่างไรเท่านั้นเอง

ข้อนี้สำคัญยิ่ง!

หลินสวินเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ความรู้ความเข้าใจต่อสมรภูมิกระหายเลือดถือว่ามีเพียงผิวเผิน ส่วนพวกหูทงนั้นต่างเป็นผู้คร่ำหวอดมากประสบการณ์ มีจุดที่ควรค่าแก่การศึกษาอยู่มากมาย

ก็เหมือนกับตลอดการเดินทางนี้ หลินสวินค้นพบว่า แม้สมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ดูเหมือนเป็นพวกพยศดุดัน ทว่าอันที่จริงล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างดีกันทั้งสิ้น

บ้างก็กำลังสะกดรอย บ้างก็กำลังตระเตรียมเสบียงก่อนศึก บ้างก็วิเคราะห์แจกแจงรายละเอียดของปฏิบัติการในครั้งนี้

ส่วนหูทงก็กำกับทุกสิ่งทั้งหมดนี้ เหมือนผู้บังคับบัญชาที่ปราดเปรื่องและมั่นคงคนหนึ่ง

ด้วยการพูดคุยจิปาถะของพวกเขา รวมถึงข่าวสารที่รั่วไหลในถ้อยคำโดยไม่ได้ตั้งใจ พาให้หลินสวินพลอยได้ทำความเข้าใจเรื่องราวของสมรภูมิกระหายเลือดไม่มากก็น้อย

นี่ก็คือการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง

หลินสวินรู้ดีว่าสิ่งที่ตนต้องการในขณะนี้ก็คือประสบการณ์และเรื่องราวภายในสมรภูมิกระหายเลือด และมีเพียงการสันทัดจัดเจนสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะทำให้ตนรอดชีวิตอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดได้นานขึ้น

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ นับตั้งแต่เข้าร่วมกองกำลังนี้ ท่าทีของหลิ่วเหวินคนนั้นดูร้ายกาจมากอย่างเห็นได้ชัด

หลิ่วเหวินก็คือชายหนุ่มชุดคลุมเงินคนนั้น เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ อายุยังน้อย หากไปอยู่ในจักรวรรดิ ก็นับได้ว่าเป็นคนโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นเขาผ่านการฆ่าฟันในสมรภูมิกระหายเลือด ย่อมไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งของเจ้าตัวต่ำไปได้ แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปเป็นอักโข สิ่งนี้คล้ายจะทำให้เขาหยิ่งลำพองและมั่นใจในตัวเองถึงที่สุด

แม้ว่าหลินสวินจะนิ่งเงียบและทำตัวไม่ให้เป็นที่สังเกตเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลิ่วเหวินผู้นี้เหิมเกริมมากขึ้นเท่านั้น

ตลอดทางเขาปลุกปั่นหลินสวินด้วยการเหลือบสายตาดูหมิ่นมาให้เป็นพักๆ

เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่สนใจเขา เขาก็ยังจงใจเอ่ยคำเสียดสีบางส่วน ตัวอย่างเช่น ‘หนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิ’ ‘ทายาทรุ่นสองไม่เอางานที่หวังกอบโกย’ เป็นต้น

ต่อให้หลินสวินอารมณ์เย็นมากเพียงใด สิ่งนี้ก็ยังทำให้เขาอดมุ่นคิ้วไม่ได้ เจ้าหมอนี่เห็นตนเป็นอะไร เป้าของความอัปยศหรือ?

“อย่าสนเขาเลย”

ทันใดนั้นอาปี้ที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยปาก “ขอเพียงเจ้าทนไม่ไหว การยั่วยุของเขาก็ประสบผลสำเร็จแล้ว จากนั้นคงฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้าเต็มเหนี่ยว”

“อาปี้ นี่เจ้ากำลังพูดอะไร เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนเลวไปได้” หลิ่วเหวินค่อนข้างหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด

“หากเจ้าอยากพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนเลวก็หุบปากของเจ้าเสีย!” อาปี้มองเข้าไปอย่างเย็นชา ไม่เกรงกลัวหลิ่วเหวินสักนิด

“เอาล่ะ ทุกคนต่างถอยคนละก้าว”

สมาชิกคนอื่นๆ เห็นบรรยากาศชักเริ่มตึงก็ทยอยเอ่ยปากเตือนสติ เพียงแต่สายตาที่พวกเขามองไปทางหลินสวินนั้นยิ่งขับไล่ไสส่งมากขึ้นเรื่อยๆ

เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนคิดว่าการเข้าร่วมอย่างกะทันหันของหลินสวิน ทำลายบรรยากาศความกลมเกลียวระหว่างพวกเขา

“ไอ้หนู ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ในเมื่ออยากกอบโกยเหรียญกล้าหาญกับพวกเรา เจ้าก็จงเชื่อฟังพวกข้าหน่อย!”

