Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2552 ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2552 ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2552 ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค

“ทำไมต้องรอให้ออกจากที่นี่ อย่าลืมสิ หลังจากศึกชิงบัลลังก์แล้วยังมี ‘งานตำหนักเซียน’ อีก!”

จงหลีเซียวเอ่ยปากเย็นชา

งานตำหนักเซียน!

ในยุคก่อนหลังศึกฟ้าเลือกสรรสิ้นสุด ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่เข้ามาในศึกชิงบัลลังก์ หากไม่ยินยอมก็สร้างความลำบากให้บุตรฟ้าเลือกสรรในงานตำหนักเซียนได้!

หากบุตรฟ้าเลือกสรรต้านอุปสรรคทั้งหมดได้ ถึงนับเป็นผู้สืบทอดของตำหนักเซียนใจกลางที่แท้จริง

หากต้านไม่อยู่…

ชื่อเรียก ‘บุตรฟ้าเลือกสรร’ ก็จะถูกช่วงชิงโดยผู้ชนะ เข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลาง กลายเป็นผู้สืบทอดของตำหนักเซียนใจกลาง

แต่เล่าลือว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยนัก

ด้วยขอแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถฝ่าออกมาจากศึกฟ้าเลือกสรรทุกแสนปี ย่อมเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอด มีอานุภาพไร้คู่ต่อกรในระดับเดียวกันทั้งสิ้น

แต่คำพูดนี้ของจงหลีเซียวกลับเตือนทุกคนในที่นั้น เรื่องที่ไม่เคยเกิดในยุคก่อน ปัจจุบันใช่ว่าจะไม่เกิดเสมอไป

เหตุผลนั้นง่ายมาก พวกเขาล้วนเชื่อว่าการผ่านหนทางฟ้าเลือกสรรของหลินสวินมีปัญหา ไม่มีทางเป็นสิ่งที่มรรควิถีทั้งตัวเขาทำได้แน่

“ไม่ผิด ยังมีงานตำหนักเซียนอยู่!”

นัยน์ตาของมู่อี้วาววาบขึ้นมาในชั่วขณะเดียว เขาที่ก่อนหน้านี้ถูกโจมตีอย่างหนัก ตอนนี้เหมือนเห็นความหวังใหม่อีกครั้ง เห็นโอกาสกำราบหลินสวิน ชิงศุภโชคบนตัวเขามา!

เวลานี้ฉีหลิงอวิ๋นก็เอ่ยปาก นัยน์ตากระจ่างดั่งวารี น้ำเสียงรื่นหู “ทุกท่าน ข้าไม่สนใจบุตรฟ้าเลือกสรรอะไรนั่น แต่หากทุกท่านลงมือพร้อมกันในงานตำหนักเซียนแล้วจัดการหลินสวินได้ ข้าไม่รังเกียจที่จะพาทุกท่านมุ่งหน้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่แปดด้วยกัน”

ในลานเกิดความไม่สงบ ผู้ฝึกปราณสามร้อยกว่าคนแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง แค่ไปช่วยจัดการคนร้ายกาจแซ่หลิน ก็มุ่งหน้าไปฝึกปราณบนน่านฟ้าที่แปดได้หรือ

หลิ่วเซียงเชวียกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน หนาวสะท้านในใจ ฉีหลิงอวิ๋นคนนี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ต้องการให้ทุกคนตั้งกระบวนรบ จัดการหลินสวินพร้อมกัน!

“เรื่องนี้ข้าก็รับปาก” ชือพั่วจวินเอ่ยปาก

จงหลีเซียวกล่าว “นับรวมข้าด้วยคน”

พวกเขาสองคนมีหรือจะไม่เข้าใจ การกระทำนี้ของฉีหลิงอวิ๋นคือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

กระตุ้นกำลังพลทั้งหมดไปจัดการหลินสวิน ทั้งเป็นการได้ตัวเหล่าผู้มีความสามารถที่ยากจะหาในหมื่นคน!

ต้องรู้ว่าเหล่าผู้ฝึกปราณในที่นั้นล้วนเป็นยอดบุคคลที่ผ่านการคัดกรองของ ‘ศึกครองสังเวียน’ และ ‘ศึกล่าสัตว์’ ทะลวงออกมาจากระดับจักรพรรดิเกือบสามหมื่นคน

ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนเป็นคนชั้นยอดในระดับเดียวกัน หากชวนมาเป็นบริวารได้ เกรงว่าผลประโยชน์นั้นคงทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่อมตะใจเต้นเช่นกัน

เช่นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างคนสะพายดาบ ยิ่งเป็นบุคคลที่แม้แต่ยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ยินดีจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อชักชวนมา!

“แน่นอนว่าข้าไม่บังคับทุกท่าน หากใครยินดีก็รองานตำหนักเซียนเริ่มแล้วลงมือพร้อมกันก็พอ”

ฉีหลิงอวิ๋นกล่าวราบเรียบ

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมาก็ทำให้หลายคนลอบโล่งอก สามารถมุ่งหน้าไปฝึกปราณบนน่านฟ้าที่แปด แน่นอนว่าทำให้ผู้คนใจเต้น แต่ความเสี่ยงที่ต้องจ่ายนี้ก็มากเกินไป

แต่ในที่นั้นสีหน้าของคนตระกูลกู้กับตระกูลอวิ๋นกลับอึดอัดที่สุด ในใจรัดเกร็ง

พวกฉีหลิงอวิ๋นเข้ามาแทรกแซง ย่อมทำลายแผนการที่พวกเขาจะจับตัวหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย หากพลาดโอกาสไปเช่นนี้ ภายหน้าพวกเขาจะรายงานตระกูลตงหวงอย่างไร

บางทีสิ่งที่พวกฉีหลิงอวิ๋นมุ่งหมายอาจเป็นศุภโชคของตำหนักเซียนใจกลางนี้ แต่สิ่งที่พวกเขาสี่ตระกูลตงหวงมุ่งหมาย ไม่ใช่เรื่องพวกนี้!

“อดทนรอสักประเดี๋ยว อย่าลืมสิ ระดับอมตะของพวกเราสี่ตระกูลล้วนรออยู่นอกโบราณสถานทวยเทพนี้ ถึงตอนนั้นหากหลินสวินตาย แล้วก็ให้เหล่าระดับอมตะออกหน้า ไปทวงศุภโชคเกี่ยวกับนิพพานนั่นกับพวกฉีหลิงอวิ๋น”

กู้ปั้นจวงเสียงเหมือนริ้นไร ยืนอยู่บนหน้าผาซึ่งห่างไกลจากฝูงชน

พลังปราณถูกกำราบ ไม่อาจสื่อจิต การรับรู้ของทุกคนอ่อนแอลง ไม่ต้องห่วงว่าคนอื่นจะได้ยินคำพูดที่นางกล่าว

“ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว”

อวิ๋นลั่วหงก็พยักหน้า

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าเขาหรือพวกกู้ปั้นจวงล้วนรู้สึกอัดอั้นหาใดเปรียบ

ทำไมเรื่องดีบนโลกนี้ล้วนถูกเขาหลินสวินยึดครองคนเดียวเล่า

ศุภโชคนิพพานที่ตระกูลตงหวงมุ่งมาดอยู่บนตัวเขา ส่วนสมบัติลึกลับชั้นสูงของตำหนักเซียนใจกลางนี้ก็ถูกเขาได้ไป

กระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นสูงแห่งน่านฟ้าที่แปดอย่างพวกฉีหลิงอวิ๋นหรือพวกเขาสี่ตระกูลตงหวง ถึงขั้นมีโอกาสสูงว่าจะเกิดความขัดแย้งเพราะช่วงชิงศุภโชค…

นี่ช่างทำให้คนหมดคำพูดจริงๆ

“รอก่อนเถอะ ช้าสุดงานตำหนักเซียนจะเริ่มหลังจากนี้หนึ่งเดือน ถึงตอนนั้นเขาคนแซ่หลินกินอะไรไปก็ต้องคายออกมาให้ข้าทั้งหมด!”

จงหลีเซียวแววตาเยียบเย็นนัก เดิมทีเขาชื่นชมหลินสวินมาก ยังมีความคิดชี้แนะอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปฝึกปราณบนน่านฟ้าที่แปด

แต่ทุกการกระทำของหลินสวินก่อนหน้านี้กลับทำให้เขาเดือดดาลถึงขีดสุด!

“อย่าลืมเรื่องการพนัน พวกเจ้าต้องช่วยโน้มน้าวหลินสวินให้เขาก้มหัวศิโรราบต่อข้า” ห่างไปไม่ไกลฉีหลิงอวิ๋นยิ้มพลางกล่าวเตือน

เมื่อพูดถึงการพนัน สีหน้าของจงหลีเซียว ชือพั่วจวิน มู่อี้ล้วนอึมครึมลงไม่น้อย

หมอกเซียนขาวโพลนอบอวล ใต้ฝ่าเท้าพื้นดินที่วางด้วยหยกเทพสีดำแตกระแหงอยู่ก่อนแล้ว เกิดรอยแยกกระดำกระด่างมากมาย

เสาหินที่พังทลายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น บนเสาหินมองเห็นลายบุปผาปักษามัจฉาแมลง ภูผาธาราหมื่นลักษณ์ได้รางๆ ห่างออกไปคือก้อนอิฐแตกหักกระจายเต็มพื้น ทุกก้อนล้วนมหึมาเป็นอย่างยิ่ง…

เมื่อก่อนเบื้องหน้าเสาหินน่าจะเป็นแท่นมรรคใจกลางตำหนัก แต่ก็พังทลายกลายเป็นซากหินแตกหักทั่วพื้นแล้ว

ในอดีตที่นี่เป็นตำหนักเซียนสูงตระหง่านสง่างามหลังหนึ่ง สื่อถึงอำนาจและความน่าเกรงขามของโลกเซียนชั้นสูง แต่ตอนนี้กลับพังพินาศ เกลื่อนกลาดระเนระนาด ราวกับซากปรักหักพังที่ถูกทอดทิ้ง!

เมื่อเห็นภาพนี้หลินสวินก็อึ้งไปอย่างอดไม่ได้ ที่นี่ต่างจากภาพในการคาดการณ์ของเขาโดยสิ้นเชิง

นี่ก็คือตำหนักเซียนใจกลางหรือ

เป็นสถานที่ชั้นสูงแห่งยุคสมัยหรือ

หลินสวินรู้ว่าต่อให้โบราณสถานทวยเทพนี้สมบูรณ์แค่ไหน แต่เกรงว่าตำหนักเซียนใจกลางนี้คงถูกทำลายอย่างรุนแรงในมหาเคราะห์ดับสิ้นของยุคสมัย!

เขาเริ่มเดินสำรวจที่แห่งนี้ ราวกับเดินบนซากปรักหักพังที่หลับใหลมาชั่วกาลแห่งหนึ่ง พาให้คนรู้สึกวิเวกวังเวง

ความรุ่งโรจน์ในอดีตเหมือนถูกซัดไปตามลมฝนยามยุคสมัยดับสิ้นนานแล้ว เหลือเพียงความหดหู่ทั่วบริเวณ!

หืม?

หลินสวินที่กำลังรู้สึกทอดถอนใจ พลันสังเกตเห็นแสงวิญญาณสายหนึ่ง เมื่อมองดูอย่างละเอียด แสงวิญญาณสายนั้นเปล่งแสงออกมาจากส่วนลึกของกรวดหินกองหนึ่ง

เขาเดินไปข้างหน้า สะบัดแขนเสื้อย้ายกรวดหินออกไป คราวนี้จึงเห็นชัดเจนว่าแสงวิญญาณนั้นคือต้นกล้าเขียวอ่อนต้นหนึ่ง หยั่งรากลงในซากปรักหักพัง เขียวขจีสดใหม่ เผยพลังชีวิตที่แข็งแกร่งชัดเจน

ในใจหลินสวินสะท้านอย่างบอกไม่ถูก เกิดใหม่จากความพินาศหรือ

ต้นอ่อนนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว แต่กลับมีกลิ่นอายที่ทำให้หลินสวินรู้สึกถึงความแข็งแกร่งอย่างที่สุด คล้ายต่อให้ยุคสมัยดับสิ้น ตำหนักเซียนเสื่อมโทรม ก็ไม่อาจขวางการเติบโตของมัน

ส่วนมันก็กลายเป็นพลังชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในตำหนักเซียนที่ถูกทิ้งร้างนี้

หลินสวินจ้องมอง สังเกตเห็นว่านี่คือกล้าของต้นไม้หนึ่ง เพิ่งแตกหน่อไม่นาน บนใบอ่อนนั้นก็มีกลิ่นอายอัศจรรย์ที่ไม่อาจบรรยายเคลื่อนวน ให้ความรู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ใบอ่อนเล็กจ้อย หากแต่เป็นโลกมหามรรคที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง แบกรับพลังต้นกำเนิดของยุคมรรคเซียนไว้!

‘หรือข่าวลือจะเป็นจริง’

หลินสวินนึกถึงข่าวลือบางส่วนที่ได้ยินก่อนมาโบราณสถานทวยเทพ

ในยุคก่อนสมบัติปริศนาชั้นสูงของตำหนักเซียนใจกลางคือ ‘ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค’ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นรากแห่งโลกเซียน

ได้ยินว่าทุกแสนปีต้นไม้นี้จะควบรวม ‘ผลมรรค’ ที่อัศจรรย์เกินคาดเดาออกมา ผลมรรคนี้มาพร้อมโชควาสนาแห่งมรรคเซียน เมื่อกลืนกินมันจะได้ศุภโชคมหามรรคที่คาดไม่ถึง

หลังจากกินผลมรรค บางคนสยายปีกบรรลุเซียน แปรสภาพกลายเป็นเทพ

บางคนก็สร้างมรรควิถีอมตะที่ไม่เสื่อมสูญทั้งชีวิต หยั่งรู้นัยเร้นลับแห่งมหสติ มหอิสระ การหลุดพ้น

บางคนก็ครอบครองมรรคชั้นยอด

…สรุปคือ ผลมรรคที่ต้นหงเหมิงหมื่นมรรคควบรวมออกมา ศุภโชคที่ทุกคนได้รับล้วนไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าอัศจรรย์เกินคาดเดา

ทั้งต้นหงเหมิงหมื่นมรรคนี้ก็ถูกมองเป็นสมบัติปริศนาชั้นสูงของตำหนักเซียนใจกลาง ถูกผู้ฝึกเซียนบนโลกเชื่อว่าต้นไม้นี้ก็คือรากฐานของโลกมรรคเซียน เป็นต้นกำเนิดของปริศนาหมื่นมรรค!

เดิมทีหลินสวินยังแค่นเสียงดูถูกข่าวลือนี้ แต่ตอนนี้… เขาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่บ้างแล้ว

ทั่วตำหนักเซียนใจกลางกลายเป็นซากปรักหักพังนานแล้ว หากพูดว่าที่นี่ซ่อนสมบัติปริศนาชั้นสูงไว้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นต้นอ่อนกล้าไม้เบื้องหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

กลิ่นอายของมันน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว มีขนาดแค่ประมาณเล็บมือ แต่กลับเหมือนแบกรับพลังต้นกำเนิดทั้งมรรคเซียนไว้

แต่หากพูดว่ามันเป็นต้นหงเหมิงหมื่นมรรค อย่างมากก็เป็นแค่ต้นอ่อนน้อยต้นหนึ่งของต้นหงเหมิงหมื่นมรรค…

‘ศุภโชคที่เกี่ยวกับสมบัติปริศนาชั้นสูงครานี้ช่าง… พิเศษยิ่งนัก…’ หลินสวินลูบคาง หาทางลงมือไม่ได้อยู่บ้าง

เขาห่วงว่าหากสัมผัสโดยไม่ระวังต้นอ่อนนี้จะหักโค่น หากถอนไปทั้งต้นก็ห่วงว่ามันจะอับเฉาแห้งเหี่ยวลงเพียงเท่านี้

หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วพลันนึกขึ้นได้ เขานำตำราหยกศุภโชคออกมา

ภาพอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที ต้นอ่อนเขียวมรกตนั้นถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายตื่นเต้นหาใดเปรียบ แผ่แสงเขียวมรกตเล็กจ้อยดุจภาพมายาหลากสายออกมา

แต่ตำราหยกศุภโชคกลับนิ่งเฉย ไม่ได้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณเหมือนตอนเก็บตำรามรรคต้นกำเนิดกับประทับยุทธ์พวกนั้น

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นำตำราหยกศุภโชคไปวางข้างต้นอ่อนนั้นเบาๆ

ก็เห็นต้นอ่อนนั้นยื่นกิ่งอ่อนนุ่มเล็กละเอียดราวขนวัวออกมา โผเข้าสู่ตำราหยกศุภโชค คล้ายกำลังดูดซับอะไรบางอย่าง

นัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย ได้ผลดังคาด!

การคาดเดาในใจเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว!

หลังจากนั้นก็เห็นต้นอ่อนนั่นเหมือนได้ฝนตอนหน้าแล้ง ทะลวงหน้าดินออกมา งอกรากแตกหน่อ พลิ้วไหวเติบโตกลางซากปรักหักพังนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจก็เติบโตเป็นกล้าไม้ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือต้นหนึ่ง ลำต้นเปล่งประกายพร่างพราว ประทับลายปริศนาเหมือนดั่งแรกกำเนิด

บนลำต้นของมันก็แผ่กิ่งก้านอ่อนนุ่มเขียวขจีมากมาย ปกคลุมตำราหยกศุภโชคทั้งเล่มไว้

เวลานี้หลินสวินเพิ่งเห็นชัดเจนในที่สุด พลังที่ถูกต้นหงเหมิงหมื่นมรรคนี้ดูดซับ ก็คือประทับยุทธ์ที่ตำราหยกศุภโชครวบรวมมาทั้งหมดบนหนทางฟ้าเลือกสรรก่อนหน้านี้!

นั่นคือพลังต่อสู้ที่ ‘บุตรฟ้าเลือกสรร’ แต่ละคนในยุคก่อนเหลือไว้!

แต่ปัจจุบันพลังต่อสู้พวกนี้กลับเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยง ถูกต้นกล้าหงเหมิงหมื่นมรรคนี้ดูดซับไม่หยุด ส่วนต้นไม้นี้ก็เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง…

เพียงครึ่งเค่อก็เติบโตจนสูงถึงหนึ่งฉื่อ ลำต้นราวกับหล่อจากหินหยกซึ่งเปล่งประกายที่สุดบนโลก กิ่งก้านดุจทองเซียนเขียวมรกต สาดแสงเจิดจ้า ละอองแสงประหนึ่งภาพฝันลวงตาโปรยปราย!

………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด