Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2317 เทพแห่งศรัทธา

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2317 เทพแห่งศรัทธา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินสวินตอบด้วยตัวเองโดยไม่รอให้ซีถาม “ช่วงชิงแรงปรารถนามหามรรค!”

ซีนัยน์ตาหดรัด คล้ายรับรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา

ในโลกมืด แดนกษิติครรภ์หยั่งรากอยู่ที่นี่มานานปี และในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมก็มีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน ในทุกเมืองจะมีการสร้างอารามเทพกษิติครรภ์

หากเพื่อสะสมแรงปรารถนามหามรรค การสะสมในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้… แรงปรารถนามหามรรคที่แดนกษิติครรภ์สะสมไว้จะมากแค่ไหน

และจุดประสงค์ในการรวบรวมแรงปรารถนามหามรรคมากมายขนาดนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่

“แรงปรารถนามหามรรคแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งคือตั้งปณิธานมหามรรคบนมรรคาของตน พิสูจน์หมื่นมรรคทั่วหล้า เปิดมรรคาสายใหม่ ไม่ก็เป็นการสร้างวิชที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แรงปรารถนามหามรรคเช่นนี้คนอื่นไม่อาจช่วงชิงไปได้”

ซีเอ่ยเนิบๆ ว่า “อีกประเภทคือแรงปรารถนาสรรพชีวิต ได้รับการกราบไหว้ศรัทธาจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับพรแห่งพลังสรรพชีวิตไม่มีสิ้นสุด และได้ครอบครองพลังมหาศาลบนมรรคา ถึงขั้นสามารถสร้างกายทองกุศล ไม่เสื่อมไม่ดับ คงอยู่นิรันดร์”

“จากที่ข้าดู แรงปรารถนามหามรรคที่แดนกษิติครรภ์รวบรวม เกรงจะเป็นเพื่อสร้างกายทองกุศลของผู้มากสามารถคนหนึ่ง”

“เมื่อมีกายทองกุศลก็เหมือนดั่งเทพแห่งศรัทธาของสรรพชีวิต ขอเพียงสรรพชีวิตยังอยู่ คนแห่งศรัทธาผู้นี้ก็จะไม่เสื่อมไม่ดับ”

ได้ยินดังนี้หลินสวินก็อึ้งไป เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องกายทองกุศล เทพแห่งศรัทธานี้

“ฟังแล้วคล้ายเป็นวิธีหลอมที่เร้นลับอย่างหนึ่ง แต่ในสายตาระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่แท้จริง มรรคาแห่ง ‘เทพ’ ที่สร้างมาจากแรงปรารถนาสรรพชีวิตเช่นนี้ ก็คือทางสายมารนอกลู่นอกทางสายหนึ่ง”

ซีอธิบายรอบหนึ่ง

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิหมายจะทะลวงระดับของตน มุ่งไปยังมรรควิถีที่สูงยิ่งขึ้นมีแค่สองวิธี

หนึ่งคือมุ่งหน้าไปโลกฟากฝั่ง แสวงหาและแจ้งพลังมหามรรคใหม่

อีกหนึ่งคือการรวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิต ใช้พลังแห่งศรัทธาทำให้มรรถวิถีของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง และก้าวออกไปนอกธรณีประตูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ

แต่วิธีที่สองนี้กลับมีข้อเสียยิ่งยวด

ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตเพื่อทะลวงระดับ ก็ต้องถูกสรรพชีวิตพันธนาการ!

นี่ก็หมายความว่า ต่อให้มรรควิถีของตนทะลวงระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ประหนึ่งเป็นเทพแห่งจิตใจสรรพชีวิต ครอบครองพลังที่ยากจะจินตนาการ ไม่เสื่อมไม่ดับ คงอยู่นิรันดร์

แต่พร้อมกันนั้นมรรคาทั้งชีวิตก็จะหยุดลงที่ตรงนี้ สรรพชีวิตคงอยู่ตลอดไป มรรคาก็จะไม่มีวันได้ทะลวงออกไปอีก!

กล่าวถึงตรงนี้เสียงของซีเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ที่บอกว่ามรรคาเส้นนี้เป็นสายมารนอกลู่นอกทางก็อยู่ที่ว่า ขอเพียงเป็นพวกที่ทะลวงระดับจากการยืมแรงปรารถนาสรรพชีวิต มักจะใช้เจตจำนงแห่งตนแทนเจตจำนงสรรพชีวิต ใช้ความดีชั่วของตนเป็นดั่งความดีชั่วของสรรพชีวิต! ความเป็นตายของสรรพชีวิตล้วนอยู่ภายใต้ความคิดเดียวของคนผู้นี้!”

“นี่ไม่ต่างอะไรกับสรรพชีวิตกลายเป็นทาสเลยไม่ใช่หรือ” หลินสวินหนาวสะท้านในใจ

ซีกล่าว “ที่น่ากลัวที่สุดคือ เจ้าต่อกรกับคนที่มีกายทองกุศล ก็เท่ากับต่อกรกับสรรพชีวิต ถูกพันชีวิตชี้หน้า หมื่นชีวิตด่าทอ ต่อให้ร่างตายไปก็จะทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่เอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ถูกหัวเราะเยาะด่าว่าทุกยุคทุกสมัย”

“และหากเจ้าฆ่า ‘เทพ’ เช่นนั้นตาย ก็เท่ากับฆ่าดวงใจแห่งสรรพชีวิต!”

“ดังนั้นถึงได้พูดว่านี่เป็นทางสายมาร”

ฟังจบหลินสวินอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ ในใจหนาวเยือก การฝึกมรรคาเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ

หากแดนกษิติครรภ์รวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิตเพื่อเทพแห่งศรัทธา แค่คิดก็รู้ว่าขอเพียง ‘เทพ’ เช่นนี้ปรากฏตัวจริงๆ นั่นจะพาให้คนหวาดหวั่นยิ่งยวด

“แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ทางสายมารนี้ไม่ใช่จะเดินได้ง่ายๆ ปานนั้น ขอเพียงเกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ ก็จะถูกพลังแห่งสรรพชีวิตย้อนกลับ กลายเป็นภัยแห่งการร่วงหล่นมรรคสลาย”

ซีเอ่ย “อย่างน้อยจากที่ข้ารู้ หมื่นมรรคทั่วหล้านี้ต่างมีการเคี่ยวกรำมรรคาเป็นของ สืบต่อยืนยาว มีเพียงทางมารสายนี้ที่ขอเพียงปรากฏขึ้นก็จะถูกทำลาย อย่างไรสรรพชีวิตทั่วหล้า ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน ล้วนไม่ยินยอมให้เจตจำนงและความปรารถนาของตนถูกผู้อื่นควบคุมเหมือนกลายเป็นทาส เป็นตายไม่ขึ้นอยู่กับตน”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

เขาพอเข้าใจแล้ว แดนกษิติครรภ์กล้ารวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หนึ่งเพราะที่นี่คือโลกมืด ไร้ซึ่งระเบียบ

สองก็เพราะการคงอยู่ของแรงปรารถนาสรรพชีวิตมีประโยชน์อัศจรรย์มากมาย ในโลกนี้ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ถึงขั้นเคยสักการะแรงปรารถนาสรรพชีวิตยามอยู่ระดับอริยะ

อย่างระฆังมหามรรคไร้กฎ ก็เคยสั่งสมแรงปรารถนาสรรพชีวิตที่น่ากลัวหาใดเปรียบ

หรืออย่าง ‘ประทับแห่งสรรพชีวิต’ ที่กายมรรคดินเหลืองของหลินสวินครอบครอง ก็เป็นการควบคุมแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างหนึ่งเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าทั่วหล้าทั้งบนล่างคงไม่มีใครเชื่อ ว่าแดนกษิติครรภ์กล้าเหยียบย่างบนทางสายมารนี้ที่คนทั่วหล้ามองว่าผิดมหันต์นี้

“ถ้าไม่กำจัดแดนกษิติครรภ์นี่ คงได้เป็นภัยร้ายแน่ๆ”

เสียงหลินสวินราบเรียบ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว เขาก็มีอคติและการต่อต้านตามสัญชาติญาณอย่างหนึ่งกับแดนกษิติครรภ์ กระทั่งตอนนี้ก็ยิ่งชิงชังและมองเป็นศัตรู

ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง

ใต้เท้าของพุทธรูปบนแท่นบูชาปรากฏปากทางหนึ่ง แสงประกายพร่างพรม

ถ้าหมายเข้าไปภายใน ก็เหมือนมุดเข้าไปจากใต้เท้าพุทธรูปองค์นี้ ประหนึ่งกราบไหว้นอบน้อม

ซีส่งเสียงหยัน สะบัดมือออกไปลวกๆ

แสงมรรคพร่างพราวบาดตาม้วนพัดออกมา

ท่ามกลางเสียงอึงอล พุทธรูปไร้หน้าที่ไม่รู้ตั้งอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้วพลันกลายเป็นธุลี พัดหายไปตามลม

ซีกับหลนสวินถึงค่อยเข้าไปในยามนี้

ปากทางถึงปลายทางล้วนเป็นแดนกษิติครรภ์

แดนลับที่ราวกับแคว้นพุทธแดนพิสุทธิ์แห่งหนึ่งลอยแผ่วพลิ้ว ท่ามกลางภูผาธารามีแสงธรรมสีดำไหลวน ทุกที่ล้วนมองเห็นวัดอรามที่เคร่งครัดเก่าแก่

เสียงสวดเป็นระลอกดังลอยมากลางอากาศ กลางห้วงอากาศล้วนประหนึ่งมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไหลวน

ยามหลินสวินและซีปรากฏตัว ก็ประสบกับการล้อมโจมตีจากทั่วทิศ

“ฆ่า!”

“จัดการพวกนอกรีตสองคนนี้!”

เสียงตวาดดุจเทพสายฟ้ากึกก้อง ก็เห็นเงาร่างพุ่งมาประดุจธารคลั่ง แต่ละคนล้วนสวมชุดภิกษุสีดำ นัยน์ตาไม่แยแส แสงธรรมสีดำไหลทั่วร่างกาย

พวกเขาบ้างถือบาตร คทาขักขระ แส้ บ้างก็เรียกโคมเขียว ประทับธรรม กระบอกคัมภีร์ ปลาไม้ บ้างสำแดงวิชาลับมรรคธรรม ดุจดั่งวัชระพิโรธ มุนินทร์ดับโลก

คนเป็นร้อยเป็นพันโจมตีพร้อมกัน เสียงกึกก้องไร้ใดเปรียบ ชั่วขณะเดียวพื้นที่แถบนี้ก็จมสู่ความโกลาหล แสงสมบัติไหลวน วิชาธรรมหมื่นพัน

แต่ภาพดังกล่าวมีหรือจะคุกคามหลินสวินและซีได้

ไม่ต้องให้ซีลงมือก็เห็นร่างของหลินสวินขยับไหวทันควัน

ปราณกระบี่ไท่เสวียนที่พร่างพราวนับไม่ถ้วนกวาดไปทั่วสิบทิศ

ตูม!

ปราณกระบี่แปดล้านกวาดไปทั่วเก้าชั้นฟ้า

พริบตานั้นพื้นที่สี่ทิศแปดทางก็เหมือนถูกบดขยี้ เหล่าผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ที่กระจายตัวอยู่ในนั้นไม่มีใครไม่ถูกปราณกระบี่บดขยี้ในพริบตา ฝนเลือดเข้มข้นมีแนวโน้มจะสาดพรม ทำให้ท้องฟ้าแถบนี้ที่จมอยู่ในนั้น

ทั่วร่างซีมีละอองแสงตัดสลับ ภายใต้ฟ้าดินนองเลือดนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อย่างชัดแจ้ง “ส่งพวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิเหล่านี้มาตาย แดนกษิติครรภ์ช่างใจเหี้ยมนัก”

หลินสวินมองไปไกลๆ กล่าวว่า “พวกแดนกษิติครรภ์ได้ชื่อว่าไม่กลัวความเป็นตาย บางที… นี่อาจเป็นประเพณีของพวกเขา”

เสียงเพิ่งสิ้นสุด

ไกลออกไปมีเสียงร้องตวาดน่าสะพรึงประหนึ่งฟ้าลั่น

ก็เห็นภิกษุชุดดำนับไม่ถ้วน สีหน้าเฉยเมยราบเรียบพุ่งทะยานเข้ามาจากไกลๆ ดุจเมฆดำม้วนตัว

หนาแน่นจนมองไม่เห็นจุดจบ!

ภาพการสังหารนองเลือดก่อนหน้านี้น่ากลัวเพียงใด หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าภายใต้สถานการณ์ที่รู้ว่าอันตรายนี้คงไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว

แต่ผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์เหล่านั้นกลับเหมือนมองไม่เห็น พุ่งโจมตีเข้ามาทั้งกลุ่ม ราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจความเป็นตายไปนานแล้ว

หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูท่าพวกเขาสังเกตเห็นนานแล้วว่าพวกเรามา เพียงแต่พวกเขาทำเช่นนี้ต้องโง่งมปานไหน ไม่กลัวว่าพวกเราจะสังหารผู้สืบทอดของพวกเขาจนเกลี้ยงหรือ”

“เจ้าดู”

ซีกล่าวพลางยื่นมือข้างหนึ่งจับคว้า ท่ามกลางหมอกเลือดเข้มข้นที่อบอวลฟ้าดิน คว้าจับแรงปรารถนาสรรพชีวิตอันคลุมเครือได้เป็นกลุ่มๆ

หลินสวินเข้าใจในทันที “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กลัวตาย แต่เจตจำนงและจิตใจของพวกเขากลายเป็นทาสแรงปรารถนาสรรพชีวิตไปนานแล้ว!”

“ไม่ผิด โลกนี้ย่อมไม่ขาดผู้ที่ไม่กลัวความตาย แต่ไม่มีทางที่ทุกคนทั้งสำนักจะไม่กลัวความตาย”

ซีกล่าว “และหลังการตายของผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ที่เจ้าฆ่าก่อนหน้านี้ แรงปรารถนาสรรพชีวิตบนร่างรอบๆ พวกเขาก็จะผสานรวมไปกับแดนลับแห่งนี้ ถูกดูดซับและหล่อหลอม”

“นี่ก็หมายความว่ายิ่งพวกเราสังหารผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์มากเท่าไหร่ แรงปรารถนาสรรพชีวิตที่โลกนี้ดูดซับได้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

หลินสวินอดรู้สึกหนาวสั่นในใจขึ้นมาไม่ได้ หรืออีกฝ่ายจงใจปล่อยผู้สืบทอดเหล่านี้มาตาย

“ฆ่า!”

ระหว่างการสนทนา ภิกษุชุดดำนับไม่ถ้วนพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างท่วมท้น ตามติดต่อเนื่อง ไม่มีใครกลัวตาย

“ไป ไปยังรังของอีกฝ่ายก่อน ฆ่าจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์นั่น!”

พวกลูกน้องตัวเล็กๆ เช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาหลินสวินสักนิด ตัดสินใจในทันที เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไปพร้อมกับซี

ด้วยพลังของพวกเขา ตลอดทางไร้อุปสรรค ประหนึ่งพุ่งทะยานตรงดิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปนอกวงล้อมแล้ว

ไกลออกไปที่เขาศักดิ์สิทธิ์สูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง ทั่วเขาเหมือนอาบอยู่ในความมืดแห่งราตรีกาลนิรันดร์ แผ่แสงธรรมสีดำอวลออกมา

บนยอดเขามีแท่นที่คล้ายแท่นบูชาหนึ่ง เมื่อมองจากท้องฟ้า แท่นบูชานี้มีลักษณะเหมือนดวงตาข้างหนึ่ง!

โคมสำพริบแต่ละดวงเปรียบเสมือนเส้นเชือกพันรอบยอดเขา โคมธรรมลุกโชน สาดแสงเป็นระลอก

ในเวลานี้คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนแท่นบูชา มีทั้งเด็กและแก่ ล้วนแผ่อนุภาพน่าสะพรึงแห่งระดับจักรพรรดิ

ผู้นำเป็นชายร่างสูงผอม ท่าทางเคร่งขรึมราวกับภูเขา ถือประคำสีดำเส้นหนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยที่ทำให้คนใจสั่น

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิง!

เจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์ และเป็นบุคคลเย้ยฟ้าที่ประหนึ่งนายเหนือหัวคนหนึ่งของโลกมือ

เงาร่างเบื้องหลังเขาเหล่านั้นล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิแห่งแดนกษิติครรภ์

เมื่อเห็นร่างของหลินสวินและซีพุ่งเข้ามาจากไกลๆ จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงไม่ได้เผยความตื่นตระหนกใด เช่นเดียวกับพวกระดับจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้น

สีหน้าและบรรยากาศของทุกคนล้วนเฉยเมยยิ่งยวด

“หากข้าไม่ลงนรก ผู้ใดเล่าจะตกนรก ระหว่างความเป็นความตายนี้ หากสามารถกำจัดมารนอกรตหลินเต้ายวนได้ ก็นับว่าเป็นกุศลครั้งใหญ่แล้ว”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2317 เทพแห่งศรัทธา

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2317 เทพแห่งศรัทธา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินสวินตอบด้วยตัวเองโดยไม่รอให้ซีถาม “ช่วงชิงแรงปรารถนามหามรรค!”

ซีนัยน์ตาหดรัด คล้ายรับรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหา

ในโลกมืด แดนกษิติครรภ์หยั่งรากอยู่ที่นี่มานานปี และในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมก็มีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน ในทุกเมืองจะมีการสร้างอารามเทพกษิติครรภ์

หากเพื่อสะสมแรงปรารถนามหามรรค การสะสมในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้… แรงปรารถนามหามรรคที่แดนกษิติครรภ์สะสมไว้จะมากแค่ไหน

และจุดประสงค์ในการรวบรวมแรงปรารถนามหามรรคมากมายขนาดนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่

“แรงปรารถนามหามรรคแบ่งเป็นสองประเภท หนึ่งคือตั้งปณิธานมหามรรคบนมรรคาของตน พิสูจน์หมื่นมรรคทั่วหล้า เปิดมรรคาสายใหม่ ไม่ก็เป็นการสร้างวิชที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แรงปรารถนามหามรรคเช่นนี้คนอื่นไม่อาจช่วงชิงไปได้”

ซีเอ่ยเนิบๆ ว่า “อีกประเภทคือแรงปรารถนาสรรพชีวิต ได้รับการกราบไหว้ศรัทธาจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับพรแห่งพลังสรรพชีวิตไม่มีสิ้นสุด และได้ครอบครองพลังมหาศาลบนมรรคา ถึงขั้นสามารถสร้างกายทองกุศล ไม่เสื่อมไม่ดับ คงอยู่นิรันดร์”

“จากที่ข้าดู แรงปรารถนามหามรรคที่แดนกษิติครรภ์รวบรวม เกรงจะเป็นเพื่อสร้างกายทองกุศลของผู้มากสามารถคนหนึ่ง”

“เมื่อมีกายทองกุศลก็เหมือนดั่งเทพแห่งศรัทธาของสรรพชีวิต ขอเพียงสรรพชีวิตยังอยู่ คนแห่งศรัทธาผู้นี้ก็จะไม่เสื่อมไม่ดับ”

ได้ยินดังนี้หลินสวินก็อึ้งไป เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องกายทองกุศล เทพแห่งศรัทธานี้

“ฟังแล้วคล้ายเป็นวิธีหลอมที่เร้นลับอย่างหนึ่ง แต่ในสายตาระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่แท้จริง มรรคาแห่ง ‘เทพ’ ที่สร้างมาจากแรงปรารถนาสรรพชีวิตเช่นนี้ ก็คือทางสายมารนอกลู่นอกทางสายหนึ่ง”

ซีอธิบายรอบหนึ่ง

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิหมายจะทะลวงระดับของตน มุ่งไปยังมรรควิถีที่สูงยิ่งขึ้นมีแค่สองวิธี

หนึ่งคือมุ่งหน้าไปโลกฟากฝั่ง แสวงหาและแจ้งพลังมหามรรคใหม่

อีกหนึ่งคือการรวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิต ใช้พลังแห่งศรัทธาทำให้มรรถวิถีของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง และก้าวออกไปนอกธรณีประตูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ

แต่วิธีที่สองนี้กลับมีข้อเสียยิ่งยวด

ใช้พลังแห่งสรรพชีวิตเพื่อทะลวงระดับ ก็ต้องถูกสรรพชีวิตพันธนาการ!

นี่ก็หมายความว่า ต่อให้มรรควิถีของตนทะลวงระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ประหนึ่งเป็นเทพแห่งจิตใจสรรพชีวิต ครอบครองพลังที่ยากจะจินตนาการ ไม่เสื่อมไม่ดับ คงอยู่นิรันดร์

แต่พร้อมกันนั้นมรรคาทั้งชีวิตก็จะหยุดลงที่ตรงนี้ สรรพชีวิตคงอยู่ตลอดไป มรรคาก็จะไม่มีวันได้ทะลวงออกไปอีก!

กล่าวถึงตรงนี้เสียงของซีเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “ที่บอกว่ามรรคาเส้นนี้เป็นสายมารนอกลู่นอกทางก็อยู่ที่ว่า ขอเพียงเป็นพวกที่ทะลวงระดับจากการยืมแรงปรารถนาสรรพชีวิต มักจะใช้เจตจำนงแห่งตนแทนเจตจำนงสรรพชีวิต ใช้ความดีชั่วของตนเป็นดั่งความดีชั่วของสรรพชีวิต! ความเป็นตายของสรรพชีวิตล้วนอยู่ภายใต้ความคิดเดียวของคนผู้นี้!”

“นี่ไม่ต่างอะไรกับสรรพชีวิตกลายเป็นทาสเลยไม่ใช่หรือ” หลินสวินหนาวสะท้านในใจ

ซีกล่าว “ที่น่ากลัวที่สุดคือ เจ้าต่อกรกับคนที่มีกายทองกุศล ก็เท่ากับต่อกรกับสรรพชีวิต ถูกพันชีวิตชี้หน้า หมื่นชีวิตด่าทอ ต่อให้ร่างตายไปก็จะทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่เอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ถูกหัวเราะเยาะด่าว่าทุกยุคทุกสมัย”

“และหากเจ้าฆ่า ‘เทพ’ เช่นนั้นตาย ก็เท่ากับฆ่าดวงใจแห่งสรรพชีวิต!”

“ดังนั้นถึงได้พูดว่านี่เป็นทางสายมาร”

ฟังจบหลินสวินอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ ในใจหนาวเยือก การฝึกมรรคาเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ

หากแดนกษิติครรภ์รวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิตเพื่อเทพแห่งศรัทธา แค่คิดก็รู้ว่าขอเพียง ‘เทพ’ เช่นนี้ปรากฏตัวจริงๆ นั่นจะพาให้คนหวาดหวั่นยิ่งยวด

“แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ทางสายมารนี้ไม่ใช่จะเดินได้ง่ายๆ ปานนั้น ขอเพียงเกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ ก็จะถูกพลังแห่งสรรพชีวิตย้อนกลับ กลายเป็นภัยแห่งการร่วงหล่นมรรคสลาย”

ซีเอ่ย “อย่างน้อยจากที่ข้ารู้ หมื่นมรรคทั่วหล้านี้ต่างมีการเคี่ยวกรำมรรคาเป็นของ สืบต่อยืนยาว มีเพียงทางมารสายนี้ที่ขอเพียงปรากฏขึ้นก็จะถูกทำลาย อย่างไรสรรพชีวิตทั่วหล้า ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน ล้วนไม่ยินยอมให้เจตจำนงและความปรารถนาของตนถูกผู้อื่นควบคุมเหมือนกลายเป็นทาส เป็นตายไม่ขึ้นอยู่กับตน”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

เขาพอเข้าใจแล้ว แดนกษิติครรภ์กล้ารวบรวมแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างเปิดเผยเช่นนี้ หนึ่งเพราะที่นี่คือโลกมืด ไร้ซึ่งระเบียบ

สองก็เพราะการคงอยู่ของแรงปรารถนาสรรพชีวิตมีประโยชน์อัศจรรย์มากมาย ในโลกนี้ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ถึงขั้นเคยสักการะแรงปรารถนาสรรพชีวิตยามอยู่ระดับอริยะ

อย่างระฆังมหามรรคไร้กฎ ก็เคยสั่งสมแรงปรารถนาสรรพชีวิตที่น่ากลัวหาใดเปรียบ

หรืออย่าง ‘ประทับแห่งสรรพชีวิต’ ที่กายมรรคดินเหลืองของหลินสวินครอบครอง ก็เป็นการควบคุมแรงปรารถนาสรรพชีวิตอย่างหนึ่งเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าทั่วหล้าทั้งบนล่างคงไม่มีใครเชื่อ ว่าแดนกษิติครรภ์กล้าเหยียบย่างบนทางสายมารนี้ที่คนทั่วหล้ามองว่าผิดมหันต์นี้

“ถ้าไม่กำจัดแดนกษิติครรภ์นี่ คงได้เป็นภัยร้ายแน่ๆ”

เสียงหลินสวินราบเรียบ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว เขาก็มีอคติและการต่อต้านตามสัญชาติญาณอย่างหนึ่งกับแดนกษิติครรภ์ กระทั่งตอนนี้ก็ยิ่งชิงชังและมองเป็นศัตรู

ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง

ใต้เท้าของพุทธรูปบนแท่นบูชาปรากฏปากทางหนึ่ง แสงประกายพร่างพรม

ถ้าหมายเข้าไปภายใน ก็เหมือนมุดเข้าไปจากใต้เท้าพุทธรูปองค์นี้ ประหนึ่งกราบไหว้นอบน้อม

ซีส่งเสียงหยัน สะบัดมือออกไปลวกๆ

แสงมรรคพร่างพราวบาดตาม้วนพัดออกมา

ท่ามกลางเสียงอึงอล พุทธรูปไร้หน้าที่ไม่รู้ตั้งอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้วพลันกลายเป็นธุลี พัดหายไปตามลม

ซีกับหลนสวินถึงค่อยเข้าไปในยามนี้

ปากทางถึงปลายทางล้วนเป็นแดนกษิติครรภ์

แดนลับที่ราวกับแคว้นพุทธแดนพิสุทธิ์แห่งหนึ่งลอยแผ่วพลิ้ว ท่ามกลางภูผาธารามีแสงธรรมสีดำไหลวน ทุกที่ล้วนมองเห็นวัดอรามที่เคร่งครัดเก่าแก่

เสียงสวดเป็นระลอกดังลอยมากลางอากาศ กลางห้วงอากาศล้วนประหนึ่งมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไหลวน

ยามหลินสวินและซีปรากฏตัว ก็ประสบกับการล้อมโจมตีจากทั่วทิศ

“ฆ่า!”

“จัดการพวกนอกรีตสองคนนี้!”

เสียงตวาดดุจเทพสายฟ้ากึกก้อง ก็เห็นเงาร่างพุ่งมาประดุจธารคลั่ง แต่ละคนล้วนสวมชุดภิกษุสีดำ นัยน์ตาไม่แยแส แสงธรรมสีดำไหลทั่วร่างกาย

พวกเขาบ้างถือบาตร คทาขักขระ แส้ บ้างก็เรียกโคมเขียว ประทับธรรม กระบอกคัมภีร์ ปลาไม้ บ้างสำแดงวิชาลับมรรคธรรม ดุจดั่งวัชระพิโรธ มุนินทร์ดับโลก

คนเป็นร้อยเป็นพันโจมตีพร้อมกัน เสียงกึกก้องไร้ใดเปรียบ ชั่วขณะเดียวพื้นที่แถบนี้ก็จมสู่ความโกลาหล แสงสมบัติไหลวน วิชาธรรมหมื่นพัน

แต่ภาพดังกล่าวมีหรือจะคุกคามหลินสวินและซีได้

ไม่ต้องให้ซีลงมือก็เห็นร่างของหลินสวินขยับไหวทันควัน

ปราณกระบี่ไท่เสวียนที่พร่างพราวนับไม่ถ้วนกวาดไปทั่วสิบทิศ

ตูม!

ปราณกระบี่แปดล้านกวาดไปทั่วเก้าชั้นฟ้า

พริบตานั้นพื้นที่สี่ทิศแปดทางก็เหมือนถูกบดขยี้ เหล่าผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ที่กระจายตัวอยู่ในนั้นไม่มีใครไม่ถูกปราณกระบี่บดขยี้ในพริบตา ฝนเลือดเข้มข้นมีแนวโน้มจะสาดพรม ทำให้ท้องฟ้าแถบนี้ที่จมอยู่ในนั้น

ทั่วร่างซีมีละอองแสงตัดสลับ ภายใต้ฟ้าดินนองเลือดนี้ดูศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์อย่างชัดแจ้ง “ส่งพวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิเหล่านี้มาตาย แดนกษิติครรภ์ช่างใจเหี้ยมนัก”

หลินสวินมองไปไกลๆ กล่าวว่า “พวกแดนกษิติครรภ์ได้ชื่อว่าไม่กลัวความเป็นตาย บางที… นี่อาจเป็นประเพณีของพวกเขา”

เสียงเพิ่งสิ้นสุด

ไกลออกไปมีเสียงร้องตวาดน่าสะพรึงประหนึ่งฟ้าลั่น

ก็เห็นภิกษุชุดดำนับไม่ถ้วน สีหน้าเฉยเมยราบเรียบพุ่งทะยานเข้ามาจากไกลๆ ดุจเมฆดำม้วนตัว

หนาแน่นจนมองไม่เห็นจุดจบ!

ภาพการสังหารนองเลือดก่อนหน้านี้น่ากลัวเพียงใด หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าภายใต้สถานการณ์ที่รู้ว่าอันตรายนี้คงไม่กล้าบุกเข้ามาแล้ว

แต่ผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์เหล่านั้นกลับเหมือนมองไม่เห็น พุ่งโจมตีเข้ามาทั้งกลุ่ม ราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจความเป็นตายไปนานแล้ว

หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูท่าพวกเขาสังเกตเห็นนานแล้วว่าพวกเรามา เพียงแต่พวกเขาทำเช่นนี้ต้องโง่งมปานไหน ไม่กลัวว่าพวกเราจะสังหารผู้สืบทอดของพวกเขาจนเกลี้ยงหรือ”

“เจ้าดู”

ซีกล่าวพลางยื่นมือข้างหนึ่งจับคว้า ท่ามกลางหมอกเลือดเข้มข้นที่อบอวลฟ้าดิน คว้าจับแรงปรารถนาสรรพชีวิตอันคลุมเครือได้เป็นกลุ่มๆ

หลินสวินเข้าใจในทันที “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กลัวตาย แต่เจตจำนงและจิตใจของพวกเขากลายเป็นทาสแรงปรารถนาสรรพชีวิตไปนานแล้ว!”

“ไม่ผิด โลกนี้ย่อมไม่ขาดผู้ที่ไม่กลัวความตาย แต่ไม่มีทางที่ทุกคนทั้งสำนักจะไม่กลัวความตาย”

ซีกล่าว “และหลังการตายของผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ที่เจ้าฆ่าก่อนหน้านี้ แรงปรารถนาสรรพชีวิตบนร่างรอบๆ พวกเขาก็จะผสานรวมไปกับแดนลับแห่งนี้ ถูกดูดซับและหล่อหลอม”

“นี่ก็หมายความว่ายิ่งพวกเราสังหารผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์มากเท่าไหร่ แรงปรารถนาสรรพชีวิตที่โลกนี้ดูดซับได้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”

หลินสวินอดรู้สึกหนาวสั่นในใจขึ้นมาไม่ได้ หรืออีกฝ่ายจงใจปล่อยผู้สืบทอดเหล่านี้มาตาย

“ฆ่า!”

ระหว่างการสนทนา ภิกษุชุดดำนับไม่ถ้วนพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างท่วมท้น ตามติดต่อเนื่อง ไม่มีใครกลัวตาย

“ไป ไปยังรังของอีกฝ่ายก่อน ฆ่าจักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์นั่น!”

พวกลูกน้องตัวเล็กๆ เช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาหลินสวินสักนิด ตัดสินใจในทันที เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไปพร้อมกับซี

ด้วยพลังของพวกเขา ตลอดทางไร้อุปสรรค ประหนึ่งพุ่งทะยานตรงดิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปนอกวงล้อมแล้ว

ไกลออกไปที่เขาศักดิ์สิทธิ์สูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง ทั่วเขาเหมือนอาบอยู่ในความมืดแห่งราตรีกาลนิรันดร์ แผ่แสงธรรมสีดำอวลออกมา

บนยอดเขามีแท่นที่คล้ายแท่นบูชาหนึ่ง เมื่อมองจากท้องฟ้า แท่นบูชานี้มีลักษณะเหมือนดวงตาข้างหนึ่ง!

โคมสำพริบแต่ละดวงเปรียบเสมือนเส้นเชือกพันรอบยอดเขา โคมธรรมลุกโชน สาดแสงเป็นระลอก

ในเวลานี้คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนแท่นบูชา มีทั้งเด็กและแก่ ล้วนแผ่อนุภาพน่าสะพรึงแห่งระดับจักรพรรดิ

ผู้นำเป็นชายร่างสูงผอม ท่าทางเคร่งขรึมราวกับภูเขา ถือประคำสีดำเส้นหนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยที่ทำให้คนใจสั่น

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิง!

เจ้าสำนักแดนกษิติครรภ์ และเป็นบุคคลเย้ยฟ้าที่ประหนึ่งนายเหนือหัวคนหนึ่งของโลกมือ

เงาร่างเบื้องหลังเขาเหล่านั้นล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิแห่งแดนกษิติครรภ์

เมื่อเห็นร่างของหลินสวินและซีพุ่งเข้ามาจากไกลๆ จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงไม่ได้เผยความตื่นตระหนกใด เช่นเดียวกับพวกระดับจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้น

สีหน้าและบรรยากาศของทุกคนล้วนเฉยเมยยิ่งยวด

“หากข้าไม่ลงนรก ผู้ใดเล่าจะตกนรก ระหว่างความเป็นความตายนี้ หากสามารถกำจัดมารนอกรตหลินเต้ายวนได้ ก็นับว่าเป็นกุศลครั้งใหญ่แล้ว”

จักรพรรดิธรรมซวีเฟิงเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+