หลิ่วเหวินหยัดตัวขึ้น นัยน์ตาเจือแววเหยียมหยาม น้ำคำเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการตักเตือนและข่มขู่ กล่าวจบเขาพลันหมุนกายเดินออกไปนอกห้องโดยสาร

“เฮ้อ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าหัวหน้ารับปากให้ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหนคนหนึ่งเข้าร่วมกลุ่มพวกเราได้อย่างไร”

“หวังว่าเขาคงไม่ก่อความวุ่นวายให้พวกเรา ไม่เช่นนั้นปัญหาจะยิ่งใหญ่ขึ้น”

“ปัญหา? เฮอะ ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ วันๆ ไม่รู้ว่ามีลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาอ่าวตายไปตั้งเท่าไร ถ้าหากกล้าก่อความวุ่นวาย จุดจบจะต้องไม่น่าพิสมัยแน่!”

สมาชิกคนอื่นๆ หยัดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินออกจากห้องโดยสารไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง ในน้ำเสียงเจือความขับไล่ ชิงชัง และข่มขู่ปะปนกัน เห็นชัดว่าพูดให้หลินสวินฟัง

ไม่นานภายในห้องโดยสารก็เหลือเพียงหลินสวินและอาปี้

ต่อให้หลินสวินอารมณ์เย็นเพียงใด หว่างคิ้วก็แฝงด้วยแววอึมครึม ก่อนมุ่งหน้ามายังสมรภูมิกระหายเลือด ทั่วทั้งนครต้องห้ามมีผู้ใดกล้าพูดกับเขาเช่นนี้บ้าง

“เจ้าเพิ่งมาที่ค่ายหมายเลขเจ็ด จู่ๆ ก็เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเรา คงเลี่ยงการถูกเหยียดหยันและการปฏิบัติอย่างเย็นชาได้ยาก แต่เจ้าก็อย่าโกรธไปเลย พวกเขาแต่ละแค่กำลังบ่น แต่ไม่ได้จงใจมุ่งเป้าไปที่เจ้าหรอก”

อาปี้ที่อยู่ข้างๆ กล่าว นางมีบุคลิกคล่องแคล่วดุดัน ดูดุร้ายเต็มที่ แต่กลับมีความคิดละเอียดอ่อนของสตรีอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

หลินสวินถอนหายใจ “ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยข้ากล้ายืนยันว่า ถ้าให้โอกาสหลิ่วเหวินคนนั้นสักครั้ง เขาต้องไม่รังเกียจสั่งสอนข้าให้หลาบจำเป็นแน่”

อาปี้เลิกคิ้วขึ้น ครุ่นคิดสักพัก ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้า “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ตลอดทางนี้เจ้าก็อยู่ข้างๆ ข้าแล้วกัน จะไม่ให้เจ้าเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรแน่”

“เหตุใดเจ้าต้องทำขนาดนี้ ไม่กลัวจะพลอยฟ้าพลอยฝนไปกับข้า ทำให้คนอื่นๆ เกิดความไม่พอใจหรือ” หลินสวินกล่าวอย่างสนใจ

อาปี้แค่นเสียงกล่าว “เมื่อเช้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าจะคุ้มครองเจ้า มีหรือจะเปลี่ยนใจได้ในพริบตาเดียว นั่นไม่ใช่ทางของข้า”

นิ่งงันไปครู่นางก็กล่าวเสียงต่ำ “เรื่องเมื่อคืนวาน ห้ามบอกคนอื่นนะ”

“เรื่องอะไร” หลินสวินทำหน้างุนงง แต่ความจริงแล้วรู้ดีแก่ใจ อาปี้กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องที่นางคุกเข่าร่ำไห้เมื่อคืน

“เจ้าลืมแล้ว?” อาปี้รู้สึกแปลกใจ

“นึกไม่ออกแล้ว ย่อมไม่มีอะไรให้เอาไปบอกคนอื่น เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลินสวินขยิบตา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

อาปี้หลุดขำออกมา จากนั้นก็จ้องหลินสวินเขม็งปราดหนึ่ง กล่าวว่า “ถ้าเจ้ากล้าปากสว่าง ข้าจะดึงลิ้นเจ้าออก!”

กล่าวจบนางก็อดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ จู่ๆ ก็พบว่าเจ้าหน้ามนคนนี้พูดจาค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว

“จริงสิ ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าเรียกข้าว่าเจ้าหน้ามนอีก มันอุจาดหูชะมัด เรียกข้าว่า… หลินสือเอ้อร์เถอะ” หลินสวินครุ่นคิดสักพักก่อนกล่าว

“หลินสือเอ้อร์?”

“ใช่”

“ไม่น่าฟัง เรียกว่าเจ้าหน้ามนถนัดปากมากกว่า”

หลินสวินจนคำพูดทันใด เปลี่ยนคำเรียกขานยังต้องสนเรื่องถนัดหรือไม่ถนัดปากด้วย?

……

“หัวหน้า ข้าต้องการคำชี้แจง เหตุใดถึงต้องพาเจ้าเด็กนั่นร่วมขบวนมาด้วย ท่านมองไม่ออกหรือว่าเด็กคนนี้เป็นหนอนดูดเลือดที่มาชิงเหรียญกล้าหาญของกองทัพ”

ในห้องโดยสารอีกห้อง หลิ่วเหวินโกรธกรุ่นฉุนเฉียว เขาพาสมาชิกบางส่วนมาด้วยกัน ใช้สิ่งนี้แสดงออกถึงความไม่พอใจ

“หลิ่วเหวิน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย” หูทงขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงเข้ม

“ข้ารู้ว่าท่าทีของข้ามีปัญหา แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว ทำไมเหรียญกล้าหาญที่พวกเราเสี่ยงชีวิตไปตามล่า ต้องมาถูกทายาทรุ่นสองไม่เอาการเอางานแบบนี้มาแบ่งสันปันส่วนด้วย” หลิ่วเหวินกล่าวอย่างฮึดฮัด

“หลิ่วเหวิน!”

หูทงสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเลิกพูดพล่ามเสียที คงไม่ใช่เพราะเจ้าเห็นว่าเด็กคนนั้นกับอาปี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในใจเจ้าเลยรู้สึกไม่พอใจกระมัง”

สมาชิกคนอื่นๆ มองหน้ากันปราดหนึ่ง ล้วนนิ่งเงียบ พวกเขารู้ดีว่าหลิ่วเหวินชื่นชอบอาปี้มาโดยตลอด เห็นอาปี้เป็นของหวงแหนของเขา ย่อมไม่อาจยอมให้ถูกผู้อื่นจับต้องได้อยู่แล้ว

หากว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่รู้จักอาปี้ ท่าทีของหลิ่วเหวินอาจจะดีกว่านี้หน่อยก็ได้ แต่อาปี้ก็ดันดูเหมือนจะคุ้มครองเด็กหนุ่มคนนั้นอีก ถ้าหลิ่วเหวินมีท่าทีดีด้วยได้สิน่าแปลก

“หัวหน้า! นี่ข้ากำลังคิดเพื่อพวกเราทุกคนอยู่นะ เหตุใดท่านถึงเอ่ยเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ขึ้นมา” หลิ่วเหวินไม่สบอารมณ์ยิ่งยวด ยังคงปากแข็งอยู่

“ได้ ในเมื่อเจ้าต้องการเหตุผล ข้าก็จะบอกเจ้าเอง”

หูทงกล่าวเสียงเข้ม “เหตุที่ข้ารับปากเรื่องนี้ ก็เพราะใต้เท้าหลูให้คำมั่นแล้ว ขอเพียงพาคุณชายหลินคนนั้นร่วมขบวนมาด้วย เหรียญกล้าหาญของกองทัพที่จะได้รับในภารกิจครั้งนี้… จะเพิ่มเป็นเท่าตัว!”

อะไรนะ?

สมาชิกเหล่านั้นต่างพากันสูดหายใจ ใบหน้าฉายแววตกตะลึง หากว่าเหรียญกล้าหาญในภารกิจครั้งนี้ของพวกเขาเพิ่มเป็นเท่าตัว นั่นมิใช่ว่าจากหนึ่งพันหกร้อยแต้มกลายเป็นสามพันสองร้อยแต้มในทันทีหรอกหรือ

นี่เท่ากับทำภารกิจเดียวกันสำเร็จสองครั้งเชียว!

บนโลกนี้ยังมีเรื่องดีๆ เช่นนี้อยู่อีกหรือ

ทันใดนั้นสมาชิกเหล่านั้นก็ตระหนักว่า ในเมื่อสามารถทำให้หลูเหวินถิงผู้ควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จของฝ่ายพลาธิการให้คำมั่นสัญญาระดับนี้ออกมาได้ ฐานะของคุณชายหลินคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!

ต่อให้เขาเป็นพวกไม่เอาไหนอย่างที่สุด ก็ยังเป็นพวกไม่เอาไหนที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งถึงที่สุดคนหนึ่ง!

แม้แต่หลิ่วเหวินยังอึ้งงันไปเป็นนาน มุมปากกระตุกขึ้นอย่างยากสังเกต

เนิ่นนาน เขายังคงดูคล้ายไม่เต็มใจ กล่าวอย่างเดือดดาล “แค่เพราะเหรียญกล้าหาญของกองทัพพวกนี้ พวกเราต้องรับหนอนดูดเลือดแห่งจักรวรรดิเข้าพวกด้วยหรือ หัวหน้า ท่านเคยบอกว่าท่านดูถูกคนประเภทนี้ที่สุดนี่!”

หูทงดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวอย่างเย็นชา “ไม่ผิด ข้าดูถูกคนพรรค์นี้มากจริงๆ แต่หากข้าไม่ตกลง ก็เท่ากับล่วงเกินหลูเหวินถิง! ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่ในค่ายหมายเลขเจ็ดต่อไป จะไม่ถูกหาเรื่องหรือ”

“กล่าวได้ว่า แค่หลูเหวินถิงเอ่ยประโยคเดียวก็สามารถทำให้พวกเราไม่ได้รับภารกิจใดๆ เลย ถึงตอนนั้นพวกเราไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแลกเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญอีกเลย!”

หูทงพ่นคำพูดซัดใส่หน้าโครมๆ ทำให้สมาชิกเหล่านั้นต่างนิ่งเงียบ

มีเพียงหลิ่วเหวินคนเดียวที่หน้าเขียว ภายในใจยังคงเดือดพล่าน และยิ่งเกลียดชังเจ้าหนูนั่นขึ้นทุกที ข้าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากทายาทรุ่นสองไม่เอาไหนคนนี้!

“จำไว้ ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แต่จำเป็นต้องรับประกันว่าคุณชายหลินคนนั้นจะกลับค่ายได้อย่างปลอดภัยทุกประการ!”

หูทงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก น้ำเสียงแน่วแน่ ไม่ยอมให้ผู้ใดสงสัย

สมาชิกคนอื่นๆ ต่างเข้าใจ ฐานะคุณชายหลินคนนั้นจะต้องพิเศษยิ่งยวดเป็นแน่ ถึงได้รับการให้ความสำคัญระดับนี้ สิ่งนี้ทำให้ในใจพวกเขานอกจากความชิงชังแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกหดหู่อย่างอดไม่ได้ ชะตาชีวิตของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันจริงๆ ด้วย

ลูกผู้ดีเช่นนี้คนหนึ่ง ได้รับการดูแลทุกรูปแบบอย่างง่ายดาย แม้แต่หลูเหวินถิงผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จควบคุมฝ่ายพลาธิการยังต้องปฏิบัติด้วยความสุภาพ

ส่วนพวกเขาเหล่านี้ กลับทำได้เพียงอาศัยการเสี่ยงชีวิตล่าสังหารเพื่อไขว่คว้าเหรียญกล้าหาญของกองทัพ ใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนความมั่งคั่ง เมื่อเปรียบกันแล้วก็เห็นสูงต่ำชัดเจน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภายในใจก็คงหดหู่ยิ่งเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะหลิ่วเหวินที่เกลียดจนกัดฟันแทบแหลก

อาศัยอะไร?

แค่อาศัยว่าเขาเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่ฐานะไม่ธรรมดา ภูมิหลังยิ่งใหญ่ ก็สามารถได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว?

แม้แต่อาปี้ยังช่วยออกปากแทนเขา!

เพราะอะไร?

หรือเป็นเพราะฐานะของเจ้านั่นทำให้อาปี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างแตกต่างด้วยเช่นเดียวกัน?

น่าชังนัก!

หลิ่วเหวินข่มกลั้นความเดือดดาลในใจ เขากลัวควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วพุ่งไปเชือดเจ้าหน้ามนน่ารังเกียจคนนั้น

ในห้องข้างๆ หลินสวินที่กำลังพูดคุยกับอาปี้ไม่รู้เอาเสียเลย ว่าในสายตาคนนอก เขากลายเป็น ‘ลูกผู้ดีมีเงินไม่เอาไหน’ ที่ทำให้ผู้คนชี้นิ้วชิงชัง และทำให้คนร้องยี้ไปเสียแล้ว…

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด