Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2565 นัยเร้นลับของกฎเกณฑ์อมตะ

ปราณกระบี่นี้ฟันออกมา ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายอมตะเต็มเปี่ยมทำให้เวิ้งฟ้าแถบนั้นเกิดรอยแยกสยดสยองเป็นสายๆ!

หลินสวินที่ยืนนิ่งมองดูกระบี่นี้ในตำหนักเซียนใจกลาง นัยน์ตาดำยังอดหดรัดลงทันควันไม่ได้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคามอันแรงกล้า

นี่จึงจะเป็นพลังแท้จริงของระดับอมตะ!

เมื่อเทียบกันแล้ว สมบัติที่ประทับกลิ่นอายอมตะเหล่านั้นยังขาดพลังวิญญาณเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือพลังวิญญาณที่หลอมรวมระหว่างสติปัญญา เจตจำนง และไอสังหารของระดับอมตะ

อานุภาพย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหว

อย่างน้อยหลินสวินลองถามใจตนดู หากเปลี่ยนให้เขามาต้านกระบี่นี้ เกรงว่าต้องทุ่มสุดกำลังโคจรเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจึงจะทำได้

และในการเผชิญหน้ากระบี่เช่นนี้ กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อดีดนิ้วคราหนึ่ง

ปึง!

ปราณกระบี่สีแดงยาวพันจั้งพลันขาดเป็นสองท่อน ร่วงกลางอากาศดุจร่างของงูตาย กลายเป็นละอองแสงสาดกระเซ็น

ท่าทางสบายสุดขีดนั่นทำเอาหลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้

แต่หลิงเสวียนจื่อกลับหัวเสียมากอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเหมือนถูกท้าทายนัก บนดวงหน้าหล่อเหลาทอแววทะมึน กล่าวหน้ายิ้มแต่ในใจไม่ยิ้ม

“แม้แต่แมวสามขาอะไรยังกล้าบังอาจลงมือกับข้า มันช่าง… มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”

เสียงดุจลมหนาวเหน็บเจาะทะลุผืนนภา ปิดครอบฟ้าดิน ทำให้หนังตาของพวกหนานเฟยตู้ กู้หลิงเจินล้วนกระตุก

ก็เห็นบนตัวหลิงเสวียนจื่อพลันทะลักอานุภาพน่าสะพรึง จุดชีพจรไม่รู้จบรอบตัวพวยพุ่งกฎเกณฑ์มหามรรค แสงเขียวดุจสายน้ำ ดอกอมตะที่โปร่งแสงแวววาวราวกระจกแก้วควบรวมกันเป็นดอกๆ มีประกายศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตปิดครอบตัวเขาไว้ ทำให้ทุกท่วงท่าอิริยาบถของเขาล้วนเกรียงไกรไร้สิ้นสุด!

ทอดมองจากไกลๆ ประดุจเทพสูงส่งมาเยือนโลก อานุภาพสะเทือนทั่วหล้า

อมตะ!

ในใจพวกหนานเฟยตู้สั่นสะท้าน ตอนที่มุ่งหน้ามา พวกเขาไม่คิดว่าข้างกายหลินสวินถึงกับยังมีที่พึ่งเช่นนี้อยู่ด้วย

เรื่องนี้ชักจะรับมือยากแล้ว!

พวกเขาสบตากันปราดหนึ่ง หัวคิ้วล้วนขมวดมุ่น

หากฆ่าหลินสวินคนเดียว นั่นย่อมไม่เปลืองเรี่ยวแรงโดยเด็ดขาด แต่หากคิดสังหารระดับอมตะสักคนให้ตาย ต้องใช้ฝีมือสักหน่อยแล้ว

“จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ รีบรบรีบจบ!”

อวิ๋นจิ่วเวยตัดสินใจทันที ฝักกระบี่เปื้อนเลือดใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงร้องอึงอล ร่างกายเขาพุ่งตรงทะยานขึ้นฟ้า

เมื่อเขายืนนิ่ง ไอสังหารคละคลุ้งกลายเป็นพลังอสนีสีดำ ควบรวมเป็นวงแหวนเทพปรากฏอยู่หลังท้ายทอยของเขา ภายในวงแหวนเทพมีกระแสมหามรรคที่ทำให้คนใจสะท้านพลิกตลบ แปลงมาจากกฎเกณฑ์อมตะ

ฟุ่บ!

อวิ๋นจิ่วเวยรวบนิ้วตวัดวาด สายฟ้าสีดำจับตัวกันกลายเป็นกระบี่เทพดังชิ้งๆ รายล้อมด้วยประกายแสงประดุจอมตะ ฟันไปทางหลิงเสวียนจื่อ

ดวงตาหลินสวินเจ็บแปลบระลอกหนึ่ง ร่างกายและจิตใจล้วนตกใจยิ่ง ขนลุกซู่

กระบี่นี้แข็งแกร่งกว่ากระบี่เมื่อครู่ไม่เพียงหนึ่งเท่า น่าพรั่นพรึงเกินกว่าจินตนาการ เหนือกว่าระดับที่หลินสวินสามารถรู้และเข้าใจได้!

เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่เช่นนี้ หลินสวินยังไม่มีความมั่นใจว่าจะรับไหวสักนิด เพราะพลังระดับนั้นสูงส่งเกินเอื้อมไป!

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเพิ่งบรรลุมกุฎบรรพจารย์ คงจะยังไม่เข้าใจพลังของระดับอมตะ ตอนนี้ศิษย์พี่จะใช้ชีวิตของเฒ่าสารเลวพวกนี้มาอธิบายให้เจ้าสักรอบ”

กลับเห็นหลิงเสวียนจื่อยืนนิ่งไม่ไหวติง หัวเราะเย็นเฉยเมย มีเพียงมือขวาที่ยื่นออกมาคว้าคราหนึ่งแล้วชักกลับไป

ตูม!

ท่ามกลางเสียงระเบิดสนั่น ปราณกระบี่สีดำสายนั้นเหมือนมังกรใหญ่ตัวหนึ่งถูกหลิงเสวียนจื่อกำไว้ในฝ่ามือกลางอากาศ จากนั้นระเบิดเป็นละอองแสงสายฟ้าสีดำดังเปรี้ยงๆ

“เจ้าเฒ่าสารเลวนี่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะที่หยั่งรู้ได้จากระเบียบอมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า อานุภาพเหนือกว่าระเบียบระดับปฐพีลิบลับ นี่ก็หมายความว่า เมื่อเผชิญหน้าต่อสู้กัน คนระดับเดียวกันทั่วๆ ไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฒ่าสารเลวนี่สักนิด”

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยปาก อธิบายให้หลินสวินประหนึ่งกำลังถ่ายทอดความรู้

ถึงตอนนี้หลินสวินถึงกระจ่างขึ้นมา นึกถึงข่าวลือบางอย่าง

มรรคาอมตะ ถึงแม้จะแบ่งเป็นสามขั้นใหญ่อย่างอายุขัยเทียมฟ้า ดับเทพ หลุดพ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับอมตะในขั้นไหน พลังกลับต่างกันลิบลับ

หัวใจหลักก็อยู่ที่อานุภาพของกฎเกณฑ์อมตะที่พวกเขาครอบครองไม่เหมือนกัน!

และความมากน้อยของอานุภาพกฎเกณฑ์อมตะ ก็สอดคล้องกับระดับขั้นของพลังระเบียบ เนื่องจากกฎเกณฑ์อมตะเดิมก็หยั่งรู้มาจากพลังระเบียบ

อย่างเช่นกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง ก็หยั่งรู้ออกมาจากพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง

และในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ระดับอมตะที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นหนึ่ง พลังต่อสู้ที่ปลดปล่อยออกมา สามารถกดกำราบคู่ต่อสู้ที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพีขั้นหนึ่งได้อย่างแน่นอน

และในโลกยอดนิรันดร์ การที่สามารถครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้าได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นพวกปลายยอดในหมู่คนระดับเดียวกันได้อย่างไม่ต้องสงสัย!

อย่างอวิ๋นจิ่วเวยคนนี้ เห็นชัดว่าก็เป็นคนน่ากลัวเช่นนี้เหมือนกัน

ก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินเข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ยามตนเผชิญหน้ากับกระบี่นั่นถึงได้รู้สึกไร้แรงปานนั้น

สาเหตุก็เพราะกฎเกณฑ์อมตะที่อีกฝ่ายครอบครองบนมรรคาอมตะ เหนือกว่าระดับอมตะในความหมายทั่วไป!

ถึงอย่างไรอวิ๋นจิ่วเวยก็อยู่ในขุมอำนาจใหญ่ปลายยอดจากน่านฟ้าที่เจ็ด ตระกูลที่เขาอยู่ พลังระเบียบที่ครอบครองก็คือระดับสวรรค์ขั้นเก้า มีหรือที่คนทั่วไปจะเทียบได้

เมื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว จู่ๆ สภาวะจิตของหลินสวินพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้น ความแตกต่างห่างกันเกินไป ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกขัดเคืองใจ

สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ศิษย์พี่สี่กลับไม่กลัวสักนิด!

นี่อยู่เหนือความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาทึกทักเอาเองว่าศิษย์พี่สี่จะเป็นเหมือนกับพวกศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง

แต่ตอนนี้ดูแล้ว ศิษย์พี่สี่เห็นชัดว่าเป็นพวกแปลกแยกในหมู่ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล!

“เฮอะ!”

ท่าทางเอื่อยเฉื่อยที่หลิงเสวียนจื่อเผยออกมาทำให้อวิ๋นจิ่วเวยขมวดคิ้ว เรียกศาสตรามรรคอมตะของตนออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด

นั่นเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง แดงเพลิงโชติช่วงดุจไฟลุกโชน เปี่ยมกลิ่นอายอมตะ ทันทีที่ปรากฏฟ้าดินดุจถูกเผาไหม้ ถูกแสงเพลิงไร้สิ้นสุดท่วมมิด

แต่หลิงเสวียนจื่อกลับเหมือนมองไม่เห็น พูดเองเออเองว่า “เจ้าเฒ่าสารเลวนี่มีปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง ศาสตรามรรคอมตะก็นับว่าไม่ธรรมดา แต่กลับอยู่เพียงระดับปฐพีเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าเฒ่านี่น่าจะเป็นพวกไส้แห้งที่ใช้ชีวิตไม่สมดั่งใจ ไม่มีปัญญารวบรวมวัตถุอมตะคุณภาพดีเยี่ยมได้สักนิด หาไม่มีหรือจะถือศาสตรามรรคอมตะระดับปฐพีให้อายสายตาคน”

คำว่า ‘ไส้แห้ง’ ราวกับมีดเล่มหนึ่งปักเข้ากลางใจอวิ๋นจิ่วเวย ทำให้เขาข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ตวัดกระบี่ฟันเข้ามา

ตูม!

ประกายเพลิงท่วมฟ้าฟันออกมาพร้อมกระบี่เล่มนี้ เวิ้งฟ้าพังทลายโดยสมบูรณ์ ห้วงอากาศถล่มโครมคราม กลิ่นอายพลังอมตะเป็นระลอกๆ ปลดปล่อยออกมาจากกระบี่เล่มนั้น คล้ายจะทำลายล้างฟ้าดินแถบนี้

หลิงเสวียนจื่อเรียกสามพันเคลื่อนคล้อยออกมา แส้หางม้าสีขาวหิมะกลายเป็นน้ำตกสีเงินระยับ สะบัดไหวอยู่กลางห้วงอากาศ

ปราณกระบี่ประกายเพลิงท่วมฟ้าล้วนสลายหายลับไปราวกับเงามายาฟองกาศ!

อวิ๋นจิ่วเวยนัยน์ตาหดรัด ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลลำดับสี่ตรงหน้าคนนี้ เป็นพวกร้ายกาจที่รับมือยากเหนือจินตนการคนหนึ่ง

“แม้สามพันเคลื่อนคล้อยเล่มนี้ของอาจารย์จะเสียหายร้ายแรง แต่ดีชั่วก็เป็นสมบัติที่อาจารย์หลอมเองกับมือ ใช่ของที่ศาสตรามรรคอมตะขายหน้าขายตานั่นจะเทียบได้ที่ไหน ศิษย์น้องเล็ก หลายปีมานี้สมบัตินี้อยู่ในมือเจ้า นับว่าเป็นมุกที่ฝุ่นปกคลุมแล้ว…”

พูดถึงตอนท้ายหลิงเสวียนจื่ออดถอนใจเฮือกยาวไม่ได้

ไกลออกไปแววตาหลินสวินดูแปลกไป นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง ถูกท่วงท่าเกรียงไกรสะท้านยุคที่หลิงเสวียนจื่อสำแดงออกมาทำให้ตกใจเข้าแล้วจริงๆ

อยู่ต่อหน้าศัตรูตัวฉกาจยังพูดพล่ามไม่หยุด ทำตัวตามสบายเช่นนี้ได้อีก นี่จะให้คนทั่วไปเทียบได้อย่างไร

โฮก!

ในเสียงคำรามสะเทือนฟ้า แรดเขียวพันธุ์ดีตัวนั้นที่บรรทุกลี่ซางจวินเหินทะยานขึ้นฟ้า ลี่ซางจวินซึ่งถือบรรทัดหยกสีม่วงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“หากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ ไฉนจนป่านนี้ยังเหมือนเต่าหัวหด ไม่กล้าโผล่หน้ามาที่โลกยอดนิรันดร์อีกเล่า”

ในเสียงปนแววเยาะหยัน

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าขรึมลงทันควัน คล้ายถูกยั่วโทสะอย่างหาได้ยาก ประกายเย็นเยียบและไอสังหารน่าสะพรึงพวยพุ่งในดวงตา กล่าวว่า “ลำพังแค่ประโยคนี้ ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกไปได้แล้ว!”

ตูม!

อาภรณ์เขียวของเขาโบกสะบัด สามพันเคลื่อนคล้อยในมือตวัดม้วนออกไปทันควัน ธารยาวที่แปลงมาจากประกายเทพสีเงินครอบไปทางลี่ซางจวิน

ลี่ซางจวินฟาดบรรทัดหยกสีม่วงคราหนึ่ง ผืนฟ้าพลันพวยพุ่งประกายม่วง สัญลักษณ์อมตะอย่างมังกรพยัคฆ์ผสาน หยินหยางเชื่อมต่ออุบัติขึ้นมา

การโจมตีนี้วิเศษอัศจรรย์สุดหยั่ง พลังและกฎเกณฑ์อมตะที่โคจรไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินในตอนนี้สามารถเข้าใจได้

ทว่าแม้แต่การโจมตีระดับนี้ ยามเผชิญหน้ากับสามพันเคลื่อนคล้อยกลับถูกซัดกระจุย เปราะบางราวกระดาษเปื่อย

ภายใต้การถูกโจมตี ลี่ซางจวินไม่เป็นอะไร แต่แรดเขียวที่เขาขี่กลับมีภัย ถูกละอองแสงสีเงินฟาดใส่ เนื้อเปิดหนังปลิ้น กระดูกเนื้อฉีกแตก ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา เกือบสะบัดลี่ซางจวินปลิวออกไป

ลี่ซางจวินประหนึ่งร้อนรนขุ่นเคือง เหินทะยานขึ้นแล้วยื่นมือเก็บแรดเขียวไป ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าถึงกับกล้าทำร้ายแรดน้อยของข้า รนหาที่ตาย!”

เขากระตุ้นบรรทัดหยกสีม่วงโจมตีพาดขวาง ทั่วร่างอาบชโลมกลางละอองแสงอมตะสีม่วงเจิดจ้า ดุจเทพบันดาลโทสะ ทำให้ฟ้าดินโหยไห้

พร้อมกันนั้นอวิ๋นจิ่วเวยก็ออกโจมตีเช่นกัน กวัดแกว่งกระบี่เทพแดงก่ำ ซัดปราณกระบี่ที่ปกฟ้าคลุมตะวัน ดุงดั่งประกายเพลิงแผดเผาเก้าชั้นฟ้า

“เฮอะ มดปลวกเขย่าต้นไม้ก็เท่านั้น”

ขณะพูดหลิงเสวียนจื่อกระโจนตัวขึ้นไป ทั่วร่างมีดอกมรรคอมตะสีเขียวประดุจกระจกแก้วดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบาน อานุภาพเจาะทะลวงภูผาธารา

เมื่อเขาโบกสามพันเคลื่อนคล้อย แสงเข้มสีเงินไร้สิ้นสุดปรากฏ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านล้วนบดขยี้ปราณกระบี่ที่ราวกับเพลิงโหมนั่น ทำลายละอองแสงอมตะสีม่วงเจิดจ้าเป็นผุยผง อานุภาพดุจผ่าลำไผ่ ไม่มีสิ่งใดที่ทำลายไม่ได้

และก็เป็นยามนี้ที่หลิงเสวียนจื่อซึ่งถูกกำราบมาเนิ่นนาน อดทนอยู่ในความทรมานอันมืดมิดไร้สิ้นสุด ได้สำแดงอานุภาพในตัวให้โลกได้ประจักษ์โดยสมบูรณ์!

ชั่วพริบตาสองฝ่ายก็สู้กันดุเดือดไปหลายสิบกระบวน ทำเอาฟ้าดินแถบนี้พังถล่มโดยสิ้นเชิง ทุกสิ่งล้วนปรากฏร่องรอยเสียหายย่อยยับ

แม้แต่ตำหนักเซียนใจกลางที่อยู่บนยอดเขาก็ยังถูกลูกหลง สั่นสะเทือนรุนแรง ปรากฏรอยแตกมากมายคล้ายเจียนจะถล่ม

เห็นได้ชัดยิ่งว่าสถานที่สูงส่งซึ่งดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนนี้ใกล้จะพังพินาศ รักษาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

ตูม!

ในเสียงสนั่นสะเทือนฟ้าดิน เงาร่างสองสายลอยคว่ำออกมา เป็นอวิ๋นจิ่วเวยและลี่ซางจวิน พวกเขาถูกซัดจนร่างซวนเซ เสื้อผ้ายุ่งเหยิง เลือดลมพลิกตลบ

เมื่อหันมองดูหลิงเสวียนจื่อ อาภรณ์เขียวพลิ้วไหว มือถือแส้หางม้า ประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือสุด!

แววตาอวิ๋นจิ่วเวยและลี่ซางจวินเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและตกใจ

คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาร่วมกันโจมตีขนาบ กลับถูกหลิงเสวียนจื่อคนเดียวกดข่มและซัดถอยออกมา สำนักคีรีดวงกมลมีผู้สืบทอดที่เย้ยฟ้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด