Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2598 ระดับอมตะมาเยือน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2598 ระดับอมตะมาเยือน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2598 ระดับอมตะมาเยือน

ตูม!

พลังระเบียบที่พังทลายยังไม่ซ่านเซ็น ก็ถูกประทับฝ่ามือเปล่งประกายเจิดจรัสนั้นม้วนกลืนเหมือนพายุหอบเศษเมฆา ถาโถมเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจนไม่เหลือแม้แต่น้อย

ในโลกที่วิวัฒน์จากระเบียบนิพพาน อู๋ซวงเด็กสาวไร้เดียงสาในชุดขาวโห่ร้องยินดี

สำหรับนาง พลังระเบียบที่ถูกม้วนกลืนพวกนี้ก็เหมือนอาหารน่าเย้ายวน

ทั้งเสี่ยวเซียนกับเสี่ยวหมิงยังไม่อาจแย่งนางด้วย ความรู้สึกนี้ย่อมน่ายินดีหาใดเปรียบเป็นธรรมดา

ยามนี้รุ่ยไท่ฝูเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งตกใจจนหัวสมองเบลอไปหมดแล้ว

พลังระเบียบที่ถูกหลินสวินทำลายและม้วนกลืนก่อนหน้านี้ เป็นที่พึ่งสำคัญของรุ่ยไท่ฝู เหมือนกับพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นสามของสำนักศึกษาสองลักษณ์เช่นกัน

แต่ตอนนี้กลับต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว!

“ไม่…”

ยังไม่รอให้หลบหนี ลำคอของรุ่ยไท่ฝูก็ถูกหลินสวินจับกุมผนึกไว้ ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขวัญหนีดีฝ่อโดยสมบูรณ์แล้ว

ฝึกปราณมาถึงวันนี้ เขาก็นับว่าเป็นบุคคลร้ายกาจที่เคยเจอคลื่นใหญ่ลมแรงและอันตรายนับไม่ถ้วน แต่ไหนเลยจะเคยเจอเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้

“ตอนนี้เจ้าให้ความร่วมมือโดยดีได้แล้วใช่ไหม” นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึก เอ่ยถามเรียบๆ

ขณะกล่าวเขาโยนรุ่ยไท่ฝูที่ถูกผนึกลงพื้น ฝ่ายหลังชักกระตุกไปทั้งตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตื่นตระหนก และงุนงง

“สำนักศึกษาเยือกแข็งของข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า ทำไม… ทำไมถึงทำเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” เขากล่าวเสียงสั่นเครือ

“ข้ามีความแค้นกับตระกูลเหวิน”

เมื่อหลินสวินเอ่ยปากออกมา รุ่ยไท่ฝูราวกับถูกฟ้าผ่า เข้าใจทันทีว่าตนเดือดร้อนเพราะตระกูลเหวิน!

“แต่ข้าไม่ใช่คนตระกูลเหวิน…” รุ่ยไท่ฝูกำลังจะขีดเส้นความสัมพันธ์กับตระกูลเหวิน

หลินสวินกล่าวตัดบท “เป็นสุนัขแล้วไม่ภักดี หากให้เจ้าของรู้ เจ้าเดาสิว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร”

สีหน้ารุ่ยไท่ฝูเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหาใดเปรียบทันที

“ยิ่งไปกว่านั้นเท่าที่ข้ารู้ ตั้งแต่เจ้าก้าวสู่ระดับจักรพรรดิก็มีใจคิดพึ่งพิงตระกูลเหวิน ถึงตอนนี้ก็ขายชีวิตให้ตระกูลเหวินมาเกือบสองพันปีแล้ว เจ้ายังกล้าบอกว่าเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลเหวินอีกรึ” น้ำเสียงหลินสวินเจือความเย้ยหยัน

รุ่ยไท่ฝูราวกับพังทลาย ทรุดตัวอยู่ตรงนั้น ดวงตาทั้งสองเหม่อลอย

“แน่นอนว่าตระกูลเหวินคือตระกูลเหวิน เจ้าคือเจ้า แม้ว่าข้าจะสังหารนับไม่ถ้วน แต่ไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์” หลินสวินกล่าว

รุ่ยไท่ฝูเหมือนนักโทษสิ้นหวังมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่ง กล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอเพียงเจ้าปล่อยให้ข้ารอดชีวิต ข้าย่อมกลับตัวกลับใจ แก้ไขความผิด ไม่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีก!”

หลินสวินกล่าว “เมื่อครู่หากเจ้าให้ความร่วมมือเช่นนี้มีหรือจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้”

รุ่ยไท่ฝูรู้สึกขมปาก หากรู้ก่อนว่าแม้แต่พลังระเบียบยังไม่อาจต้านการโจมตีได้ เขามีหรือจะกล้าไม่ให้ความร่วมมือ

“หลอมยันต์นี้เข้าไปในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ แล้วข้าจะให้โอกาสรอดชีวิตกับเจ้า”

หลินสวินพูด จากนั้นกลางฝ่ามือปรากฏแสงมรรคเป็นสายๆ ควบรวมเป็นยันต์สีดำประหลาดชิ้นหนึ่ง ซัดผ่านอากาศเข้าไปตรงหว่างคิ้วรุ่ยไท่ฝู

ลายเทพผนึกมรรค!

วิชาลับอย่างหนึ่งที่บันทึกอยู่ใน ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’ ของยุคก่อน ควบรวมจากพลังเจตจำนง หากซัดเข้าไปในร่างศัตรูก็เหมือนฝังต้นตอภัยพิบัติไว้ ขอเพียงผู้ใช้วิชาขับเคลื่อนความคิด พลังของลายเทพผนึกมรรคก็จะทำลายมรรควิถีทั้งตัวของศัตรูในพริบตา เรียกได้ว่าเหี้ยมโหดอัศจรรย์

รุ่ยไท่ฝูแสดงออกว่ายินดี เปิดโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ภายในร่าง ไม่ต่อต้านและขัดขวางแม้แต่น้อย เพียงพริบตาลายเทพผนึกมรรคก็กลายเป็นแสงดำหลากสายซึมซาบเข้าไปในมรรควิถีของเขา

“ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังคำสั่งเนี่ยชิงหรงเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์ดีๆ เมื่อได้รับความเห็นอกเห็นใจและการยอมรับจากนาง นางจะกำจัดภัยพิบัติในตัวให้เจ้า ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อน ต่อให้ระดับอมตะลงมือก็ไม่มีทางช่วยเจ้าสลายภัยพิบัตินี้ได้ เจ้าอย่าหวังว่าจะมีโชคช่วยดีกว่า” หลินสวินกล่าว

รุ่ยไท่ฝูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยให้สมปรารถนา!”

แม้แต่คำเรียกหลินสวินก็เปลี่ยนไป

หลินสวินไม่สนว่าอีกฝ่ายพูดออกมาจากใจจริงหรือไม่ มีลายเทพผนึกมรรคอยู่ เขาไม่กลัวอีกฝ่ายกลับคำโดยสิ้นเชิง

“ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้ายังเป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาเยือกแข็งอยู่ เข้าใจไหม” หลินสวินกล่าว

รุ่ยไท่ฝูใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเคารพ “ข้าจะจำคำชี้แนะของผู้อาวุโสให้ขึ้นใจ”

วันนั้นหลินสวินออกจากสำนักศึกษาเยือกแข็งแล้วเดินทางกลับ

วันนี้คนทั่วไปไม่รู้เลยว่ารุ่ยไท่ฝูเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งคนปัจจุบัน กลายเป็นตัวหมากในมือเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาสองลักษณ์แล้ว

ผ่านไปหนึ่งเดือน

หลินสวินปรากฏตัวยังที่พักของตนในสำนักศึกษาสองลักษณ์

ตั้งแต่ต้นจนจบการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไปเพียงสองเดือน แต่ผลลัพธ์ทำให้หลินสวินพึงพอใจ อย่างน้อยภายหน้าหลังจากตนจากไป สำนักศึกษาเยือกแข็งก็จะเป็นกองหนุนอย่างดีของสำนักศึกษาสองลักษณ์โดยปริยาย

วันนั้นหลินสวินมอบวิชาลับที่ควบคุมลายเทพผนึกมรรคแก่เนี่ยชิงหรง ทำให้ฝ่ายหลังสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่อง

ต่อให้ผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ถึง ว่าการเดินทางครั้งนี้ของหลินสวินถึงกับกำราบเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งได้ ทั้งควบคุมไว้ในมือเสียอยู่หมัด!

สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้อธิบายอะไร

เนี่ยชิงหรงก็ไม่ถามเพิ่มอย่างรู้กาลเทศะ ก่อนนางจะไปยังบอกเรื่องหนึ่งกับหลินสวิน

อีกประมาณครึ่งเดือน ทูตท่องสวรรค์ของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล คือตระกูลจู้ ตระกูลเฮ่อ และตระกูลหงซึ่งมาจากน่านฟ้าที่หกจะมาเยือนพร้อมกัน!

นี่ทำให้เนี่ยชิงหรงตึงเครียดหาใดเปรียบ เกรงแต่ว่าหลังจากทูตท่องสวรรค์ของตระกูลจู้มาถึงแล้ว จะระบายเพลิงโทสะใส่นางเพราะการตายของโหยวเชียนเหิง

ถึงตอนนั้นกลัวว่าต่อให้ทูตท่องสวรรค์ของตระกูลเฮ่อออกหน้าก็คงไม่ไหว ถึงอย่างไรตระกูลจู้ก็ไม่อาจนำมาเทียบกับแต่ก่อนแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็จะเข้าไปตั้งรกรากในน่านฟ้าที่เจ็ด

เกรงว่าตระกูลเฮ่อคงไม่ยอมไปล่วงเกินอีกฝ่ายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้แน่

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้วหลินสวินอดยิ้มพลางปลอบใจไม่ได้ “วางใจเถอะ ผลักความผิดทั้งหมดมาให้ข้าก็พอ ข้าอยากดูนักว่าตระกูลจู้นี้จะส่งทูตท่องสวรรค์แบบไหนมา”

เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสิบกว่าวันโดยไม่รู้ตัว

ริมทะเลสาบมรกตที่กว้างใหญ่เงียบสงบ เมื่อเสียงลมหายใจเนิบช้าดังขึ้น หลินสวินที่นั่งสมาธิก็ตื่นจากการฝึกปราณ

‘ขาดเพียงเสี้ยวก็จะฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว’

หลินสวินสัมผัสสภาพร่างกายตนเองครู่หนึ่งแล้วพลันเบาใจ

หลายปีก่อนเขาบาดเจ็บหนักเจียนตาย ตอนนี้เมื่อก่อขึ้นใหม่หลังความพินาศ ในที่สุดก็สร้างมรรควิถีทั้งตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าในใจย่อมชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งช่วงนี้การเปลี่ยนแปลงประหลาดตรงเส้นปราณหัวใจนั้นของเขายังเกิดขึ้นบ่อยครั้งยิ่งกว่าเดิม เหมือนเมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่งที่กระเหี้ยนกระหือรือ มุ่งหวังปรารถนาจะทะลวงหน้าดินออกมา

นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ ว่าระยะห่างจากการตื่นของพลังพรสวรรค์ขั้นสามของตนยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว!

นี่เป็นข่าวดีที่ทำให้เขาเฝ้ารอหาใดเปรียบเช่นกัน

หืม?

ทันใดนั้นหลินสวินมองไปบนเวิ้งฟ้าที่ห่างไกลเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

ขณะเดียวกันนอกเทือกเขาเสินถูห้วงอากาศไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่ง เงาร่างสามสายปรากฏ

ผู้นำคือชายวัยกลางคนร่างผอมบางคนหนึ่ง เงาร่างสูงชะลูด สวมชุดดำ ทั้งตัวอาบไล้ด้วยวงแหวนเทพที่วิวัฒน์จากแสงมรรคอมตะหลากสาย ราวกับนายเหนือหัวมาเยือนโลก ทำให้ฟ้าดินแถบนั้นส่งเสียงครวญไม่หยุด

ข้างกายเขายังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งติดตามมา อานุภาพก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังถูกความสง่างามบนตัวระดับอมตะชุดดำที่เป็นผู้นำนั้นบดบังโดยสิ้นเชิง

‘ถึงกับมีระดับอมตะคนหนึ่งมาด้วย…’

ริมทะเลสาบนัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด เก็บจิตรับรู้กลับมาเงียบๆ ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่าสามคนนั้นต้องเป็นทูตท่องสวรรค์ที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลจู้ ตระกูลเฮ่อ และตระกูลหงอย่างแน่นอน

เวลานี้สำนักศึกษาสองลักษณ์ล้วนปั่นป่วน ทูตท่องสวรรค์สามคนมาเยือน เจ้าสำนักเนี่ยชิงหรงพาเหล่าบุคคลสำคัญไปต้อนรับด้วยตัวเอง ดึงดูดความสนใจของผู้สืบทอดนับไม่ถ้วน

“สหายยุทธ์”

แค่เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เหลิ่งชิงเสวี่ยก็รีบมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลินสวิน บนใบหน้างามดุจภาพวาดนั้นเต็มไปด้วยความกังวล

ไม่รอให้หลินสวินซักถาม นางก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาทั้งหมด

ทูตท่องสวรรค์สามคนที่มาครั้งนี้คือจู้ฮุย เฮ่อโหย่วฟาง หงอิ้งเหอ พวกเขาต่างมาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูล

ภายในนั้นจู้ฮุยก็คือชายกลางคนชุดดำร่างผอมบางสูงชะลูดคนนั้น เป็นระดับอมตะที่มีพลังปราณขั้นอายุขัยเทียมฟ้า

ก่อนหน้านี้ยามจู้ฮุยเพิ่งเข้าไปในตำหนักสองลักษณ์ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น

เหล่าบุคคลสำคัญบางส่วนของสำนักศึกษาสองลักษณ์กระโดดออกมา พากันด่าเนี่ยชิงหรงว่าทะเยอทะยานโฉดชั่ว ใช้อุบายเล่ห์เหลี่ยมฆ่าโหยวเชียนเหิงกับหย่งเฟยตู้ให้ตายเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าสำนักโดยไม่คำนึงถึงอะไร หวังว่าจู้ฮุยจะลงมือจัดการเนี่ยชิงหรงด้วยตัวเอง คืนความเป็นธรรมให้โหยวเชียนเหิง

สำหรับเรื่องนี้เนี่ยชิงหรงย่อมไม่มีทางนั่งรอความตาย ทำการอธิบายทันที ผลักความผิดทั้งหมดให้ ‘บุคคลปริศนา’ ที่หลินสวินสวมบทบาท

ทั้งเฮ่อโหย่วฟางกับหงอิ้งเหอบุคคลสำคัญที่มาจากตระกูลเฮ่อกับตระกูลหงก็เอ่ยปาก ช่วยเนี่ยชิงหรงพูด จึงสลายเคราะห์ไปได้อย่างไร้อันตราย

แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าในเวลาต่อมา จู้ฮุยไม่ได้สนใจความเป็นตายของโหยวเชียนเหิง ทั้งไม่สนใจว่าบุคคลปริศนานั่นเป็นใคร กลับถามเรื่องแผนภาพที่เกี่ยวกับพลังระเบียบนั้นขึ้นมา

ซ้ำยังออกคำสั่งว่าภายในหนึ่งชั่วยาม หากไม่เห็นแผนภาพนั่นจะไต่สวนเอาความเนี่ยชิงหรง!

เหลิ่งชิงเสวี่ยก็มาด้วยเหตุนี้

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้วหลินสวินก็ตัดสินได้ทันที เป้าหมายที่แท้จริงของจู้ฮุยคนนี้ เกรงว่าคงมาเพื่อแผนภาพที่เกี่ยวข้องกับเขตผนึกนิรันดร์โรยภาพนั้น

สำหรับความเป็นตายของโหยวเชียนเหิงกับหย่งเฟยตู้ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของระดับอมตะอย่างเขาแต่แรก!

‘ไม่แปลกที่จะส่งระดับอมตะมา ที่แท้ก็เพื่อพลังระเบียบนั่น…’

หลินสวินเข้าใจแล้ว

หากว่ามาเพียงเพื่อเครื่องบรรณาการ เกรงว่าระดับอมตะอย่างจู้ฮุยคงไม่มีทางมาน่านฟ้าที่หนึ่งด้วยตัวเอง

“สหายยุทธ์ ทำอย่างไรดี”

เหลิ่งชิงเสวี่ยอดถามไม่ได้ รู้สึกว้าวุ่นใจ

หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ในเมื่อเขามาเพื่อแผนภาพนั่น ขอแค่มอบแผนภาพไปก็จะไม่สร้างความลำบากให้สหายยุทธ์เนี่ยอีก ตอนนี้เจ้านำแผนภาพไปพบสหายยุทธ์เนี่ย แล้วให้นางมอบแก่จู้ฮุยนั่น”

เหลิ่งชิงเสวี่ยตกใจ “สหายยุทธ์ หากให้แผนภาพไปเจ้าจะทำอย่างไร”

หลินสวินชี้ศีรษะตัวเอง “เบาะแสบนแผนภาพถูกข้าจำไว้หมดแล้ว”

“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายความเช่นนั้น หากให้จู้ฮุยนั่นเจอพลังระเบียบ ไม่ใช่ว่าทำให้เขาได้เปรียบไปรึ ความเสียหายนี้มากเกินไปแล้ว” เหลิ่งชิงเสวี่ยรีบกล่าว

หลินสวินยิ้มพูดง่ายๆ “ดังนั้นยามจู้ฮุยออกเดินทางไปหาพลังระเบียบ ข้าก็จะตามไปด้วย ถึงตอนนั้นก็ดูว่าใครจะชิงพลังระเบียบนี้ไปไว้ในมือ และใคร… จะรอดชีวิตออกมาจากเขตผนึกนิรันดร์โรยนั่น!”

เมื่อกล่าวถึงตอนท้ายนัยน์ตาเขาพลันฉายแววเยียบเย็น

…………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด