Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง

เจ้าอ้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบใจแล้วจึงเล่าความเป็นมาของคนกลุ่มนั้น

เขตแดนดารานภา

มิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนของประตูข้ามแดนปฐพีมากที่สุด จัดอยู่ในอันดับห้าของโลกพันจักรวาล อารยธรรมด้านการฝึกปราณเจิดจรัสและรุ่งเรืองเป็นประวัติการณ์

ในโลกจักรวาลกว้างใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยเผ่าจักรพรรดิ สำนักนับไม่ถ้วน ไม่ได้มีแค่ระดับบรรพจารย์ปรากฏตัวต่อเนื่อง ถึงขั้นยังมีบุคคลชั้นเลิศระดับอมตะมากมายควบคุมดูแล

และในขุมอำนาจนับไม่ถ้วนนี้ก็มี ‘เรือนกระบี่ต้าเหิง’ เป็นผู้นำ!

เบื้องลึกเบื้องหลังของเรือนกระบี่ต้าเหิงน่าหวาดกลัวถึงระดับใด

หลายปีมานี้ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมีมากนับร้อยคน ในสำนักไม่ได้มีระดับอมตะควบคุมดูแลแค่คนเดียว

แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็มีบุคคลแห่งยุคที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมากมาย!

ชายหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ก็มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง ซ้ำฐานะยังสูงส่งอย่างยิ่ง เป็นถึงทายาทของระดับอมตะคนหนึ่ง นามว่า ‘ฟางเสวียนเจิน’ ฉายา ‘จักรพรรดิกระบี่เสวียนเจิน’ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ได้เก้าพันปีแล้ว ปัจจุบันเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดคนหนึ่ง

เหล่าระดับจักรพรรดิที่อยู่ข้างกายฟางเสวียนเจินล้วนมาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง

เรือนกระบี่ต้าเหิงคือสำนักอันดับหนึ่งในเขตแดนดารานภา ส่วนเขตแดนดารานภาก็เป็นมิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนที่สุด

พูดอย่างไม่เกินจริง ในเมืองข้ามแดนนี้เรือนกระบี่ต้าเหิงก็มีอิทธิพลอย่างมาก!

ในฐานะที่เจ้าอ้วนเป็นเจ้าถิ่นที่คบค้าสมาคมอยู่ในเมืองนี้มานานปี แน่นอนว่าต้องรู้ชัดถึงความน่ากลัวของเรือนกระบี่ต้าเหิง ทั้งรู้ดียิ่งกว่าใครว่าฐานะของฟางเสวียนเจินสูงส่งเพียงใด

แต่เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินแค่ร้องอ้อคราหนึ่งแล้วไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก

สำนักอันดับหนึ่งของเขตแดนดารานภาอะไร ทายาทของระดับอมตะอะไร เขาไม่ใส่ใจแต่แรก ต่อให้ฟางเสวียนเจินเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งก็ไม่ทำให้ในใจหลินสวินไหวหวั่นสักนิด ถึงขั้นอยากหัวเราะอยู่บ้าง

ฝึกปราณมาเก้าพันปี เพิ่งเป็นแค่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดเท่านั้น

ส่วนเขาหลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปแค่ร้อยกว่าปี…

เห็นว่าหลินสวินไม่ใส่ใจ เจ้าอ้วนกลับร้อนรนอยู่บ้าง รีบกล่าวเตือน “ผู้อาวุโส จากมุมมองของข้า ท่านรับปากทำการค้ากับฟางเสวียนเจินนั่นดีกว่า ขอพูดตามตรง หากท่านไม่ใช่ระดับจักรพรรดิ เมื่อครู่นี้… คงได้ตายไปแล้ว!”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเมืองข้ามแดนนี้ห้ามก่อเรื่องฆ่าฟันกันหรือ”

เจ้าอ้วนหัวเราะแหะคราหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบอย่างรวดเร็วแล้วสื่อจิตเสียงเบา ‘นั่นต้องแบ่งแยกคน ในสถานการณ์ทั่วไปแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ แต่ฐานะของฟางเสวียนเจินต่างออกไป ความสัมพันธ์ของเรือนกระบี่ต้าเหิงกับจวนเจ้าเมืองก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ฟางเสวียนเจินฆ่าคนในเมือง ทูตพิทักษ์เมืองก็ต้องหลับตาข้างลืมตาข้าง’

หลินสวินพยักหน้า ‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’

‘แน่นอนว่าต่อให้ฟางเสวียนเจินใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าลงมือกับระดับจักรพรรดิโดยง่าย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถูกระดับจักรพรรดิทั้งเมืองต่อต้าน’

เจ้าอ้วนคิดไปคิดมาแล้วกล่าว ‘แต่อย่าล่วงเกินคนแบบนี้ดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สุดท้ายก็ต้องเกิดหายนะ’

หลินสวินขานรับว่าอืมคำหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ เขาใช้เวลาไม่นานก็จะออกจากเมืองข้ามแดนแล้ว มีหรือจะใส่ใจเรื่องพวกนี้

‘ไป ไปดื่มชาที่หอโลกธรรมแปดพินิจนภากัน’ หลินสวินพูดพลางเดินนำไปก่อนแล้ว

หอโลกธรรมแปดพินิจนภา ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ซึ่งข่าวไวที่สุดในเมืองข้ามแดน นอกจากจิบชาที่นั่นแล้ว ยังสืบข่าวมากมายได้ด้วย

เพียงแต่ค่าใช้จ่ายของสถานที่นั้นมีราคาแพงหาใดเปรียบ หากไม่จำเป็นระดับจักรพรรดิธรรมดาก็จะมุ่งหน้าไปน้อยมาก

เจ้าอ้วนถูกดึงดูดดังคาด นำทางไปข้างหน้าอย่างปลื้มปริ่ม ระดับอริยะอย่างเขาที่คบค้าสมาคมในเมืองมาหลายปี ยังไม่เคยไปหอโลกธรรมแปดพินิจนภาสักครั้ง

ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่มีเงิน ฐานะก็ต่ำต้อยเกินไปด้วย…

ขณะเดียวกัน ณ จวนเจ้าเมือง

ในเรือนใหญ่สง่างามเก่าแก่ ทูตพิทักษ์เมืองอย่างบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยืนไพล่หลัง

เขาสวมชุดสีหยก สวมเกี้ยวประดับสูงเข็มขัดใหญ่ หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม เงาร่างสูงชะลูด มีเพียงริ้วรอยตรงหางตาที่แฝงกลิ่นอายแห่งกาลเวลา

เบื้องหน้าเขามีภาพมรรคกางอยู่ บนนั้นถึงกับสะท้อนภาพทั่วเมืองข้ามแดนออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งเมื่อนิ้วมือของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนชี้ไปจุดใด เหตุการณ์ตรงตำแหน่งในภาพมรรคนี้ก็จะขยายใหญ่หลายเท่าทันที สะท้อนภาพโดยละเอียดออกมา

ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือในภาพมรรคนั้น สิ่งที่สะท้อนก็คือภาพที่เกิดขึ้นในเมืองยามนี้ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ เจริญรุ่งเรืองครึกครื้น

ผ่านไปครู่ใหญ่บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถอนสายตากลับแล้วเอ่ยถาม “ระดับจักรพรรดิที่เข้าเมืองและได้รับป้ายยืนยันช่วงหนึ่งเดือนมานี้มีกี่คนแล้ว”

ข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้างมาตลอดกล่าวด้วยความเคารพ “รายงานใต้เท้า รวมแล้วมีหนึ่งร้อยสิบเก้าคนขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันมุ่นคิ้ว ในเมืองข้ามแดนนี้ทุกวันมีระดับจักรพรรดิรวมตัวกันมากเพียงใด แต่ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว คนที่แจ้งว่าจะมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกกลับมีแค่ร้อยกว่าคน จำนวนนี้ไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือ

ข้ารับใช้ชราอธิบายเสียงเบา “ใต้เท้า ท่านก็รู้ว่าระดับจักรพรรดิบนโลกนี้ไม่ได้มีความกล้าไปบุกแดนใหญ่พันศึกกันทุกคน ในสิบคนก็ไม่เห็นว่ามีสักคนที่กล้าไป ถึงอย่างไรสถานที่นั้นก็อันตรายเกินไป เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกล่าวตัดบท “ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าในหมู่ระดับจักรพรรดิที่ลงชื่อมาพวกนี้ มีคนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาเท่าไหร่”

ข้ารับใช้ชราลังเลเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้คนที่ตรวจสอบได้ น่าจะมีสิบสามคนขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ครู่ใหญ่จึงแค่นเสียงกล่าว “แย่ลงทุกรุ่นจริงๆ โลกพันจักรวาลกว้างใหญ่ระดับใด หนึ่งเดือนเพิ่งมีมกุฎมหาจักรพรรดิแค่สิบสามคนที่กล้าไปแดนใหญ่พันศึก ไม่น่าขันเกินไปหน่อยหรือ”

ข้ารับใช้ชรายิ้มอย่างจนใจ “ต่อให้โลกพันจักรวาลกว้างใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่โลกยอดนิรันดร์ของพวกเรา ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องผิดหวังด้วยเรื่องนี้”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนส่ายหัว “ข้าไม่ได้ผิดหวัง หากแต่อีกไม่นาน งานประลองใหญ่รวมสำนักที่ช่วงชิงพลังต้นกำเนิดระเบียบก็จะเปิดฉาก ถ้าเจอระดับมกุฎจักรพรรดิบางคนที่แข็งแกร่งพอจะสร้างประโยชน์ให้ข้าได้ก่อนหน้านั้น ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจได้หน่อย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นอกเรือนใหญ่พลันมีเสียงนอบน้อมดังขึ้น “ใต้เท้า จักรพรรดิกระบี่เสวียนเจินแห่งเรือนกระบี่ต้าเหิงนำบริวารมาเยี่ยมเยียน”

“ฟางเสวียนเจินหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เชิญเขาเข้ามาคนเดียวก็พอ”

ไม่นานฟางเสวียนเจินที่สวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะก็เดินเข้ามาในเรือนใหญ่ ภายใต้การนำทางของข้ารับใช้คนหนึ่ง

“ฟางเสวียนเจินผู้สืบทอดของเรือนกระบี่ต้าเหิงคารวะผู้อาวุโส” เขาประสานมือกล่าว

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกวาดมองเขาวูบหนึ่งแล้วเผยยิ้มออกมา “บิดาของเจ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับตระกูลเฮ่อของข้า หลานชายไม่ต้องมากพิธี”

เขาเว้นช่วงไปก่อนเอ่ยถาม “หลานชายมาครานี้ หรือว่าอยากมุ่งหน้าไปฝึกที่แดนใหญ่พันศึก”

ฟางเสวียนเจินพยักหน้า “มีแผนเช่นนี้จริงๆ แต่ก่อนมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกกลับมีเรื่องอื่นอยากรบกวนผู้อาวุโสให้ช่วยเหลือ”

“เรื่องใดหรือ” บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถาม

ฟางเสวียนเจินกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ข้าอยากจัดการคนผู้หนึ่ง ในมือของอีกฝ่ายมีสมบัติชิ้นหนึ่ง เป็นของที่ข้าจำเป็นต้องมี เดิมข้าคิดจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนกับเขา แต่อีกฝ่ายกลับโง่เขลาดึงดัน ด้วยสถานการณ์บีบบังคับจึงได้แต่ใช้แผนนี้”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนร้องอ้อคราหนึ่งแล้วกล่าวเนิบช้า “คนผู้นี้มีฐานะอะไร”

“มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่ง” ฟางเสวียนเจินกล่าว

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งแล้วแค่นเสียงกล่าวทันที “หลานชาย หากเป็นเรื่องทั่วไปข้ายังหลับตาข้างลืมตาข้างได้ แต่หากช่วยเจ้าจัดการมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งในเมือง… นั่นก็คือการทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิตระกูลเฮ่อของข้าแล้ว!”

ฟางเสวียนเจินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ยังกล่าวว่า “ผู้อาวุโส หากท่านช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ หลังจากทะลวงผ่านแดนใหญ่พันศึก ข้ายินดีเป็นตัวแทนตระกูลเฮ่อ เข้าร่วมในงานประลองใหญ่รวมสำนักเพื่อช่วงชิงพลังต้นกำเนิดระเบียบ!”

แววตาของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทันที มองสำรวจฟางเสวียนเจินจากหัวจรดเท้าแล้วกล่าว “คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ข่าวเรื่องงานประลองใหญ่รวมสำนักนั่นแล้ว บิดาของเจ้าเป็นคนบอกเจ้าหรือ”

ฟางเสวียนเจินพยักหน้า “ขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนรู้ว่าบิดาของฟางเสวียนเจินเป็นระดับอมตะที่ครอบครองพลังยิ่งใหญ่คนหนึ่งเช่นกัน เคยท่องไปทั่วโลกยอดนิรันดร์เมื่อนานมาแล้ว ทั้งมีสหายอยู่ที่นั่นมากมาย สามารถรู้ข่าวนี้ได้ก็สมเหตุสมผล

แต่ไม่นานบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็ส่ายหัว “ไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองข้ามแดน”

คราวนี้ฟางเสวียนเจินอดอึ้งงันไม่ได้ เดิมเขาคิดว่ายื่นข้อเสนอที่สามารถทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนไหวหวั่นได้แล้ว ใครจะคิดว่าสุดท้ายเรื่องราวกลับไม่เป็นดั่งใจ

เขากำลังจะพูดอะไรต่อ บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันออกคำสั่งไล่แขก “หากไม่มีเรื่องอื่นหลานชายก็รีบกลับไปเถอะ”

ฟางเสวียนเจินประสานมือกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

เขาหันหลังจากไป กระทั่งก้าวออกจากจวนเจ้าเมือง ใบหน้าหล่อเหลาที่ราบเรียบนิ่งสงบนั้นจึงปรากฏแววอึมครึม

แค่บรรพจารย์จักรพรรดิที่ไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่ได้มาจากตระกูลเฮ่อแห่งฟากฝั่ง มีหรือจะกล้าปฏิเสธตนเช่นนี้

ฟางเสวียนเจินสูดหายใจเข้าลึกๆ สื่อจิตบอกระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่อยู่ข้างกาย ‘จับตาดูเจ้าหมอนั่นให้ดี ลงมือในเมืองข้ามแดนไม่ได้ เช่นนั้นก็รอเมื่อเขาจากไปค่อยลงมือ!’

‘ขอรับ’

ทุกคนต่างรับคำสั่ง

ในจวนเจ้าเมือง บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยิ้มหยัน แค่ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเรือนกระบี่ต้าเหิงเท่านั้น บิดาเป็นระดับอมตะแล้วอย่างไร

ในสายตาของตระกูลเฮ่อก็เป็นแค่คนธรรมดา!

“เด็กๆ ไปตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายที่ถูกฟางเสวียนเจินจับจ้องเป็นใคร หากเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งจริงก็สืบความเป็นมาของอีกฝ่ายมาด้วย”

ไม่นานบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็ออกคำสั่ง

เขาเป็นทูตพิทักษ์เมืองที่ตระกูลเฮ่อส่งมาควบคุมดูแลเมืองข้ามแดน ตัวเขามีแค่ภารกิจเดียว นั่นก็คือในช่วงสามพันปีที่ตระกูลเฮ่อครอบครองเมืองข้ามแดนนี้ ต้องค้นหาบุคคลเจิดจรัสกลุ่มหนึ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ตระกูลเฮ่อได้

ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง คุ้มครองระดับจักรพรรดิทุกคนให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นวิธีสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและชื่อเสียงของตระกูลเฮ่ออย่างหนึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามีหรือจะทำลายกฎภายในเมืองเพื่อฟางเสวียนเจินคนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ฟางเสวียนเจินอยากจัดการยังเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งด้วย!

หากเขารับปากเรื่องนี้จริง เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทูตพิทักษ์เมืองอย่างเขาไม่เพียงแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ยังจะทำให้ตระกูลเฮ่อที่อยู่เบื้องหลังเดือดร้อนและเสื่อมเกียรติด้วย

ภายหน้าระดับจักรพรรดิคนไหนจะกล้ามาเมืองข้ามแดนอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะค้นหาบุคคลร้ายกาจให้ตระกูลเฮ่อได้อย่างไร

‘ฟางเสวียนเจิน หากเจ้ากล้าไม่สนคำค้านของข้า ลงมือตามใจในเมือง ถึงตอนนั้นต่อให้บิดาของเจ้าออกหน้า… ก็ช่วยเจ้าไม่ได้!’

นัยน์ตาของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนฉายแววเยียบเย็นรางๆ

………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2410 ฟางเสวียนเจิน เรือนกระบี่ต้าเหิง

เจ้าอ้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบใจแล้วจึงเล่าความเป็นมาของคนกลุ่มนั้น

เขตแดนดารานภา

มิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนของประตูข้ามแดนปฐพีมากที่สุด จัดอยู่ในอันดับห้าของโลกพันจักรวาล อารยธรรมด้านการฝึกปราณเจิดจรัสและรุ่งเรืองเป็นประวัติการณ์

ในโลกจักรวาลกว้างใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยเผ่าจักรพรรดิ สำนักนับไม่ถ้วน ไม่ได้มีแค่ระดับบรรพจารย์ปรากฏตัวต่อเนื่อง ถึงขั้นยังมีบุคคลชั้นเลิศระดับอมตะมากมายควบคุมดูแล

และในขุมอำนาจนับไม่ถ้วนนี้ก็มี ‘เรือนกระบี่ต้าเหิง’ เป็นผู้นำ!

เบื้องลึกเบื้องหลังของเรือนกระบี่ต้าเหิงน่าหวาดกลัวถึงระดับใด

หลายปีมานี้ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมีมากนับร้อยคน ในสำนักไม่ได้มีระดับอมตะควบคุมดูแลแค่คนเดียว

แม้แต่ในโลกยอดนิรันดร์ก็มีบุคคลแห่งยุคที่มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิงมากมาย!

ชายหนุ่มชุดขาวก่อนหน้านี้ก็มาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง ซ้ำฐานะยังสูงส่งอย่างยิ่ง เป็นถึงทายาทของระดับอมตะคนหนึ่ง นามว่า ‘ฟางเสวียนเจิน’ ฉายา ‘จักรพรรดิกระบี่เสวียนเจิน’ ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ได้เก้าพันปีแล้ว ปัจจุบันเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิที่ก้าวสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดคนหนึ่ง

เหล่าระดับจักรพรรดิที่อยู่ข้างกายฟางเสวียนเจินล้วนมาจากเรือนกระบี่ต้าเหิง

เรือนกระบี่ต้าเหิงคือสำนักอันดับหนึ่งในเขตแดนดารานภา ส่วนเขตแดนดารานภาก็เป็นมิติจักรวาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองข้ามแดนที่สุด

พูดอย่างไม่เกินจริง ในเมืองข้ามแดนนี้เรือนกระบี่ต้าเหิงก็มีอิทธิพลอย่างมาก!

ในฐานะที่เจ้าอ้วนเป็นเจ้าถิ่นที่คบค้าสมาคมอยู่ในเมืองนี้มานานปี แน่นอนว่าต้องรู้ชัดถึงความน่ากลัวของเรือนกระบี่ต้าเหิง ทั้งรู้ดียิ่งกว่าใครว่าฐานะของฟางเสวียนเจินสูงส่งเพียงใด

แต่เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินแค่ร้องอ้อคราหนึ่งแล้วไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก

สำนักอันดับหนึ่งของเขตแดนดารานภาอะไร ทายาทของระดับอมตะอะไร เขาไม่ใส่ใจแต่แรก ต่อให้ฟางเสวียนเจินเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งก็ไม่ทำให้ในใจหลินสวินไหวหวั่นสักนิด ถึงขั้นอยากหัวเราะอยู่บ้าง

ฝึกปราณมาเก้าพันปี เพิ่งเป็นแค่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดเท่านั้น

ส่วนเขาหลินสวินฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปแค่ร้อยกว่าปี…

เห็นว่าหลินสวินไม่ใส่ใจ เจ้าอ้วนกลับร้อนรนอยู่บ้าง รีบกล่าวเตือน “ผู้อาวุโส จากมุมมองของข้า ท่านรับปากทำการค้ากับฟางเสวียนเจินนั่นดีกว่า ขอพูดตามตรง หากท่านไม่ใช่ระดับจักรพรรดิ เมื่อครู่นี้… คงได้ตายไปแล้ว!”

หลินสวินเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเมืองข้ามแดนนี้ห้ามก่อเรื่องฆ่าฟันกันหรือ”

เจ้าอ้วนหัวเราะแหะคราหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบอย่างรวดเร็วแล้วสื่อจิตเสียงเบา ‘นั่นต้องแบ่งแยกคน ในสถานการณ์ทั่วไปแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าละเมิดกฎ แต่ฐานะของฟางเสวียนเจินต่างออกไป ความสัมพันธ์ของเรือนกระบี่ต้าเหิงกับจวนเจ้าเมืองก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ฟางเสวียนเจินฆ่าคนในเมือง ทูตพิทักษ์เมืองก็ต้องหลับตาข้างลืมตาข้าง’

หลินสวินพยักหน้า ‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’

‘แน่นอนว่าต่อให้ฟางเสวียนเจินใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าลงมือกับระดับจักรพรรดิโดยง่าย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถูกระดับจักรพรรดิทั้งเมืองต่อต้าน’

เจ้าอ้วนคิดไปคิดมาแล้วกล่าว ‘แต่อย่าล่วงเกินคนแบบนี้ดีกว่า ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สุดท้ายก็ต้องเกิดหายนะ’

หลินสวินขานรับว่าอืมคำหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ เขาใช้เวลาไม่นานก็จะออกจากเมืองข้ามแดนแล้ว มีหรือจะใส่ใจเรื่องพวกนี้

‘ไป ไปดื่มชาที่หอโลกธรรมแปดพินิจนภากัน’ หลินสวินพูดพลางเดินนำไปก่อนแล้ว

หอโลกธรรมแปดพินิจนภา ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ซึ่งข่าวไวที่สุดในเมืองข้ามแดน นอกจากจิบชาที่นั่นแล้ว ยังสืบข่าวมากมายได้ด้วย

เพียงแต่ค่าใช้จ่ายของสถานที่นั้นมีราคาแพงหาใดเปรียบ หากไม่จำเป็นระดับจักรพรรดิธรรมดาก็จะมุ่งหน้าไปน้อยมาก

เจ้าอ้วนถูกดึงดูดดังคาด นำทางไปข้างหน้าอย่างปลื้มปริ่ม ระดับอริยะอย่างเขาที่คบค้าสมาคมในเมืองมาหลายปี ยังไม่เคยไปหอโลกธรรมแปดพินิจนภาสักครั้ง

ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่แค่ไม่มีเงิน ฐานะก็ต่ำต้อยเกินไปด้วย…

ขณะเดียวกัน ณ จวนเจ้าเมือง

ในเรือนใหญ่สง่างามเก่าแก่ ทูตพิทักษ์เมืองอย่างบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยืนไพล่หลัง

เขาสวมชุดสีหยก สวมเกี้ยวประดับสูงเข็มขัดใหญ่ หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่ม เงาร่างสูงชะลูด มีเพียงริ้วรอยตรงหางตาที่แฝงกลิ่นอายแห่งกาลเวลา

เบื้องหน้าเขามีภาพมรรคกางอยู่ บนนั้นถึงกับสะท้อนภาพทั่วเมืองข้ามแดนออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งเมื่อนิ้วมือของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนชี้ไปจุดใด เหตุการณ์ตรงตำแหน่งในภาพมรรคนี้ก็จะขยายใหญ่หลายเท่าทันที สะท้อนภาพโดยละเอียดออกมา

ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือในภาพมรรคนั้น สิ่งที่สะท้อนก็คือภาพที่เกิดขึ้นในเมืองยามนี้ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ เจริญรุ่งเรืองครึกครื้น

ผ่านไปครู่ใหญ่บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถอนสายตากลับแล้วเอ่ยถาม “ระดับจักรพรรดิที่เข้าเมืองและได้รับป้ายยืนยันช่วงหนึ่งเดือนมานี้มีกี่คนแล้ว”

ข้ารับใช้คนหนึ่งที่ยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้างมาตลอดกล่าวด้วยความเคารพ “รายงานใต้เท้า รวมแล้วมีหนึ่งร้อยสิบเก้าคนขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันมุ่นคิ้ว ในเมืองข้ามแดนนี้ทุกวันมีระดับจักรพรรดิรวมตัวกันมากเพียงใด แต่ผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว คนที่แจ้งว่าจะมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกกลับมีแค่ร้อยกว่าคน จำนวนนี้ไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือ

ข้ารับใช้ชราอธิบายเสียงเบา “ใต้เท้า ท่านก็รู้ว่าระดับจักรพรรดิบนโลกนี้ไม่ได้มีความกล้าไปบุกแดนใหญ่พันศึกกันทุกคน ในสิบคนก็ไม่เห็นว่ามีสักคนที่กล้าไป ถึงอย่างไรสถานที่นั้นก็อันตรายเกินไป เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกล่าวตัดบท “ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าในหมู่ระดับจักรพรรดิที่ลงชื่อมาพวกนี้ มีคนที่ก้าวสู่มกุฎมรรคาเท่าไหร่”

ข้ารับใช้ชราลังเลเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้คนที่ตรวจสอบได้ น่าจะมีสิบสามคนขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ครู่ใหญ่จึงแค่นเสียงกล่าว “แย่ลงทุกรุ่นจริงๆ โลกพันจักรวาลกว้างใหญ่ระดับใด หนึ่งเดือนเพิ่งมีมกุฎมหาจักรพรรดิแค่สิบสามคนที่กล้าไปแดนใหญ่พันศึก ไม่น่าขันเกินไปหน่อยหรือ”

ข้ารับใช้ชรายิ้มอย่างจนใจ “ต่อให้โลกพันจักรวาลกว้างใหญ่แค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่โลกยอดนิรันดร์ของพวกเรา ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องผิดหวังด้วยเรื่องนี้”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนส่ายหัว “ข้าไม่ได้ผิดหวัง หากแต่อีกไม่นาน งานประลองใหญ่รวมสำนักที่ช่วงชิงพลังต้นกำเนิดระเบียบก็จะเปิดฉาก ถ้าเจอระดับมกุฎจักรพรรดิบางคนที่แข็งแกร่งพอจะสร้างประโยชน์ให้ข้าได้ก่อนหน้านั้น ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจได้หน่อย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นอกเรือนใหญ่พลันมีเสียงนอบน้อมดังขึ้น “ใต้เท้า จักรพรรดิกระบี่เสวียนเจินแห่งเรือนกระบี่ต้าเหิงนำบริวารมาเยี่ยมเยียน”

“ฟางเสวียนเจินหรือ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เชิญเขาเข้ามาคนเดียวก็พอ”

ไม่นานฟางเสวียนเจินที่สวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะก็เดินเข้ามาในเรือนใหญ่ ภายใต้การนำทางของข้ารับใช้คนหนึ่ง

“ฟางเสวียนเจินผู้สืบทอดของเรือนกระบี่ต้าเหิงคารวะผู้อาวุโส” เขาประสานมือกล่าว

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนกวาดมองเขาวูบหนึ่งแล้วเผยยิ้มออกมา “บิดาของเจ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับตระกูลเฮ่อของข้า หลานชายไม่ต้องมากพิธี”

เขาเว้นช่วงไปก่อนเอ่ยถาม “หลานชายมาครานี้ หรือว่าอยากมุ่งหน้าไปฝึกที่แดนใหญ่พันศึก”

ฟางเสวียนเจินพยักหน้า “มีแผนเช่นนี้จริงๆ แต่ก่อนมุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกกลับมีเรื่องอื่นอยากรบกวนผู้อาวุโสให้ช่วยเหลือ”

“เรื่องใดหรือ” บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนถาม

ฟางเสวียนเจินกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ข้าอยากจัดการคนผู้หนึ่ง ในมือของอีกฝ่ายมีสมบัติชิ้นหนึ่ง เป็นของที่ข้าจำเป็นต้องมี เดิมข้าคิดจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนกับเขา แต่อีกฝ่ายกลับโง่เขลาดึงดัน ด้วยสถานการณ์บีบบังคับจึงได้แต่ใช้แผนนี้”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนร้องอ้อคราหนึ่งแล้วกล่าวเนิบช้า “คนผู้นี้มีฐานะอะไร”

“มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่ง” ฟางเสวียนเจินกล่าว

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งแล้วแค่นเสียงกล่าวทันที “หลานชาย หากเป็นเรื่องทั่วไปข้ายังหลับตาข้างลืมตาข้างได้ แต่หากช่วยเจ้าจัดการมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งในเมือง… นั่นก็คือการทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิตระกูลเฮ่อของข้าแล้ว!”

ฟางเสวียนเจินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ยังกล่าวว่า “ผู้อาวุโส หากท่านช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ หลังจากทะลวงผ่านแดนใหญ่พันศึก ข้ายินดีเป็นตัวแทนตระกูลเฮ่อ เข้าร่วมในงานประลองใหญ่รวมสำนักเพื่อช่วงชิงพลังต้นกำเนิดระเบียบ!”

แววตาของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทันที มองสำรวจฟางเสวียนเจินจากหัวจรดเท้าแล้วกล่าว “คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ข่าวเรื่องงานประลองใหญ่รวมสำนักนั่นแล้ว บิดาของเจ้าเป็นคนบอกเจ้าหรือ”

ฟางเสวียนเจินพยักหน้า “ขอรับ”

บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนรู้ว่าบิดาของฟางเสวียนเจินเป็นระดับอมตะที่ครอบครองพลังยิ่งใหญ่คนหนึ่งเช่นกัน เคยท่องไปทั่วโลกยอดนิรันดร์เมื่อนานมาแล้ว ทั้งมีสหายอยู่ที่นั่นมากมาย สามารถรู้ข่าวนี้ได้ก็สมเหตุสมผล

แต่ไม่นานบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็ส่ายหัว “ไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็ไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองข้ามแดน”

คราวนี้ฟางเสวียนเจินอดอึ้งงันไม่ได้ เดิมเขาคิดว่ายื่นข้อเสนอที่สามารถทำให้บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนไหวหวั่นได้แล้ว ใครจะคิดว่าสุดท้ายเรื่องราวกลับไม่เป็นดั่งใจ

เขากำลังจะพูดอะไรต่อ บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนพลันออกคำสั่งไล่แขก “หากไม่มีเรื่องอื่นหลานชายก็รีบกลับไปเถอะ”

ฟางเสวียนเจินประสานมือกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

เขาหันหลังจากไป กระทั่งก้าวออกจากจวนเจ้าเมือง ใบหน้าหล่อเหลาที่ราบเรียบนิ่งสงบนั้นจึงปรากฏแววอึมครึม

แค่บรรพจารย์จักรพรรดิที่ไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่ได้มาจากตระกูลเฮ่อแห่งฟากฝั่ง มีหรือจะกล้าปฏิเสธตนเช่นนี้

ฟางเสวียนเจินสูดหายใจเข้าลึกๆ สื่อจิตบอกระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่อยู่ข้างกาย ‘จับตาดูเจ้าหมอนั่นให้ดี ลงมือในเมืองข้ามแดนไม่ได้ เช่นนั้นก็รอเมื่อเขาจากไปค่อยลงมือ!’

‘ขอรับ’

ทุกคนต่างรับคำสั่ง

ในจวนเจ้าเมือง บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนยิ้มหยัน แค่ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเรือนกระบี่ต้าเหิงเท่านั้น บิดาเป็นระดับอมตะแล้วอย่างไร

ในสายตาของตระกูลเฮ่อก็เป็นแค่คนธรรมดา!

“เด็กๆ ไปตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายที่ถูกฟางเสวียนเจินจับจ้องเป็นใคร หากเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งจริงก็สืบความเป็นมาของอีกฝ่ายมาด้วย”

ไม่นานบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนก็ออกคำสั่ง

เขาเป็นทูตพิทักษ์เมืองที่ตระกูลเฮ่อส่งมาควบคุมดูแลเมืองข้ามแดน ตัวเขามีแค่ภารกิจเดียว นั่นก็คือในช่วงสามพันปีที่ตระกูลเฮ่อครอบครองเมืองข้ามแดนนี้ ต้องค้นหาบุคคลเจิดจรัสกลุ่มหนึ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ตระกูลเฮ่อได้

ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง คุ้มครองระดับจักรพรรดิทุกคนให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นวิธีสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและชื่อเสียงของตระกูลเฮ่ออย่างหนึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ เขามีหรือจะทำลายกฎภายในเมืองเพื่อฟางเสวียนเจินคนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ฟางเสวียนเจินอยากจัดการยังเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งด้วย!

หากเขารับปากเรื่องนี้จริง เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทูตพิทักษ์เมืองอย่างเขาไม่เพียงแต่เสื่อมเสียชื่อเสียง ยังจะทำให้ตระกูลเฮ่อที่อยู่เบื้องหลังเดือดร้อนและเสื่อมเกียรติด้วย

ภายหน้าระดับจักรพรรดิคนไหนจะกล้ามาเมืองข้ามแดนอีก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะค้นหาบุคคลร้ายกาจให้ตระกูลเฮ่อได้อย่างไร

‘ฟางเสวียนเจิน หากเจ้ากล้าไม่สนคำค้านของข้า ลงมือตามใจในเมือง ถึงตอนนั้นต่อให้บิดาของเจ้าออกหน้า… ก็ช่วยเจ้าไม่ได้!’

นัยน์ตาของบรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวนฉายแววเยียบเย็นรางๆ

………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+