Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 417 ใจกล้าดั่งพายุคลั่ง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 417 ใจกล้าดั่งพายุคลั่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 417 ใจกล้าดั่งพายุคลั่ง
โดย

กีบเท้าทั้งสองของอสูรมังกรเจียวกีบดำยกสูงในอากาศ พลังอำนาจโหดเหี้ยมน่ากลัวพาให้อกสั่นขวัญแขวน

สัตว์ปีศาจชั้นนี้สามารถสะท้านขวัญผู้มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ ทันทีที่กีบเท้าทั้งสองของมันกระแทกเข้ากับร่างของหลินสวิน แม้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!

สวบ!

เห็นใต้เท้าของหลินสวินราวเกิดเมฆหมอก เงาร่างหายไปจากจุดเดิมในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรชั้นแรก… ก้าวย่างชือน้ำแข็ง!

เสียงปังดังลั่น กีบเท้าทั้งสองของอสูรมังกรเจียวร่วงหล่นจากห้วงอากาศกระแทกลงบนพื้น เกิดเป็นเสียงดังลั่น พื้นพสุธาราวกัมปนาท เห็นได้ว่าพลังโจมตีนี้น่ากลัวเพียงใด

หลินสวินเห็นดังนี้ก็ลอบถอนหายใจยาว ในใจอดโกรธไม่ได้ สัตว์ปีศาจลากเกี้ยวสมบัตินี้โดยทั่วไปจะถูกฝึกอยู่ก่อนแล้ว ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง จะกล้าชนเข้าอย่างจังเช่นนี้ได้อย่างไร

“โฮก!”

แต่หลินสวินไม่ทันได้แสดงท่าทีโมโห อสูรมังกรเจียวกีบดำตัวนั้นโจมตีไม่โดนก็ยิ่งคลุ้มคลั่งดุร้าย คำรามอย่างขัดเคืองออกมา อ้าปากหมายจะกัดหลินสวิน

“ไสหัวไป!”

นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ ทั้งร่างมีไอหมอกน้ำแข็งระเหย เมื่อย่างเท้าไปก้าวหนึ่ง เงาชือน้ำแข็งตนหนึ่งก็พุ่งออกมา แหงนหน้าขึ้นฟ้า ส่งเสียงแหลมเหมือนเสียงร้องของมังกร

พลานุภาพน่าหวั่นกลัวยากบรรยายพลันปะทุออกจากหลินสวินที่เป็นศูนย์กลาง ม้วนกวาดทุกอย่าง

ในชั่วพริบตา อสูรมังกรเจียวกีบดำที่คิดจะกัดทำลายตัวนั้นส่งเสียงร้องครวญครางออกมา เสียงตุ้บดังขึ้น ร่างใหญ่ยักษ์เหมือนถูกมหาบรรพตกดทับ หมอบคลานอยู่บนพื้นตัวสั่นระริก

และในเวลาเดียวกันนี้ อสูรมังกรเจียวกีบดำที่ลากเกี้ยวสมบัติอีกสามตัวก็พากันร้องครวญ ร่างอ่อนยวบไปกับพื้น

เฮือก~

เสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น

หลินสวินในเวลานี้เงาร่างเต็มไปด้วยหมอกน้ำแข็ง เงาชือน้ำแข็งแหงนหน้าขึ้นไปยังห้วงอากาศ มีพลังน่าหวั่นกลัวยากบรรยาย หยิ่งผยองยิ่งนัก

อสูรมังกรเจียวดำที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณหวั่นกลัวได้สี่ตัวนั้น กลับถูกกำราบด้วยพลานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างหลินสวินในเวลาเดียวกันนี้เอง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

“วิชาลับอะไรกันนี่ ถึงกับก่อให้เกิดความน่าหวั่นเกรงแรงกล้าเช่นนี้ได้”

อีกด้านหนึ่ง ดวงตากระจ่างดุจดาราของไป๋หลิงซีปรากฏแววประหลาด ปริศนาในตัวหลินสวินมากมายนัก ยังให้นางสงสัยหลายครั้งว่า แท้จริงแล้วหลินสวินครอบครองวิชาลับกับพลังที่ผู้อื่นไม่รับรู้อีกกี่มากน้อย

“เหอะๆ เจ้าก็คือหลินสวินงั้นหรือ”

ฉับพลัน เสียงหัวเราะอ่อนหวานหาใดเปรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น ที่ตามมากับเสียงนี้ คือชายหนุ่มชุดสีเลือดผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากเกี้ยวสมบัติมังกรเจียวคันนั้น

เขามีผิวขาวสะอาดราวดรุณี ในหน้างดงามหล่อเหลาแฝงกลิ่นอายราวปีศาจ โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น ยามลืมตาขึ้นจะมีแสงสีเลือดหมุนเคลื่อน ดูน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ

นี่ก็คือหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้น!

เพียงดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เขาดูไม่เหมือนผู้กล้าที่นิสัยใจคอโหดเหี้ยมวิปริต เคยมีชื่อเสียงเลื่องระบือร้ายกาจที่สนามรบชายแดน กลับดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ที่ท่าทางเหนือธรรมดาผู้หนึ่ง

แต่เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏกาย หลายคนในที่นั้นหลุบตาลง แสดงให้เห็นความรู้สึกหวั่นเกรง เห็นชัดว่าในใจรู้ดีว่า ภายใต้เนื้อหนังหล่อเหลางดงามของหลิงเทียนโหว มีหัวใจราวปีศาจร้ายดวงหนึ่ง!

“ใช่”

หลินสวินพยักหน้ารับ เพียงฟังถ้อยคำของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าที่อสูรมังกรเจียวดำพุ่งชนตนเมื่อครู่นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!

“ดูแล้วยังเยาว์เหมือนข่าวลือจริงๆ เพียงแต่เจ้ากลับไม่มีความใจกล้าคับฟ้าเช่นในข่าวลือเลย”

หลิงเทียนโหวมีน้ำเสียงอ่อนหวาน เหมาะเจาะกับใบหน้าสะสวยราวปีศาจของเขา มีบุคลิกที่มีเอกลักษณ์

“ท่านเห็นว่าอย่างไรจึงเรียกว่าใจกล้า” หลินสวินถามกลับ

“ถ้าข้าเป็นเจ้า หากเดรัจฉานเช่นนี้กล้าพุ่งชนข้า เช่นนั้นข้าก็จะฆ่าเดรัจฉานก่อน แล้วค่อยฆ่านายของมัน”

หลิงเทียนโหวอธิบายเหตุผลแช่มช้า แต่วาจานั้นพลุ่งพล่านไปด้วยจิตสังหาร พาให้ใจคนหนาวยะเยือก “เช่นนี้ถึงจะเรียกว่าใจกล้าอย่างแท้จริง”

หลายคนที่อยู่ใกล้กันนั้นลอบสูดหายใจเย็นเยียบ ไม่พบกันห้าปี นิสัยวิปริตของหลิงเทียนโหวไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งร้ายกาจกว่าเดิมเสียอีก!

หลินสวินร้องอ้อ พลันยกมือหนึ่งขึ้นตบออกไป เกิดเสียงดังปังคราหนึ่ง หัวอสูรมังกรเจียวดำตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพลันแหลกสลาย โลหิตซ่านกระเซ็น

ฝูงชนจิตใจสั่นสะท้าน ตกตะลึงร้องเสียงหลง ใครจะกล้าคิดว่าจู่ๆ หลินสวินจะลงมือฆ่าอสูรมังกรเจียวดำตัวหนึ่งที่หลิงเทียนโหวเลี้ยงต่อหน้าต่อตาเขาได้

“ข้าไม่ได้ใจกล้ามากมาย แต่ความกล้าในการฆ่าเดรัจฉานตนหนึ่งก็ยังพอมี เช่นนี้ท่านพอใจหรือไม่”

หลินสวินยิ้มถาม สีหน้าเรียบเฉย

“แต่ข้าเห็นว่ายังขี้ขลาดนัก”

หลิงเทียนโหวเหมือนไม่โกรธ เพียงมองหลินสวินอย่างเฉยชา

ปัง!

พูดเพิ่งจบ หัวอสูรมังกรเจียวดำอีกตัวก็ถูกหลินสวินตบจนแหลก น่าสะท้านขวัญจนอสูรมังกรเจียวดำอีกสองตัวร้องครวญไม่หยุด หวั่นกลัวหวาดวิตก

ส่วนฝูงชนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นสีหน้าล้วนระบายไปด้วยความสั่นสะท้าน

จวบจนตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงเทียนโหวถึงหยุดเกี้ยวสมบัติกะทันหัน และเข้าหาหลินสวิน

และคิดไม่ถึงเช่นกันว่า เมื่อเทียบกับหลิงเทียนโหวที่ว่าป่าเถื่อนโหดเหี้ยมแล้วนั้น การแสดงออกของหลินสวินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!

นี่เป็นถนนหยกขาวที่ในเมืองชั้นในที่ใช้เป็นทางไปยังพระราชวัง ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ไม่ว่าจะเป็นหลิงเทียนโหวหรือหลินสวิน ก็ดูไม่หวั่นเกรงเลย!

เช่นนี้น่ากลัวไปแล้ว

วันนี้เป็นวันฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี หากสองคนนี้ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่กังวลว่าจะได้รับโทษหรือ?

“ตอนนี้ล่ะ”

หลินสวินหัวเราะพลางถามต่อ ในดวงตาสีดำคู่นั้นกลับไม่มีความหวั่นไหวสักนิด

“ก็ยังไม่ผ่านเหมือนเดิม”

หลิงเทียนโหวพูดเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวปีศาจนั้นก็ดูคลื่นอารมณ์ไม่ออกเช่นกัน

แต่ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนรับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่า บรรยากาศตรงนี้ขมวดเคร่งจนถึงที่สุดแล้ว เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่อีกนิดเดียวก็จะระเบิดออก

อากาศราวถูกแช่แข็ง กดดันจนยังให้ทุกคนหายใจไม่ทั่วท้อง

ทุกคนรู้ดีว่า การที่หลินสวินฆ่าอสูรมังกรเจียวดำครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าหลิงเทียนโหว นี่ดูเหมือนว่าพิสูจน์ความใจกล้าของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีหรือจะไม่ใช่การโจมตีตอบโต้หลิงเทียนโหว

อีกทั้งการตอบโต้นี้ยังเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและป่าเถื่อน!

“เช่นนั้นก็ทำต่อ”

หลินสวินยิ้มให้พลางยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง

อสูรมังกรเจียวกีบดำอีกสองตัวที่เหลือจะนั่งรอความตายได้อย่างไร เมื่อรับถึงรู้ไอสังหารของหลินสวิน พวกมันตัวหนึ่งก็พลันแสดงความดุร้าย พุ่งเข้าโจมตีหลินสวิน

ส่วนอีกตัวหนึ่งกลับส่งเสียงครวญคราง หลบอยู่หลังร่างของหลิงเทียนโหว

ปัง! ปัง!

เสียงดังกึกก้องขึ้นสองครั้ง อสูรมังกรเจียวกีบดำทั้งสองตัวถูกฆ่าทิ้งสิ้น ตัวหนึ่งถูกหลินสวินโจมตีที่หัวจนแหลก

ส่วนอีกตัว…กลับถูกหลิงเทียนโหวใช้มือเดียวฆ่า สลายกลายเป็นเนื้อละเอียดทั่วพื้น สภาพการตายน่าสยดสยองยิ่งนัก!

เห็นเช่นนี้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนอดกระสับกระส่ายในใจไม่ได้ ไม่อาจสงบนิ่ง แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นหลิงเทียนโหวหรือหลินสวิน ล้วนใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดต่อกร ต่างคนต่างยั่วยุกัน ใครก็ไม่ยอมถอย!

ขนาดไป๋หลิงซีที่อยู่ข้างๆ ในดวงตาของนางยังอดปรากฏแววเคร่งขรึมไม่ได้

การปะทะที่เดิมทีเหมือนอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง พัฒนามาจนถึงตอนนี้ ก็ประหนึ่งเป็นการผูกบัญชีเลือดกันแล้ว!

แต่ใจนางยังสงสัย หลินสวินเพิ่งเข้ามายังนครต้องห้ามไม่ถึงปี ส่วนหลิงเทียนโหวก็จากนครต้องห้ามไปห้าปีถึงเพิ่งกลับมา เหตุใดจู่ๆ หลิงเทียนโหวถึงได้เลือกเวลานี้มายั่วยุหลินสวิน

“ขยะชั้นเลวเหล่านี้ ขายหน้าประชาชี ตายไปก็ไม่คุ้มให้เสียดาย”

เสียงหลิงเทียนโหวอ่อนหวาน แต่ในดวงตาล้วนมีแต่ความเย็นเยียบ “ตอนนี้เจ้ายังมีวิธีอะไรมาพิสูจน์ความใจกล้าของตัวเองไหม”

หลินสวินยิ้ม “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”

ชั่วพริบตานั้น แววตาของหลิงเทียนโหวเปลี่ยนเป็นดุดัน เสื้อผ้ากระพือไหวเกิดเสียงดัง ทั้งร่างมีจิตสังหารหนาแน่นหาใดเปรียบแผ่ออกมา “วิธีใด”

บรรยากาศที่นี่ตึงเครียดถึงที่สุด กดดันถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าห้วงอากาศบริเวณนั้นเหมือนรับไม่ไหว เปลี่ยนไปแปรปรวน เกิดเสียงหวีดหวิว

“ฆ่าท่านเสียเลย”

รอยยิ้มที่มุมปากของหลินสวินหุบลง น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่คำที่เอ่ยออกมากลับทำให้ใจของทุกคนสั่นไหวบ้าคลั่ง เกือบร้องเสียงหลงด้วยความสะท้านขวัญ

“ฮ่าๆๆ”

หลิงเทียนโหวแหงนหน้าขึ้นฟ้า หัวเราะเสียงดัง เสียงอ่อนหวานเหมือนกระแสน้ำเย็นที่ชุ่มชื้น พาให้คนขนลุก

“เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเกินไปแล้ว เดิมนึกว่าในนครต้องห้ามจะมีคนโหดเหี้ยมที่ทำให้ข้าเปลี่ยนมุมมองใหม่เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าจะได้เพียงเท่านี้”

ใบหน้าหลิงเทียนโหวปรากฏความดูถูกเหี้ยมเกรียม “รู้หรือไม่ ถ้าเจ้าใจกล้าจริงก็ควรจะฆ่าข้าแต่แรก ไม่ใช่รอแล้วรอเล่ามาถึงตอนนี้”

พูดจบ ภายใต้สายตาตกตะลึงที่จับจ้องของฝูงชนในที่นั้น หลิงเทียนโหวกลับหันกายเดินไป ไม่แลหลินสวินอีก

“ที่ครั้งนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เพียงเพราะโทษตายหลีกเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นหลบหนียาก ได้ยินว่าเจ้าซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้างั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าก็ไปจวนข้า รับใช้ถวายชีวิตให้ข้าไปนานๆ ข้าสามารถปล่อยให้เรื่องแล้วไปแล้วได้ มิเช่นนั้นยามงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจบลง ก็จะเป็นเวลาตายของเจ้า เจ้าคิดเองให้ดีๆ เถิด!”

เสียงอ่อนหวานลอยขึ้น ส่วนเงาร่างของหลิงเทียนโหวนั้นหายลับไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลออกไปแล้ว

ฝูงชนถึงได้รับรู้ว่า เพราะเหตุใดหลิงเทียนโหวที่วิปริตโหดเหี้ยมเกินใครมาแต่ไหนแต่ไร ยามยั่วยุอย่างแข็งกร้าวต่อหน้าหลินสวิน ถึงไม่ได้ลงมือในท้ายที่สุด

เป้าหมายที่แท้จริงของเขา ก็คือต้องการให้หลินสวินรับใช้เขาอย่างถวายชีวิต!

มิน่าเมื่อครู่เขาถึงได้ไปยั่วยุหลินสวิน เดิมทีก็ชื่นชมความเก่งกล้าที่หลินสวินสามารถซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าได้…

นี่ทำให้ความรู้สึกของฝูงชนประหลาดไป

อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนึกศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิและสำนักศึกษามฤคมรกต ยังใช้ทั้งค่าตอบแทนและคำสัญญาอย่างงามมากมายเพื่อดึงตัวหลินสวิน

แต่หลินเทียนโหวกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใช้อำนาจและพลังโดยไม่อ้อมค้อมกดดันให้หลินสวินยอมจำนน ดูอหังการถึงที่สุด!

เวลานี้หลินสวินเข้าใจกระจ่างแจ้งเช่นกัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ส่ายหัวเย้ยหยัน ก่อนหันไปทางไป๋หลิงซีแล้วพูดว่า “พวกเราไปเถอะ”

เขาพูดโดยไม่แลมองศพอสูรมังกรเจียวกีบดำที่มีรอยเลือดเป็นด่างดวงนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลออกไป

“เจ้าไม่กังวลหรือ”

ไป๋หลิงซีอดไม่ไหวถามออกไป

“ไม่ใช่ว่าข้ากังวล ข้าโกรธต่างหาก”

หลินสวินยักไหล่พูดว่า “ถูกคนอื่นกลั่นแกล้งโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ หากมีโอกาสจริง ข้าไม่เกรงใจที่จะประลองชี้เป็นชี้ตายกับหลิงเทียนโหวผู้นี้ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าใครใจกล้ากันแน่”

ไป๋หลิงซีส่งเสียงอืม แล้วไม่พูดอะไรอีก

ทั้งสองคนจากไปไม่นาน ฝูงชนที่อยู่แถวนั้นก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน

“ไม่คิดเลยว่าพอหลิงเทียนโหวกลับมาก็ท้าทายหลินสวินเลย พาให้คนตกอกตกใจเกินไปแล้ว”

“เหอะๆ หลินสวินก่อนหน้านี้ เข้ามาในนครต้องห้ามไม่ทันไรก็ก่อเรื่องครึกโครมหลายเรื่อง ท่าทางดูได้ใจหาใดเปรียบ ตอนนี้ค่อยดีหน่อย ถูกหลิงเทียนโหวคนโหดเหี้ยมเช่นนี้เพ่งเล็ง เขาย่อมอับโชคแล้ว”

“อับโชคก็จริง แต่ด้วยฐานะและตำแหน่งขณะนี้ของหลินสวิน ต่อให้หลิงเทียนโหวร้ายกาจกว่านี้ คิดจะให้หลินสวินอ่อนข้อ น่ากลัวจะยากมาก”

“น่าสนใจ งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษายังไม่ทันเริ่มก็เกิดเหตุปะทะนองเลือดชั้นนี้แล้ว ความคึกคักในวันนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่”

“ถูกต้อง ขนาดหลิงเทียนโหวยังกลับมาแล้ว งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้จะปกติได้อย่างไร”

“ไปเถอะ ไปดูในพระราชวังเสียหน่อยก็รู้แล้ว”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด