Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2620 แหย่เท้าเข้ามา

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2620 แหย่เท้าเข้ามา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฒ่าคุนเดินออกมาข้างหน้า ตบไหล่ลูกสาวเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป”

หวั่นโหรวเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ ข้าแค่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านอยู่บ้าง…”

เฒ่าคุนหัวเราะเบิกบานเอ่ยว่า “ถึงแม้จะเจ็บหนัก แต่ก็ยังเอาชีวิตข้าไปไม่ได้”

“ใต้เท้า มีแขกมาหาขอรับ”

จู่ๆ นอกเรือนก็มีเสียงเคารพนบนอบของข้ารับใช้ดังขึ้น

ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้แล้ว ใครมาเยี่ยมกัน

ไม่รอให้เฒ่าคุนไตร่ตรอง ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของเรือนก็ถูกผลักออก จากนั้นเงาร่างสูงผอมร่างหนึ่งก็สาวเท้าเข้ามา

คนผู้นี้เป็นชายน่าเกรงขามที่พลานุภาพแกร่งกล้าผู้หนึ่ง เพิ่งเข้ามาก็ยิ้มเอ่ยว่า “เฒ่าคุน มาเยี่ยมดึกๆ ดื่นๆ เจ้าไม่ว่าอะไรข้ากระมัง”

เฒ่าคุนเผยรอยยิ้มกระตือรือร้น “สหายยุทธ์มาเยือน ข้าดีใจยิ่งนัก จะกล้ามีความคิดตำหนิได้อย่างไร เชิญเข้ามาได้เลย”

หวั่นโหรวที่อยู่ข้างๆ มุ่นคิ้วอย่างยากสังเกต จำฐานะของผู้มาเยือนได้

เหิงเทียนเซี่ยว!

ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิรุ่นอาวุโสผู้หนึ่งในเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหิง

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ ข้ามาคราวนี้มีธุระเพียงอย่างเดียว”

ขณะที่เหิงเทียนเซี่ยวพูดก็หันหน้าไปนอกเรือนแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็เข้ามาให้หมดเถอะ”

ทันใดนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มีชายหญิงรุ่นเยาว์สี่ห้าคนนำหน้า แต่ละคนแต่งกายงามหรู สง่างามผิดธรรมดา แววตาเจือแววเย่อหยิ่งอวดดีอยู่จางๆ

และมีผู้คุ้มกันสิบกว่าคนล้อมอยู่ข้างกายพวกเขาเหมือนดาวล้อมเดือน

เฒ่าคุนอึ้งไป “คนพวกนี้คือ”

“พวกนี้ล้วนเป็นลูกหลานตระกูลข้า”

เหิงเทียนเซี่ยวยกมือขึ้นชี้ชายหญิงสี่ห้าคนนั้น เอ่ยว่า “ข้าคิดจะให้พวกเขาไปเปิดหูเปิดตาที่ทะเลประหัตมารสักครั้ง ได้ฝึกฝนสักหน่อยจะดีที่สุด ต้องมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณของพวกเขามากแน่ๆ”

เฒ่าคุนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เอ่ยว่า “สหายยุทธ์ ทะเลประหัตมารอันตรายปานไหน…”

ยังไม่ทันรอให้พูดจบเหิงเทียนเซี่ยวก็โบกมือตัดบท กล่าวว่า “เฒ่าคุน ไม่ใช่ยังมีเจ้าอยู่หรอกหรือ ดังคำกล่าวที่ว่าหยกไม่ได้รับการเจียระไนก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ แม้มรรควิถีของคนหนุ่มสาวพวกนี้จะล้ำเลิศ พรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่กลับขาดการขัดเกลาด้วยอันตรายที่แท้จริง เจ้าแค่พาพวกเขาไปสักรอบ ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาถึงอันตรายในทะเลประหัตมารแห่งนั้นก็พอ”

เฒ่าคุนยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ ท่านคงไม่รู้ คราวนี้ผู้ที่นำขบวนไปทะเลประหัตมารก็คือลูกสาวของข้า ด้วยความสามารถของนาง หากเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น เช่นนั้นผลลัพธ์ข้าเองก็รับไว้ไม่ไหว”

ชายหนุ่มชุดทองหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งเอ่ยเย็นชาว่า “ผู้อาวุโสผู้นี้ เจ้าดูถูกพวกเราหรือ”

คนตระกูลเหิงคนอื่นๆ ก็เผยสีหน้าไม่พอใจกันหมด

เฒ่าคุนด่าทออยู่ในใจ แต่ปากกลับรีบยิ้มประจบ “ข้าน้อยไม่กล้า เพียงแต่…”

“พอแล้ว เรื่องนี้ก็เอาตามนี้ล่ะ” เหิงเทียนเซี่ยวโบกมือช่วยเฒ่าคุนตัดสินใจ

เฒ่าคุนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง สักพักจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าน้อยก็ขอพูดจาไม่น่าฟังไว้ก่อนว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างทางนี้ ถึงตอนนั้นสหายยุทธ์ก็อย่าโทษข้าแล้วกัน”

เหิงเทียนเซี่ยวหัวเราะร่า สายตากวาดมองคนหนุ่มสาวเหล่านั้นแล้วพูดว่า “เห็นหรือยัง ในสายตาของเฒ่าคุน พวกเจ้าก็เป็นภาระน่ากังวลใจกลุ่มหนึ่ง! พวกเจ้าจำไว้ ถ้าอยากให้คนอื่นให้ความสำคัญ ตลอดทางนี้จะต้องแสดงความสามารถดีๆ อย่าให้ตระกูลเหิงขายหน้า!”

ขณะพูดเขาก็ทอดสายตามามองเฒ่าคุนอีก เอ่ยว่า “เจ้าวางใจก็พอ เด็กๆ ตระกูลเหิงของข้าแต่ละคนความสามารถไม่ธรรมดาทั้งนั้น ถ้าพบเหตุไม่คาดฝันอะไรเข้า ข้าก็ไม่อาจกล่าวโทษเจ้าได้”

เฒ่าคุนหัวเราะหยันอยู่ในใจ พูดเสียน่าฟัง แต่พอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เกรงว่าเจ้าเฒ่าอย่างเจ้าต้องผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าแน่!

สายตาเหิงเทียนเซี่ยวมองผู้คุ้มกันเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าดูผู้คุ้มกันพวกนี้สิ เป็นผู้ติดตามอาวุโสที่ภักดีกับตระกูลเหิงของข้าทั้งนั้น คนไหนไม่มีมรรควิถีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิบ้าง มีพวกเขาอยู่ ขอเพียงไม่พบกับผู้มากความสามารถระดับอมตะเข้า สามารถสลายอันตรายทั้งปวงได้”

เฒ่าคุนเองก็สังเกตเห็นว่าผู้คุ้มกันสิบกว่าคนนั้นไม่ธรรมดา แต่ละคนต่างมีพลังปราณระดับบรรพจารย์ กลิ่นอายบนตัวบางคนถึงกับแข็งแกร่งกว่าเหิงเทียนเซี่ยวเสียด้วยซ้ำ!

ทำไมผู้ที่แข็งแกร่งปานนี้ถึงตกเป็นผู้คุ้มกันข้างกายคนหนุ่มสาวพวกนี้ได้

เรื่องนี้ดูเหมือนน่าขัน แต่ความจริงแล้วในเผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่ของน่านฟ้าที่หกต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง

เพราะบนโลกนี้ คนที่หมายใจเข้าสวามิภักดิ์กับเผ่าจักรพรรดิอมตะนั้นมีมาก!

อย่างเนี่ยชิงหรงกับหลิ่งชิงเสวี่ยต่างเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่สมัยอยู่ที่น่านฟ้าที่หนึ่งก็ไม่ได้ต้องการให้ตระกูลเฮ่อกับตระกูลหงนำทางมาฝึกปราณที่น่านฟ้าที่หกแห่งนี้หรอกหรือ

ดังนั้น ต่อให้ดูเหมือนพลังปราณเท่าๆ กัน แต่คนตระกูลเหิงอย่างเหิงเทียนเซี่ยวกลับมีสถานะสูงกว่าผู้ติดตามอาวุโสที่สวามิภักดิ์กับตระกูลเหิงเหล่านั้นอย่างเทียบไม่ติด

ในที่สุดเฒ่าคุนก็ได้แต่ประนีประนอม ยอมรับปากไป

พวกเหิงเทียนเซี่ยวก็ไม่ได้อยู่ต่ออีก ไม่นานนักก็จากไป

เมื่อในเรือนเหลือเพียงเฒ่าคุนกับหวั่นโหรว หวั่นโหรวทนไม่ได้อีกต่อไป พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ การเคลื่อนไหวคราวนี้ให้สืออวี่นั่นเพิ่มเข้ามาก็เต็มขีดจำกัดที่ข้าทนได้แล้ว ตอนนี้จู่ๆ ตระกูลเหิงก็ยัดคนเข้ามาเยอะขนาดนี้ ข้า…ข้าจะไปดูแลได้อย่างไร”

เฒ่าคุนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ประกายเย็นชาไหวเคลื่อนในดวงตา เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องดูแลพวกเขา แค่พาพวกเขาไปเคลื่อนไหวด้วยกันก็พอ ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นพ่อย่อมมีวิธีจัดการกับการกล่าวโทษของตระกูลเหิง”

ทันใดนั้น เขาก็นิ่วหน้าเอ่ย “แต่เจ้ายังต้องระวังไว้ก่อนเสียหน่อย ดึกดื่นมืดค่ำแบบนี้ เขาเหิงเทียนเซี่ยวกลับพาคนกลุ่มหนึ่งมาขอไปทะเลประหัตมารเอาตอนนี้ เรื่องนี้ออกจะผิดปกติ”

ด้วยคำเตือนนี้ หวั่นโหรวก็รับรู้ได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าตระกูลเหิงมาคราวนี้จะมีเป้าหมายอื่นไหม”

เฒ่าคุนส่ายหัว “ไม่ พวกเขาไม่มีทางพุ่งเป้าพวกเรา แต่เป็นไปได้สูงยิ่งที่พวกเขาไปทะเลประหัตมารคราวนี้ จะไม่ได้ไปเพื่อขัดเกลาคนหนุ่มสาวพวกนั้นแน่ๆ แต่มีเป้าหมายอื่น!”

“เป้าหมายอื่น…” เนตรกระจ่างของหวั่นโหรวฉายวาบ

“แต่เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ให้คิดเสียว่าเป็นคนนำทางคนหนึ่งก็พอ”

เฒ่าคุนเอ่ยกำชับ

หวั่นโหรวพยักหน้า

……

สามวันผ่านไป

ยานสำเภาลำหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศหน้าหอการค้าเก้าใบ บนเสากระโดงเรือมีสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของหอการค้าเก้าใบลอยอยู่…

ใบไม้สีเขียวหยกเก้าใบกางเรียง ก่อตัวเป็นวงกลมวงหนึ่ง

‘เก้าเป็นยอดตัวเลข เก้าเก้าคืนสู่หนึ่ง มหามรรคบริบูรณ์ สัญลักษณ์นี้ความคิดล้ำเลิศจริง…’

หลินสวินยืนอยู่ด้านหนึ่ง กำลังประเมินยานสำเภาลำนั้น

เผิงเทียนเสียงกลับไปตระกูลเขาตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว เรื่องสังหารอวี่ถิงต้องทำให้อวิ๋นมู่เจอโต้กลับแน่ เรื่องนี้เผิงเทียนเสียงจำเป็นต้องปรึกษากับตระกูล

ไม่ไกลนักหวั่นโหรวผู้มีรูปร่างดีเลิศยังคงแต่งกายชุดขาวทั้งตัว นางมองดูหลินสวินที่ยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง นิ่งคิดแล้วก็ยกมือกวักเรียกสาวใช้คนหนึ่ง

“รุ่ยเยวี่ย ตั้งแต่นี้ไป เจ้ารับใช้ข้างกายคุณชายสืออวี่เสีย จำไว้ อย่าละเลย” หวั่นโหรวเอ่ยกำชับ

สาวใช้ผู้นั้นรูปลักษณ์พริ้มเพรา แต่งกายชุดกระโปรงยาวสีรากบัวที่ตัดเย็บพอดีตัว ตัวขาวเปล่งปลั่ง ได้ยินดังนั้นก็เม้มปากอมยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา “น้อมรับคำสั่งคุณหนู”

หวั่นโหรวสื่อจิตเอ่ย ‘จับตามองเขาให้ข้าดีๆ ถ้าเขาเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรต้องบอกข้าทันที”

รุ่ยเยวี่ยกะพริบตา แล้วขานรับ

ตอนนี้หลินสวินเห็นคนตระกูลเหิงพวกนั้นแล้ว

ความจริงแล้วไม่อยากสังเกตคงยาก กลุ่มพวกเขายิ่งใหญ่เกรียงไกรน รวมผู้คุ้มกันเข้าไปก็มีเกือบยี่สิบคน สะดุดตานัก

‘คุณชาย คนเหล่านี้คือคนตระกูลเหิง คราวนี้จะไปทะเลประหัตมารด้วยกันกับพวกเรา ท่านดูชายหนุ่มชุดทองที่นำหน้ามาผู้นั้น มีนามว่าเหิงซิงไห่ ว่ากันว่าเป็นบุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลเหิง สองชายหนึ่งหญิงที่อยู่ข้างกายเขาได้แก่ญาติผู้น้องชายสองคนกับญาติผู้น้องหญิง…’

รุ่ยเยวี่ยมาตรงหน้าหลินสวิน สื่อจิตแนะนำ เสียงดังกังวานน่าฟังจริงๆ

ตระกูลเหิง!

ส่วนลึกในดวงตาดำหลินสวินมีแววประหลาดฉายวาบ

บรรพจารย์จักรพรรดิที่เขาสังหารเป็นคนแรกในแดนใหญ่พันศึกก็คือเหิงเทียนซั่วจากตระกูลเหิง แล้วเขากับตระกูลเหิงก็ผูกแค้นกันตั้งแต่ตอนนั้นเช่นกัน กระทั่งเข้าโลกยอดนิรันดร์หลายปีมานี้ ในบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ไล่ฆ่าเขาเหล่านั้น ก็จะมีกำลังจากตระกูลเหิงอยู่ตลอด

“คุณหนูหวั่นโหรว ออกเดินทางได้หรือยัง” เหิงซิงไห่ที่นำหน้าเอ่ยเสียงกังวาน เขาสวมชุดทองทั้งชุด ร่างกายกำยำ องอาจเกินคน แววตาเผยความดื้อรั้น

“รอสักครู่”

ขณะที่พูด หวั่นโหรวก็หันไปมองเฒ่าคุนที่ยืนอยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ คนมากันครบแล้ว ท่านกลับไปเถอะ”

เฒ่าคุนพยักหน้า พูดกับคนรับใช้ชราที่อยู่ข้างกายผู้หนึ่งว่า “เจ้าเฒ่า ระหว่างทางนี้เจ้าต้องระวังให้มาก”

คนรับใช้ชราผู้นั้นผมบาง ผอมแห้งเห็นกระดูก รอยแผลเป็นน่าตะลึงสามรอยลากตรงแน่วลงมาจากหน้าผาก อย่างกับตะขาบดุร้ายสามตัว น่าประหวั่นพรั่นพรึง

เขาเสียงแหบต่ำ “นายท่าน ข้าจะดูแลคุณหนูให้ดี”

“ลุงเจียว พวกเราไปเถอะ”

หวั่นโหรวมองดูคนรับใช้ชราปราดหนึ่งแล้วก็มองเฒ่าคุน จากนั้นก็หันตัวเดินไปไกล

“ทุกท่าน ออกเดินทาง!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ยานสำเภาลำนั้นก็ทะยานขึ้นฟ้า รับเอาทุกคนลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า ค่อยๆ บดขยี้ชั้นเมฆออกไปไกลแล้วหายลับไป

‘คราวนี้จะเกิดเรื่องไม่ได้เด็ดขาด…’

เฒ่าคุนมองส่งยานสำเภาลำนั้นหายลับไป นึกถึงเรื่องที่หวั่นโหรวกำลังจะไปทำนั้น ใจก็ออกจะเป็นห่วงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

สิบวันผ่านไป

ยานสำเภาของหอการค้าเก้าใบเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นเทพลมโลหิตได้อย่างราบรื่น

หากไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน อีกเจ็ดวันก็จะเหยียบย่างบนเส้นทางสู่ทะเลประหัตมาร นั่นเป็นเส้นทางสายยาวที่เปี่ยมด้วยอันตรายสายหนึ่ง

แต่มีหวั่นโหรวบัญชาการและนำทาง หลินสวินก็ไม่ได้กังวลว่าจะหลงทางแล้ว

เทียบกับยานข้ามแดนที่ท่องไปในฟ้าดารา ยานสำเภาของหอการค้าเก้าใบลำนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็เรียกได้เทียบได้กับวังอันใหญ่โตโอฬารยิ่งวังหนึ่ง ภายในยานถูกเปิดเป็นมิติซ้อนทับมากมาย ปกคลุมด้วยพลังผนึกเป็นชั้นๆ นี่เป็นที่พักของพวกหลินสวิน

ในห้องที่ตกแต่งอย่างงดงามเป็นระเบียบห้องหนึ่งในนั้น

หวั่นโหรวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ วางบรรทัดหยกในมือลง แล้วนวดหว่างคิ้ว เอ่ยถามว่า

“ลุงเจียว คุณชายสืออวี่ผู้นั้นยังอยู่ในห้องตลอดไหม”

“อยู่ขอรับ” ไม่ไกลนัก ลุงเจียว คนรับใช้ชราที่ผอมแห้งเห็นกระดูกเอ่ยเสียงต่ำ

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับเชื่อฟังและให้ความร่วมมือเช่นนี้” หวั่นโหรวออกจะประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

ในความคาดหมายของนาง คนที่คลุกคลีกับคุณชายชั้นสูงอย่างเผิงเทียนเสียงจะต้องปรนนิบัติยากแน่ๆ นางถึงกับเตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้าหลินสวินกล้าทำอะไรนอกลู่นอกทาง ก็จะถือโอกาสอัดเขาดแรงๆ สักยก

จะคิดได้อย่างไรว่าตั้งแต่ชั่วขณะที่เหยียบลงบนเรือนั้น หลินสวินก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่เคยสร้างความวุ่นวายบนยานสำเภาแต่อย่างใด

เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของหวั่นโหรว

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด