Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2613 แขกไม่ได้รับเชิญ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2613 แขกไม่ได้รับเชิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในทะเลเมฆ

เหลิ่งชิงเสวี่ยกล่าว “เสี่ยวซี อยากเข้าสู่ระดับมกุฎอริยะ จะต้องมีจิตมรรคทั่นคงไร้มลทิน จากที่ข้าดู จิตมรรคของเจ้าแม้จะบริสุทธิ์แต่กลับขาดการฝึกฝน การพาเจ้าไปสังหารอสูรมารครั้งนี้ ทุกอย่างจะต้องพึ่งตัวเจ้าเอง ไม่ว่าจะประสบอันตรายแค่ไหนข้าก็จะไม่แทรกแซง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

เสี่ยวซีพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง”

เหลิ่งชิงเสวี่ยเอ่ย “ทำให้ข้าผิดหวังหรือไม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคืออย่าทำให้ตนเองผิดหวัง”

ระหว่างสนทนาทั้งสองก็มาอยู่ในภูเขาชั่วร้ายที่หมอกเลือดคละคลุ้งแถบหนึ่งแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่นี่เป็นสถานที่ที่พญาอสูรมารเพ่นพ่าน ผู้ฝึกปราณทั่วไป หากไม่มียอดฝีมือมาด้วยย่อมไม่กล้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว

แต่สำหรับสำนักศึกษาพยับวายุ ที่นี่ก็คือสนามฝึกตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการฝึกลูกศิษย์

“ไปเถอะ ล่าราชันอสูรมารน้อยอริยะแท้ขั้นต้นได้สิบตัว การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็นับว่าผ่านเกณฑ์”

เหลิ่งชิงเสวี่ยชี้ไปไกลๆ พลางเอ่ยสั่ง

เสี่ยวซีพยักหน้า เงาร่างกลายเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งพุ่งไปยังภูเขาที่หมอกสีเลือดคละคลุ้งทันที

“รุนแรงและเข้มงวดกับนางเกินไปหรือเปล่า”

เสี่ยวซีเพิ่งจากไป เงาร่างของเนี่ยชิงหรงก็ปรากฏกลางอากาศ มองตำแหน่งที่ร่างของเสี่ยวซีหายไปอย่างกังวลแวบหนึ่ง

“นี่คือความต้องการของตัวนางเอง”

บนใบหน้างามของเหลิ่งชิงเสวี่ยเผยความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง เอ่ยว่า “นางหนูคนนี้ฮึกเหิมเต็มเปี่ยม เอาพี่หลินเป็นตัวอย่าง แม้ไม่เคยพูดอะไรกับข้า แต่ข้ารู้ว่านางหวังเพียงว่าในอนาคตเมื่อเจอพี่หลินอีกครั้งจะได้รับการยอมรับจากพี่หลิน ไม่ใช่ความผิดหวัง”

เนี่ยชิงหรงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“พี่สาว ท่านว่าหากหลินสวินไม่ได้ไปจากน่านฟ้าที่ห้านี้ เขา… จะไปที่ไหน” เหลิ่งชิงเสวี่ยอดถามไม่ได้

ตั้งแต่แยกกับหลินสวินก็ปีกว่าแล้ว

เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน นางกับเนี่ยชิงหรงพาเสี่ยวซีไปจากถ้ำสถิตที่อยู่ลึกหมื่นจั้งของทุ่งน้ำแข็งนั่น เสาะหามาตลอดทางและในที่สุดก็ลงหลักปักฐานที่สำนักศึกษาพยับวายุ

ตอนนี้นางกับเนี่ยชิงหรงล้วนเป็นอาจารย์ระดับบรรพจารย์ในสำนักศึกษาพยับวายุ ฐานะไม่ได้ต่ำต้อย ได้รับการให้ความสำคัญอย่างมาก

ส่วนเสี่ยวซี ตอนนี้เป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไป แต่ขอเพียงแค่นางบรรลุระดับอริยะ ก็จะถูกเลื่อนให้เป็นศิษย์แกนหลัก!

สามารถพูดได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกนางล้วนดีมาก ช่วงเวลายามอยู่น่านฟ้าที่หนึ่งไม่อาจเทียบได้สักนิด

“ข้าเองก็ไม่รู้ชัด แต่จากข่าวที่กระจายออกจากน่านฟ้าที่ห้าในตอนนี้ ขอเพียงแค่พี่หลินไม่เผยร่องรอยก็จะไม่ประสบอันตรายอะไร”

เนี่ยชิงหรงพูดถึงตรงนี้ในสายตาเผยความเย้ยหยัน “กลับเป็นพวกคนใหญ่โตที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น ช่วงนี้คงอยู่ไม่สุขอย่างมาก ข้าถึงขั้นสามารถจินตนาการได้ถึงท่าทางอัดอั้นแต่จนใจ ขุ่นเคืองแต่ไร้แรงของพวกเขาได้”

เหลิ่งชิงเสวี่ยอดยิ้มไม่ได้ พูดเนิบๆ “หากภายหน้าข้ามีศักยภาพอย่างพี่หลิน จะต้องเอาอย่างเขาแน่ หากไม่ก่อเรื่องก็แล้วไป แต่หากจะทำขึ้นมาก็ต้องทำให้พลิกฟ้าพลิกดินไปเลย”

ไกลออกไปใต้ต้นก่วมแดงที่ราวกับลุกโชนต้นนั้น หลินสวินเก็บจิตรับรู้ เผยรอยยิ้มแล้วหมุนตัวจากไป

พวกเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยไม่ได้รู้ว่าในช่วงเวลาที่พวกนางเข้าสำนักศึกษาพยับวายุ หลินสวินเคยมาเยี่ยมไม่เพียงแค่ครั้งเดียว

เพียงแต่ทุกๆ ครั้งล้วนไม่เคยรบกวนชีวิตการฝึกปราณของพวกนางก็เท่านั้น

……

เวลาอีกสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นอกเส้นทางดาราเขตแดน ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะที่รวมตัวกันอยู่ ตอนนี้สั่งสมความอัดอั้นและชิงชังเต็มทรวงแล้ว

หากเป็นการปิดด่านฝึกปราณ สำหรับพวกเขา เวลาสองสามปีก็เป็นเพียงแค่การดีดนิ้วเท่านั้น

แต่ประเด็นคือตอนนี้พวกเขาไม่ได้ฝึกปราณ รอเป้าหมายอยู่ที่นี่ทุกวันคืน นี่ทรมานเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย บั่นทอนความอดทนของพวกเขาจนแทบจะหมดแล้ว

“ข้าไม่รอแล้ว! วันหน้าย่อมมีโอกาสเล่นงานเจ้าเดรัจฉานนี่!”

วันนี้หนานหยวนซิงทนไม่ไหวก่อน จากไปอย่างเดือดดาล

ทุกคนมองหน้ากัน ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ

เห็นเช่นนี้ลี่อู๋เยี่ยนที่รู้สึกเหลืออดนานแล้วก็หมดความอดทนเช่นกัน กล่าวว่า “ทุกท่าน รักษาตัวด้วย ต่อไปหากหลินสวินเผยร่องรอยข้าย่อมจะมาอีกครั้ง”

เสียงยังก้องอยู่ แต่ตัวนางหายไปแล้ว

จากนั้นก็มีระดับอมตะบางส่วนทยอยจากไป ต่างทนความรู้สึกถูกกระทำเช่นนี้ไม่ไหว

ไม่นานในที่นั้นก็เหลือแค่ระดับอมตะที่มาจากน่านฟ้าที่หกและน่านฟ้าที่ห้าจำนวนหนึ่ง แต่ละคนมองตากันไปมา ลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้

หากรอต่อไป ถ้าหลินสวินไม่ปรากฏตัวเสียที นี่เป็นการเสียเวลาและเรี่ยวแรงอย่างไม่ต้องสงสัย สุดท้ายก็เป็นไปได้สูงมากที่จะคว้าน้ำเหลว

แต่ถ้าจากไปเช่นนี้พวกเขาก็ไม่จำยอม ถึงอย่างไรก็รอมาหลายปีแล้ว ใครจะยอมกลับไปมือเปล่าเช่นนี้

หนานหยวนซิง ลี่อู๋เยี่ยนสามารถสะบัดก้นไปได้ เพราะพวกเขามาจากน่านฟ้าที่เจ็ด ในช่วงสั้นๆ หลินสวินไม่มีทางคุกคามไปถึงพวกเขารวมถึงขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาได้

ทว่าสำหรับคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะคนอื่นๆ หากหลินสวินบุกเข้าน่านฟ้าที่หก ก็จะเป็นการคุกคามครั้งใหญ่ต่อขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขา!

“มารดามันเถอะ!”

มีคนโกรธจนอดสบถด่าไม่ได้ เสียงสะเทือนฟ้าดารา เห็นชัดว่าโมโหเดือดยิ่งยวด

“เจ้าหมอนี่ไม่ปรากฏตัวเสียที พวกเราเสียเวลาต่อไปก็ไม่ใช่เรื่อง จากที่ข้าดู ถ้าเขากล้าเข้าสู่น่านฟ้าที่หกจริง ถึงตอนนั้นค่อยระดมกำลังโจมตีสังหารเขาก็พอ”

มีคนพูดเสียงขรึม

“แต่ถ้าเข้าน่านฟ้าที่หกแล้วเจ้าตัวจ้อยนั่นยังใช้วิธีเดิมอีก ทำลายไปทั่ว ถึงตอนนั้นบางทีสุดท้ายอาจสามารถฆ่าเขาได้ แต่ขุมอำนาจใดที่จะสามารถรับการสูญเสียเช่นนี้ได้”

มีคนสีหน้าไม่น่ามอง

ขณะสนทนาก็มีอีกหลายคนจากไปเงียบๆ ไม่คิดจะรอต่อไป

หากหลินสวินจะอยู่น่านฟ้าที่ห้าทั้งชีวิต พวกเขาก็ต้องเสียเวลาทั้งชีวิตเช่นกันหรือ

เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้!

เมื่อผู้ฝึกปราณบริเวณเส้นทางดาราเขตแดนน้อยลงเรื่อยๆ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ยังคิดจะรออีกสักระยะก็สั่นคลอนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

สำหรับเรื่องพวกนี้หลินสวินไม่รู้เลยสักนิด

เมืองพยับวายุ

ในลานเรือนแห่งหนึ่ง หลินสวินค่อยๆ ตื่นจากการนั่งสมาธิ

ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นสมบูรณ์!

เมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังขับเคลื่อนแห่งตน ในใจหลินสวินย่อมรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา

น่านฟ้าที่ห้านี้แตกต่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ฟ้าดินหรือไอวิญญาณแรกกำเนิด ล้วนสามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของเขาได้

อย่างตอนอยู่น่านฟ้าที่หนึ่ง เขาใช้เวลาหลายปีสร้างมรรคาขึ้นใหม่ รักษาบาดแผล จนกระทั่งตอนที่ฟื้นฟูสู่สภาพสูงสุด ก็เป็นเพียงแค่มรรควิถีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นต้นขั้นสมบูรณ์เหล่านั้น

แต่จากน่านฟ้าที่หนึ่งมาถึงน่านฟ้าที่ห้านี้ เวลาเพียงหกเจ็ดปีเท่านั้น มรรควิถีของเขาก็ทะยานสู่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นปลายขั้นสมบูรณ์แล้ว!

การพัฒนาเช่นนี้เรียกได้ว่ารวดเร็วยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย!

ถึงอย่างไรพลังปราณยิ่งสูง คิดอยากพัฒนาไปอีกก้าวก็ยิ่งยากลำบาก ระดับจักรพรรดิบางส่วน พันหมื่นปีก็ใช่ว่าจะบรรลุได้หนึ่งขั้น

เมื่อเทียบกันแล้วสามารถดูออกว่ามรรควิถีของหลินสวินบรรลุเร็วแค่ไหน

ก็หมายความว่าเขาในตอนนี้เข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเก้าขั้นสมบูรณ์แล้ว เหนือขึ้นไปก็คือมรรคาอมตะแล้ว

หลินสวินเก็บต้นหงเหมิงที่หนั่งรากในลานเรือนกลับมา ปลดกระบวนค่ายกลผนึกที่ปกคลุมอยู่รอบๆ เรือน จากนั้นถึงค่อยออกจากเรือนเดินไปยังถนนที่ครึกครื้นตามปกติ

ทุกครั้งในเวลานี้เขาจะมองท้องฟ้าอย่างคล้ายตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ ใคร่ครวญว่าศัตรูที่ซุ่มอยู่บริเวณเส้นทางดาราเขตแดนพวกนั้นจะรอคอยอย่างทรมานแค่ไหน

จากนั้นอารมณ์ของเขาก็จะดีขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อไม่นานมานี้หลินสวินก็เคยได้ยินแล้ว ว่าขุมอำนาจของเผ่าจักรพรรดิอมตะหลายตระกูลซึ่งเฝ้าอยู่บริเวณสำนักศึกษาควันวายุได้ทยอยถอนกำลังแล้ว

เรื่องนี้ถึงขั้นทำให้น่านฟ้าที่ห้าเกิดความฮือฮา เพราะนี่หมายความว่าเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่มีความอดทนมาเสียเวลากับหลินสวินอีกต่อไปแล้ว

แต่ก็มีคนคิดว่านี่คือแผนการแสร้งปล่อยเพื่อจับของเผ่าจักรพรรดิอมตะ ดูเหมือนถอนกำลัง แต่ความจริงซุ่มอยู่ในมุมมืด ขอเพียงหลินสวินกล้าปรากฏตัวก็จะประสบเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน

กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ยี่หระ ไม่ใส่ใจสักนิด และไม่คิดจะสนใจ

ตั้งแต่ช่วงที่อยู่ในน่านฟ้าที่สองถึงน่านฟ้าที่สี่ เขาก็สังหาร ‘สุนัขรับใช้’ มาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ในใจก็รู้ชัดว่าการโต้ตอบเช่นนี้อาจจะกระตุ้นให้ศัตรูโกรธ ทว่าความเสียหายที่มีต่อศัตรูน้อยมาก

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำหรับเขา จะไปเข่นฆ่าที่สำนักศึกษาควันวายุอีกครั้งหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้

เขาไม่รีบจริงๆ

ศัตรูยิ่งนั่งไม่ติด ยิ่งโกรธเดือดดาล ยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ สถานการณ์ก็ยิ่งได้เปรียบสำหรับเขา!

หืม?

ตอนที่กำลังเดินเล่นอยู่ ดวงตาของหลินสวินหดรัดเล็กน้อย เหมือนสังเกตเห็นบางอย่าง

ก็เป็นตอนนี้เองบนถนนที่คึกคักห่างออกไปนั่น เฒ่าชราผมขาวที่สวมชุดดำแขนกว้างคนหนึ่งเคลื่อนสายตามองมายังหลินสวินจากไกลๆ

“ข้าลั่วอวิ๋นซาน” เฒ่าชราชุดดำเอ่ยปาก แม้เงาร่างมากมายขวางอยู่ แต่เสียงของเขากลับดังข้างหูหลินสวินอย่างชัดเจน

สกุลลั่ว!

หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย ก่อนจะคืนสู่ความสงบทันที ในใจรู้ชัดว่าอีกฝ่ายสามารถหาตนเจอได้ เกรงว่าคงเหมือนลั่วหลิงที่เจอตอนอยู่ในแดนใหญ่พันศึก ใช้วิชาลับหรือสมบัติบางอย่างที่สามารถสัมผัสพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินได้

“หาที่คุยกันหน่อยได้หรือไม่ วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้ามาคนเดียว”

ลั่วอวิ๋นซานสีหน้าราบเรียบ ส่งเสียงเชิญ

หลินสวินหมุนตัวจากไป

ลั่วอวิ๋นซานขมวดคิ้วกล่าวว่า “สหายน้อยแค่นี้ก็ไม่ไว้หน้ากันหรือ”

“เจ้าอยากคุยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไปนอกเมือง”

หลินสวินพูดโดยไม่หันหลังกลับด้วยซ้ำ

นอกเมืองหรือ

ลั่วอวิ๋นซานประหลาดใจมาก แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เข้าใจ เมืองพยับวายุนี้ถึงอย่างไรก็คนเยอะเกินไป หากเกิดความขัดแย้ง จะต้องทำให้ทั้งเมืองแตกตื่นในทันทีอย่างแน่นอน

นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อหลินสวินอย่างแน่นอน

ตรงกันข้าม การออกจากเมืองมายังพื้นที่ห่างไกลก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้แล้ว

‘เพียงแต่เจ้าหมอนี่ไม่กังวลว่าข้าจะลงมือกะทันหันหรือ’

ลั่วอวิ๋นซานสายตาวูบไหว ทันใดนั้นพลันตอบรับอย่างรวดเร็ว ตามหลินสวินออกนอกเมืองไป

กลางภูผาธารากว้างใหญ่ หลินสวินหยุดที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง หันมองลั่วอวิ๋นซานที่ตามมาติดๆ แล้วเอ่ยพูดเรียบๆ “ตอนนี้เจ้าตัดสินใจรหรือยัง ว่าจะลงมือโดยตรงหรือจะคุยกันก่อน”

ลั่วอวิ๋นซานเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ย “หากคุยกันรู้เรื่องก็ไม่จำเป็นต้องลงมือ ”

หลินสวินขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง กล่าวว่า “อยากคุยอะไร”

ลั่วอวิ๋นซานเองก็ตรงไปตรงมามาก จ้องหลินสวินแล้วเอ่ยพูดตามตรง “คุยเรื่องของเจ้าและตระกูลลั่วสักหน่อย บางทีความแค้นครั้งนี้อาจสามารถจัดการได้ด้วยวิธีอื่น”

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด