Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2573 แค้น! แผดเผา!

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2573 แค้น! แผดเผา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนึ่งกระบี่จู่โจมมา ทะลวงร่างของคงเจวี๋ย!

หลินสวินเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ตาแทบหลุดจากเบ้า นี่… เป็นไปได้อย่างไรกัน!

ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะสังหารระดับอมตะห้าคนนั้นได้ ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะคว้าโอกาสรอดมาได้ แต่ตอนนี้จู่ๆ ความหวังทั้งหมดก็ป่นปี้เพราะหนึ่งกระบี่ที่จู่ๆ ก็มาเยือนเล่มนี้!

“อาจารย์อา!”

หลินสวินร้องเสียงแหบ

ในครรลองสายตา ที่ทรวงอกคงเจวี๋ยมีโพรงเลือดหลั่งรินโพรงหนึ่ง กลิ่นอายทั้งร่างพลันโรยราลงอย่างฉับไว ไม่มีความสง่างามเหมือนดั่งจอมราชันเช่นก่อนหน้านั้นอีก

กระบี่นี้ไม่เพียงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังเหมือนจะโจมตีสภาวะจิตของเขาให้ตกอยู่ในสภาวะงุนงงที่สติสัมปชัญญะคลุมเครือไปด้วย

“ข้าแค่อยากดื่มเหล้า ทำไมต้องฆ่าข้า…” คงเจวี๋ยแววตาตกตะลึง ร้องลั่นอย่างเจ็บปวด

สวบ!

ครู่ต่อมาหลิงเสวียนจื่อก็ลงมือคว้าตัวคงเจวี๋ยมา จากนั้นก็จับหลินสวินเคลื่อนตัวไปทางเมืองจรดฟ้าเต็มกำลัง

สีหน้าเขาเย็นชาคล้ำเขียว สายตามีแววคลุ้มคลั่งน่ากลัวไหววูบ กัดฟันกรอดอย่างที่สุด

ศึกนี้ยากเข็ญและอันตรายยิ่งนัก!

ตั้งแต่สังหารระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสี่คนอย่างหนานเฟยตู้ กู้หลิงเจิน ลี่ซางจวิน อวิ๋นจิ่วเวย จนถูกระดับอมตะขั้นดับเทพอย่างพวกตงหวงคงล้อมโจมตีในจักรวาลแห่งนี้ เรียกได้ว่ามีไอสังหารทุกย่างก้าว เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

ถ้าไม่ได้คงเจวี๋ยลงมือ ผลลัพธ์ก็ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ

ทว่าตอนนี้อุตส่าห์ฆ่าพวกตงหวงคงได้ แต่กลับมีกระบี่เล่มหนึ่งโจมตีมากะทันหัน ทำลายทั้งหมดนี้ลงโดยสิ้นเชิง

แรงกระเทือนนี้มากจนไม่อาจเพิ่มพูนได้อีกแล้ว!

โดยเฉพาะตอนที่เห็นอาจารย์อาคงเจวี๋ยถูกกระบี่นี้แทงทะลุ หลิงเสวียนจื่อยังรู้สึกโมโหจนแทบคลั่ง แค้นจนเลือดขึ้นตา ดุร้ายน่ากลัว

แต่สติปัญญาของเขาบอกตัวเองว่าจะสู้หลังชนฝาแบบนี้ไม่ได้ เขาไม่กลัวตาย แต่ไม่อาจเห็นหลินสวินศิษย์น้องของเขาตายไปกับเขาต่อหน้าต่อตา!

“ศิษย์น้องเล็ก พาอาจารย์อาไปด้วยกัน คราวนี้ข้าจะทุ่มทุกอย่างเพื่อเปิดทางรอดให้เจ้า จำไว้ ถ้าคราวนี้ข้าตายจริงๆ เจ้าก็ต้องช่วยฆ่าคู่แค้นที่ฆ่าศิษย์พี่เหล่านั้น เช่นนี้แล้วข้าก็ตายอย่างคุ้มค่า นอนตายตาหลับได้”

ระหว่างที่เคลื่อนตัวหนีตาย เสียงหลิงเสวียนจื่อนุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก ราวกับกำลังสั่งเสีย

“ศิษย์พี่สี่! จะตายก็ตายด้วยกัน!”

หลินสวินขอบตาแดงก่ำ ในใจแค้นจนคลั่ง ฝึกปราณมาจนตอนนี้ เขาไม่ได้สัมผัสความพ่ายแพ้อย่างวันนี้มาหลายปีแล้ว ความรู้สึกไร้พลังเช่นนั้นทำให้เขาคับข้องใจจนแทบระเบิด

“เหลวไหล! อาจารย์อาคงเจวี๋ยทุ่มเทให้พวกเรามากขนาดนั้นแล้ว หรือเจ้าอยากให้ท่านผู้เฒ่าตายไปกับพวกเรา เจ้ารอดชีวิต อาจารย์อาคงเจวี๋ยถึงมีโอกาสมีชีวิตต่อไป”

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเจือแววเย้ยตัวเอง “เมื่อหลายปีก่อนข้าอยู่ในคีรีดวงกมลก็เหมือนเป็นวายร้ายคนหนึ่ง ทำเรื่องโง่เขลามากมาย ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่รองจ้งชิว ศิษย์พี่สามรั่วซู่ หรือศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นก็รู้สึกต่อต้านข้าทั้งนั้น”

“ข้าไม่โทษพวกเขา พอนึกถึงตัวเองในตอนนั้นข้าก็อยากตบหน้าตัวเองเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ข้าหลิงเสวียนจื่อก็มองคีรีดวงกมลเป็นบ้าน ส่วนลึกในใจข้าจะไม่ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนักของตนเหล่านั้น เรื่องนี้อาจารย์รู้ดีที่สุด หาไม่ตอนนั้นก็ย่อมไม่ทำอะไรง่ายๆ อย่างแค่กำราบข้าไว้หรอก”

“ฮ่าๆ รู้สึกว่าข้าพูดมากไปหน่อยหรือเปล่า แต่คำพูดเหล่านี้อัดอั้นอยู่ในใจข้ามานานมากแล้ว อาจเป็นเพราะใกล้ตายเลยพูดจาดีๆ กระมัง ภายหน้ายามพบศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นก็บอกพวกเขาด้วยว่า ข้าหลิงเสวียนจื่อออาจจะเป็นวายร้าย เป็นคนชั่วจนกู่ไม่กลับ ข้าไม่ขอให้พวกเขาเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้า แต่ในใจข้า พวกเขา… ล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า”

เสียงค่อยๆ ต่ำลึกลง

ในใจหลินสวินหลากอารมณ์ ปั่นป่วนว้าวุ่นใจ

ก็เป็นตอนนี้เอง เขาถึงรู้ว่าคนอวดดีอย่างศิษย์พี่สี่ก็ละอายใจกับพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในคีรีดวงกมลเหล่านั้นเช่นกัน!

เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เหมือนที่อาจารย์อาคงเจวี๋ยพูดไว้ ช่วงเวลาที่ถูกกำราบนั้นอาจขัดเกลานิสัยใจคอศิษย์พี่สี่ให้แตกต่างไปจากเดิมนานแล้ว

ชิ้ง!

เสียงกระบี่ก้องกังวานเย็นชานั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเป็นเสียงผนึกวิญญาณจากนรก ชั่วขณะที่เสียงดังขึ้น หลิงเสวียนจื่อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ปราณกระบี่สายหนึ่งแหวกแผ่นหลังเขา เนื้อตัวแตกยับ เลือดสดๆ สาดกระเซ็น

เขาส่งเสียงในลำคอ แต่แววตากลับสงบนิ่งเช่นเคย พาตัวหลินสวินเคลื่อนที่อย่างบ้าคลั่ง

หลินสวินไม่รู้ว่าหลิงเสวียนจื่อในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสน่ากลัวปานไหน แต่ในใจเขากลับกระตุกอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดและแค้นเคืองอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นมา

เป็นใคร!

เป็นใครที่ลงมือกันแน่!

หลินสวินหันหน้าไป ดวงตาดำลุ่มลึกมีแต่แววคลุ้มคลั่ง แต่เขากลับไม่อาจมองเห็นศัตรู เห็นเพียงว่าในจักรวาลที่อยู่ไกลลิบนั้นมีกระบี่บินลอยอยู่เล่มหนึ่ง เป็นสีดำดุจน้ำหมึกทั้งเล่ม ประหนึ่งกระบี่คมที่หลอมขึ้นจากรัตติกาล ต่อให้ห่างไปไกลลิบก็ยังแผ่กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามเขย่าขวัญออกมา

ท่ามกลางความคลุมเครือ ด้านหลังกระบี่บินนั้นเหมือนมีเงาร่างสูงใหญ่ดั่งความว่างเปล่ายืนอยู่ร่างหนึ่ง พลานุภาพทั้งตัวปกคลุมฟ้าดาราแห่งนั้น น่ากลัวจนไม่อาจจินตนาการได้

ชิ้ง!

เสียงกระบี่ดังขึ้นอีกครั้ง เย็นเยียบดุจสายลม ไหวกระเพื่อมในจักรวาลแห่งนี้

หลินสวินรู้สึกแสบตา มองไม่เห็นภาพใดๆ อีก

แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าหลิงเสวียนจื่อได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง น้ำเลือดร้อนระอุพุ่งกระฉูด กระเด็นลงบนหน้าเขา

“ศิษย์พี่สี่!”

หลินสวินตาเบิกกว้าง เห็นว่าหน้าอกของหลิงเสวียนจื่อถึงกับเหมือนถูกฟันจากด้านหลัง ร่างกายคล้ายจะปริแตก อาการบาดเจ็บรุนแรงจนไม่อาจรับได้อีก

“ไม่เป็นไร แผลเล็กแค่นี้ยังไม่ถึงตาย ศิษย์น้องเล็ก เจ้าดู กำลังจะถึงเมืองจรดฟ้าแล้ว”

หลิงเสวียนจื่อเอ่ยเสียงเบา สีหน้ายังมีแต่ความสงบนิ่ง

เค้าโครงของเมืองจรดฟ้าที่อยู่ไกลออกไปปรากฏอยู่ใต้พลังผนึกลึกลับที่ปกคลุม ต่อให้คลื่นการต่อสู้ในจักรวาลแห่งนี้น่ากลัวไร้สิ้นสุดก็ไม่อาจสั่นสะเทือนได้สักนิด

พลังผนึกลึกลับนั้นมาจากวิญญาณระเบียบเฮ่าเทียน

ทว่า…

ก็ในตอนนี้เอง เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ขวางทางเบื้องหน้าหลิงเสวียนจื่อเอาไว้

คนผู้นี้เป็นชายชราที่ผมหนวดเป็นสีขาวโพลน เงาร่างสูงใหญ่ แต่งกายชุดขนนกทั้งตัว แววตากร้านโลก ทั้งตัวมีกฎเกณฑ์อมตะโคจร

ฝูไหวฉิน!

ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณในเมืองจรดฟ้าเหล่านั้น จะต้องจำได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้คือระดับอมตะในตระกูลฝูแห่งน่านฟ้าที่แปด

“เดิมทีข้าหวังจะรับเจ้าเข้าตระกูลฝู น่าเสียดาย เจ้ากลับเป็นคนของคีรีดวงกมล บนโลกนี้ไม่แน่ไม่นอนเลยนะ”

ฝูไหวฉินมองดูหลินสวินพลางถอนใจยาว

“ไสหัวไป!”

หลิงเสวียนจื่อตะโกนลั่น เรียกเจดีย์ไร้สิ้นสุดออกมา อานุภาพน่ากลัวหาใดเทียบ แทบจะเอาชีวิตเข้าแลก

ฝูไหวฉินโบกแขนเสื้อ ยอดเขาเขียวชอุ่มลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ มีกลิ่นอายอมตะอันเป็นเอกลักษณ์ไหลเวียนอยู่ ขวางการโจมตีนี้ไว้กลางอากาศ

หลิงเสวียนจื่อกำลังจะเคลื่อนไหวต่อ ปราณกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งมาจากเบื้องหลังเขา ฟันแขนซ้ายเขาร่วง เลือดสดๆ สาดกระเซ็น

การโจมตีนี้ทำให้หลิงเสวียนจื่อซวนเซ พลังขับเคลื่อนทั้งร่างแทบกระเจิง

เขาได้รับบาดเจ็บหนักเกินไปแล้วจริงๆ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงคุ้มกันอยู่หน้าหลินสวิน!

ฝูไหวฉินมองไปที่ส่วนลึกของจักรวาลไกลลิบ แววตาก็ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมา เอ่ยว่า “นั่นเป็นถึง ‘กระบี่ตัดมรรค’ ของตระกูลหวัง ยักษ์ใหญ่อมตะอันดับหนึ่ง ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เกรงว่าพวกเจ้าก็คงไม่รอด…”

ตระกูลหวัง!

ยักษ์ใหญ่อมตะอันดับหนึ่ง!

กระบี่ตัดมรรค!

หลินสวินจำทุกอย่างนี้ไว้มั่น ดวงตาลุกวาว เขาสาบานว่าถ้าคราวนี้รอดไปได้ ไม่ช้าก็เร็วสักวันจะต้องเอาคืนเป็นสิบเป็นร้อยเท่า!

“ศิษย์น้องเล็ก ดูท่าจะไปเมืองจรดฟ้าไม่ได้แล้ว แต่ว่ากันว่าหลังเมืองจรดฟ้าก็คือเส้นทางสู่โลกยอดนิรันดร์ ตอนนี้ศิษย์พี่จะส่งเจ้าไป!”

ขณะพูด แสงมรรคลุกโชนก็ผุดออกมาจากร่างหลิงเสวียนจื่อ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งร่างเขาเหมือนถูกจุดติดในขณะนี้

“ใช้วิญญาณข้า รวมเป็นประตูไร้ช่องว่าง…”

ประตูมายาบานหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะหลิงเสวียนจื่ออย่างรวดเร็ว

“หึ!”

ฝูไหวฉินสีหน้าขรึมลง ยอดเขาเขียวชอุ่มลูกนั้นทะยานไปในท้องนภา กดข่มห้วงอากาศ กระแทกไปที่หลิงเสวียนจื่ออย่างจัง

ใครจะคิดว่าการโจมตีอันน่าครั่นคร้ามเช่นนี้กลับถูกแสงมรรคประหนึ่งเพลิงลุกโชนที่อยู่รอบตัวหลิงเสวียนจื่อต้านไว้มั่น ไม่อาจเข้าใกล้ได้

“ใช้เลือดของข้า เบิกเส้นทางแห่งความเป็นตาย…”

หลิงเสวียนจื่อสีหน้าเคร่งขรึม มุมปากเปล่งเสียงมรรคพร่าเลือนออกมา เขาเจ็บหนักเจียนตาย แต่บนใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับมีแต่ความสงบนิ่ง

แสงมรรคลุกโชนนับไม่ถ้วนถาโถม พลุ่งพล่านอยู่รอบตัวเขาเหมือนมหาสมุทร ไม่นานนักก็ม้วนตลบหลินสวินไว้ภายใน แล้วโยนเข้าไปในบานประตูดั่งมายาบานนั้น

ในระหว่างนี้หลินสวินดิ้นรนไม่หยุด ร้องคำรามลั่น พยายามจะอยู่ต่อ แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักนิด ทำได้เพียงมองดูตัวเองถูกตวัดเข้าไปในประตูมายาบานนั้น

“ศิษย์พี่สี่! ถ้าท่านตาย ข้าจะทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะนั่นมาเป็นเครื่องเซ่นฝังศพท่านให้หมด!” หลินสวินคำรามก้อง ในใจถูกความแค้นไร้สิ้นสุดเข้าแทนที่

ได้แต่มองดูศิษย์พี่สี่จ่ายค่าตอบแทนเท่าชีวิตต่อหน้าต่อตา เพียงเพื่อมอบทางรอดให้ตน แต่ตนกลับไม่มีพลังปฏิเสธสักนิด!

นี่ก็เหมือนคมดาบแหลมนับไม่ถ้วนกรีดแหวกดวงใจเขา ทำให้เขารู้สึกพังทลาย

“ศิษย์น้อง ถ้าชาติหน้ามีจริงพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องค่อยพบกันใหม่!”

หลิงเสวียนจื่อยิ้มน้อยๆ เผยความปรีดา พอเขาโบกมือ

ตูม!

จู่ๆ ประตูบานนั้นก็กลายเป็นแสงมรรคสายหนึ่งแหวกจักรวาลกว้างหายลับไป

ต่อให้ฝูไหวฉินทุ่มสุดตัวเพื่อขัดขวางก็ยังไม่อาจสกัดกั้นได้ เพราะนี่เป็นโอกาสรอดที่หลิงเสวียนจื่อแลกมาด้วยชีวิตทั้งหมด!

ฟุ่บ!

ครู่ต่อมาปราณกระบี่สายหนึ่งเคลื่อนมาไกลลิบ เจาะทะลุเงาร่างของหลิงเสวียนจื่อ ทำให้บัดนี้ร่างของเขาระเบิดออกโดยสิ้นเชิง ฝนเลือดสาดกระเซ็นไปทั้งฟ้า

เหลือเพียงพลังจิตที่โชคดีดำรงอยู่ได้ แต่ก็รวยรินเต็มที

ยามนี้เขายังคงสุขุมเยือกเย็นอย่างแต่ก่อน จับสามพันเคลื่อนคล้อยกับเจดีย์ไร้สิ้นสุดที่เปื้อนเลือดสดๆ ของตนไว้แน่น ถอนใจพึมพำเบาๆ ว่า

“อาจารย์ ศิษย์อยากพิสูจน์ว่ามหามรรคของตัวเองถูกต้องมาโดยตลอด แต่ตอนนี้… กลับไม่มีโอกาสพิสูจน์ให้ท่านดูแล้ว…”

พลังจิตเขาอับแสง แปรเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนถึงที่สุด

สติเลือนรางลงช้าๆ

“คิดจะตายแบบนี้หรือ ไม่มีทาง ข้าจะกักพลังจิตเจ้าไว้ หลอมเข้ากับสมบัติ อยากรอดก็ไม่ได้ อยากตายก็ไร้ทาง!”

เห็นหลินสวินถึงกับถูกส่งไปต่อหน้าต่อตา ฝูไหวฉินสีหน้าบิดเบี้ยวถึงที่สุด กระตุ้นยอดเขาเขียวชอุ่มลูกนั้นไปปกคลุมพลังจิตของหลิงเสวียนจื่อที่จะแหลกสลายอยู่รอมร่อนั้นไว้

ตูม!

ยามที่ละอองแสงสีเขียวดั่งกระแสธารใกล้จะผนึกพลังจิตของหลิงเสวียนจื่อไว้ เจดีย์ไร้สิ้นสุดที่ถูกเลือดของหลิงเสวียนจื่อย้อมเป็นสีแดงนั้นก็สั่นเบาๆ ขึ้นมาพลัน

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด