Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2644 ลั่วเฟิง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2644 ลั่วเฟิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

หลินสวินกับลั่วเสวียนฝูออกจากถ้ำสวรรค์ปรกอุดมไปพร้อมกันโดยมีลู่ป๋อหยาคอยส่ง

บนทะเลประหัตมารที่พายุอสนีโหมกระหน่ำ

ยานสมบัติลำหนึ่งบรรทุกหลินสวินกับลั่วเสวียนฝูโผนทะยานเต็มอัตรา

บนยานหลินสวินร่ำสุราพลางหวนนึกถึงประสบการณ์ช่วงนี้

ตั้งแต่ตอนที่มาถึงทะเลประหัตมารพร้อมหวั่นโหรวแห่งหอการค้าเก้าใบ จวบจนตอนนี้ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว

ในช่วงนี้เกิดเรื่องมากมาย

อย่างเช่นช่วยหวั่นโหรวกำจัดหนอนบ่อนไส้เจียวไท่หัง ฆ่าจอมมรรคมารแดง ช่วยป๋ออันน้องชายของหวั่นโหรวมาได้อย่างราบรื่น

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้รับ ‘กระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุน’ ที่ประทับนัยเร้นลับอมตะดั้งเดิมมา

กระทั่งมาถึงเกาะกาฬทักษิณ ยามเข้าไปในถ้ำสวรรค์ปรกอุดม สำหรับหลินสวินแล้วพูดได้ว่าเต็มไปด้วยผลประโยชน์

เวลานี้เขาถึงรู้ว่าหลายปีนี้ท่านลู่เตรียมพร้อมเพื่อการเจอกันครั้งนี้มาตลอด!

ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งหน้าไปยังเขตลมสนามแม่เหล็กเพื่อรวบรวมเหล็กเทพพลังแม่เหล็กแสนชั่ง หรือการสลายกระบวนผนึกเก้าชั้นเพื่อปลุกโลงนิรันดร์จากการหลับใหล

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านลู่เตรียมให้ตนโดยเฉพาะ!

อย่างการรวบรวมเหล็กเทพพลังแม่เหล็ก สลายกระบวนผนึกเก้าชั้น ก็เพื่อให้ตนควบรวมกฎเกณฑ์เวลาออกมาจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้ในวันหน้า

ส่วนโลงนิรันดร์ที่ถูกพลังสายเลือดของตนปลุกขึ้นมา ก็เป็นการเตรียมพร้อมให้ตนหลังจากก้าวสู่มรรคาอมตะเช่นกัน

โดยเฉพาะเรื่องที่คุยกับท่านลู่ยามพบหน้า ก็คลายข้อสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจมาหลายปีให้หลินสวิน!

แต่ในใจหลินสวินก็กังวลอยู่บ้างเช่นกัน

เคราะห์มรรคห้าเสื่อมบนตัวท่านลู่ยังอยู่ ทุกร้อยปีก็จะปะทุครั้งหนึ่ง ภายหน้าหากเขาไม่อาจต้านด่านเคราะห์นี้ได้…

หลินสวินไม่กล้าคิดต่อ

เส้นทางออกจากทะเลประหัตมารราบเรียบไร้คลื่นลม ผ่านไปเพียงเจ็ดวัน หลินสวินกับลั่วเสวียนฝูก็มาถึงเขตแคว้นเทพลมโลหิต

จากนั้นยานสมบัติก็พาทั้งสองมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ

นับตั้งแต่ตระกูลลั่วถูกขับไล่ออกจากน่านฟ้าที่เจ็ด หลายปีมานี้ก็ตั้งอาณาเขตอยู่ในเขต ‘แคว้นเทพวารีนภา’ ของน่านฟ้าที่หกมาตลอด

นี่คือเขตแคว้นที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง

เผ่าจักรพรรดิอมตะที่ตั้งอาณาเขตอยู่ในนั้น ไม่ได้มีเพียงตระกูลลั่ว ยังมีเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลอื่นอีกสองตระกูล

สถานการณ์ของตระกูลลั่วในตอนนี้ก็ไม่ดีนัก

ตามความเข้าใจของหลินสวิน น่านฟ้าที่หกมีแคว้นเทพทั้งหมดยี่สิบสี่แคว้น เผ่าจักรพรรดิอมตะชั้นยอดบางส่วนถึงขั้นครองแคว้นเทพได้สองถึงสามแคว้น

อย่างตระกูลเผิงที่เผิงเทียนเสียงอยู่ก็ครองแคว้นเทพนภาคราม รากฐานพลังและอานุภาพเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง

เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว เดิมแคว้นเทพวารีนภาก็เป็นสถานที่ห่างไกล ทั้งตระกูลลั่วยังต้องอยู่ร่วมกับเผ่าจักรพรรดิอมตะอื่นอีกสองตระกูล

แค่คิดก็รู้แล้วว่าตระกูลลั่วในตอนนี้ตกต่ำถึงขั้นไหน!

ผ่านไปหนึ่งเดือน

แคว้นเทพวารีนภา เมืองหลิวแดง

รัตติกาลดุจสีหมึก หลินสวินหยุดพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ลั่วเสวียนฝูจากไปอย่างรีบเร่ง มุ่งหน้าไปสืบข่าวแล้ว

หลายปีนี้เขาอยู่ถ้ำสวรรค์ปรกอุดมบนทะเลประหัตมารมาโดยตลอด ไม่รู้สถานการณ์ในช่วงนี้ของตระกูลลั่วเท่าไรนัก

แม้ว่าเขาหวังจะติดตามหลินสวินไปตระกูลลั่วเพื่อแก้แค้นหาใดเปรียบ แต่เรื่องเร่งด่วนคือรวบรวมข่าวสารให้เพียงพอ

ในโรงเตี๊ยมหลินสวินกำลังทำสมาธิ หยั่งรู้รอยมรรคอมตะดั้งเดิมตามธรรมชาติบนกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุน

ใจสงบท่ามกลางวิกฤติ

การมุ่งหน้าไปแก้แค้นตระกูลลั่วคือหนึ่งในสิ่งที่หลินสวินยึดมั่นมากที่สุดตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ถึงขั้นเกือบกลายเป็นด่านมาร

แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้

เขาต้องรู้ข่าวและเรื่องราวมากกว่านี้ ถึงจะทำการแก้แค้นครั้งนี้ให้สำเร็จได้ในคราเดียว ระบายความแค้นที่สะสมมาหลายปีออกไปจากส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจ!

อาณาเขตของตระกูลลั่วอยู่บน ‘เขาเทพหลังมังกร’ ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นเทพวารีนภา ที่นั่นเป็นเขาแดนมงคลอันดับหนึ่งอันดับสองของแคว้นเทพวารีนภา

หากออกเดินทางจากเมืองหลิวแดง ภายในสามวันก็จะถึงอาณาเขตที่เขาเทพหลังมังกรตั้งอยู่!

ความจริงเมืองหลิวแดงเป็นหนึ่งในเมืองที่ตระกูลลั่วดูแลแล้ว ถือเป็นอาณาเขตของตระกูลลั่ว

กระทั่งผ่านไปสองวัน ลั่วเสวียนฝูจึงกลับมาอย่างรีบเร่ง

“ท่านอา นี่คือข่าวที่ข้าสืบมาได้ขอรับ”

ลั่วเสวียนฝูส่งม้วนหยกม้วนหนึ่งให้หลินสวินทันที

นับตามศักดิ์แล้วหลินสวินอาวุโสกว่าเขา เรียกท่านอาก็ถือว่าสมควร

หลินสวินเปิดม้วนหยกดูเล็กน้อยก็เข้าใจ

เมื่อหลายปีก่อนนับตั้งแต่ระดับอมตะอย่างลั่วอวิ๋นซานถูกหลินสวินสังหารไปในน่านฟ้าที่ห้า ทั้งตระกูลลั่วล้วนสั่นสะท้าน

สูญเสียระดับอมตะคนหนึ่ง ก็เท่ากับทำให้ตระกูลลั่วสูญเสียหนึ่งในเสาหลักไป!

นั่นคือความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ต่อให้มีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิมากแค่ไหนก็ไม่อาจชดเชย!

ภายใต้การโจมตีอย่างหนักหน่วงนี้ สถานการณ์ของตระกูลลั่วก็ไม่อาจมองในแง่ดีได้ยิ่งกว่าเดิม

ต่อให้อยู่ในเขตแคว้นเทพวารีนภานี้ ช่วงนี้เผ่าจักรพรรดิอมตะอีกสองตระกูลที่อยู่ร่วมกับตระกูลลั่วก็ทยอยเคลื่อนไหว รุกรานอาณาเขตบางส่วนที่เดิมเป็นของตระกูลลั่วไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ทำให้ตระกูลลั่วทั้งตระหนกทั้งโกรธแค้น ทั้งรู้สึกจนปัญญา

อานุภาพสู้เขาไม่ได้ จะทำอย่างไรได้เล่า

แต่หลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาวางม้วนหยกลงพลางเอ่ยถาม “หลายปีนี้ข้างกายเผยหรูนั่นมีข้ารับใช้ชราแค่สองคนหรือ”

ลั่วเสวียนฝูพยักหน้า “นับตั้งแต่คนต่ำช้านี่เป็นคู่บำเพ็ญของลั่วฉง ข้ารับใช้ชราสองคนนั้นก็อยู่ที่ตระกูลลั่วมาตลอด บอกว่าเป็นข้ารับใช้ แต่กลับวางท่าใหญ่โต หลายปีนี้เสพสุขกับบรรณาการทั้งหมดของตระกูลลั่วตลอด”

น้ำเสียงแฝงความเกลียดชัง

ลั่วเสวียนฝูมีฐานะเป็นทายาทของตระกูลลั่วสายหลัก มีเหตุผลเพียงพอให้แค้นเผยหรูกับคนข้างกายนาง

“ลั่วอวิ๋นเหอล่ะ หลายปีนี้เขาปิดด่านมาตลอดหรือ” หลินสวินถามอีก

ลั่วเสวียนฝูกล่าว “เจ้าเฒ่านี่ปิดด่านมาสามพันปีแล้ว ได้ยินว่ากำลังหยั่งรู้วิชาลับหนึ่ง ช่วงไม่กี่ปีมานี้ต่อให้ข่าวการตายของลั่วอวิ๋นซานส่งกลับมายังตระกูลลั่ว ก็ไม่อาจทำให้เขาก้าวออกจากการปิดด่านได้”

หลินสวินครุ่นคิด “เจ้าว่ามีวิธีล่อลั่วอวิ๋นเหอออกมาจากตระกูลลั่วหรือไม่”

ลั่วเสวียนฝูส่ายหัว “ยากเกินไปขอรับ ฐานะของเขาในตระกูลลั่วสายรองโดดเด่นหาใดเปรียบ นับตามศักดิ์แล้วยังเป็นลุงของลั่วฉง เรื่องทั่วไปไม่มีทางสะเทือนเขาได้…”

เขาพูดถึงตรงนี้แล้วคิดอะไรออก นัยน์ตาวาววาบ “จริงสิ ข้ากลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากจับตัวคนผู้หนึ่งได้ บางทีอาจทำให้ลั่วอวิ๋นเหอนั่งนอนไม่เป็นสุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ!”

“ใครหรือ”

“ลั่วเฟิง!”

แววตาลั่วเสวียนฝูแฝงความเกลียดชัง “เขาคือหลานสายตรงของลั่วฉง ลั่วฉงเกือบใช้ทรัพย์สินที่ตระกูลลั่วสายหลักสั่งสมมาหลายปีไปจนหมดเพื่อทำให้เขาบรรลุมกุฎบรรพจารย์ ทำให้การฝึกปราณของคนในตระกูลสายหลักได้รับผลกระทบอย่างมาก”

“หากมีเพียงแค่นี้ก็ช่างเถิด แต่ลั่วเฟิงนี่มองคนตระกูลสายหลักเป็นศัตรูอย่างยิ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คนตระกูลสายหลักนับไม่ถ้วนถูกลั่วเฟิงกำราบและหยามเหยียด ที่น่าชังยิ่งกว่าคือญาติผู้น้องสองคนของข้า ยังถูกเจ้าเดรัจฉานนี่ส่งไปเป็นของกำนัลให้ทายาทคนหนึ่งของตระกูลเหยา!”

เขาพูดถึงตรงนี้แล้วแค้นจนกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำ

ตระกูลเหยา ก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะหนึ่งในสองตระกูลที่อยู่ร่วมกับตระกูลลั่วในแคว้นเทพวารีนภานี้

ส่วนอีกตระกูลคือตระกูลหลิง

สรุปแล้วตระกูลลั่ว ตระกูลเหยา ตระกูลหลิง ก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลในแคว้นเทพวารีนภา

หลินสวินกล่าวปลอบลั่วเสวียนฝูด้วยเสียงแผ่วเบาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม “เมื่อจับตัวลั่วเฟิงแล้วจะบีบให้ลั่วอวิ๋นเหอออกมาจากตระกูลลั่วได้หรือ”

“มีหวังมากขอรับ”

ลั่วเสวียนฝูก็ไม่กล้ายืนยัน “ข้ารู้แค่ลั่วอวิ๋นเหอให้ความสำคัญกับลั่วเฟิงหาใดเปรียบ ฝากความหวังว่าตระกูลลั่วจะเด่นผงาดอีกครั้งไว้กับลั่วเฟิง แม้แต่ตอนที่ลั่วเฟิงทะลวงระดับมกุฎบรรพจารย์ ลั่วอวิ๋นเหอก็เฝ้าคุ้มครองอยู่ด้านข้างโดยตลอด ทุ่มเทเลือดเนื้อและกำลังไปมาก”

หลินสวินพยักหน้าพลางกล่าว “หากจับตัวลั่วเฟิงนี่ได้ ย่อมนำมาข่มขู่ได้จริงๆ เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้คนผู้นี้อยู่ที่ไหน”

ลั่วเสวียนฝูกล่าวอย่างรวดเร็ว “งานชุมนุมถกมรรคที่ทะเลสาบเมฆาหยกขอรับ!”

ทะเลสาบเมฆาหยก

โบราณสถานเลื่องชื่อแห่งหนึ่งที่มีจำนวนแค่นับนิ้วได้ในเขตแคว้นเทพวารีนภา

ทะเลสาบนี้กว้างใหญ่ไพศาล คลื่นโถมโอฬาร มีดอกบัวเพลิงแดงชาดดุจแสงสนธยาเบ่งบานตลอดปีประหนึ่งแดนเซียน

ช่วงนี้ทะเลสาบเมฆาหยกครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยงานชุมนุมถกมรรคในรอบพันปีกำลังเปิดฉากบนทะเลสาบเมฆาหยก

หนุ่มสาวมากความสามารถนับไม่ถ้วนในแคว้นเทพวารีนภาหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศโดยไม่ขาดสาย ถกมรรคแลกเปลี่ยนความรู้บนทะเลสาบเมฆาหยก ดึงดูดความสนใจทั่วแคว้นเทพวารีนภา

นี่เป็นงานใหญ่ครั้งหนึ่งจริงๆ

ทุกพันปีเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างลั่ว เหยา หลิงจะผลัดกันจัดงาน

โดยทั่วไปหนุ่มสาวมากความสามารถที่เข้าร่วมงานชุมนุม ขอเพียงมีความสามารถโดดเด่นในการแลกเปลี่ยนความรู้บนลานถกมรรค ก็เป็นไปได้สูงว่าจะถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้คัดเลือก จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือน ‘มัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร’

ไม่ว่าอย่างไรในสายตาผู้ฝึกปราณของแคว้นเทพวารีนภา เผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้ก็เหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ราวกับนายเหนือหัว

สามารถกราบอาจารย์เข้าไปฝึกในตระกูลใดก็ตาม ล้วนสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเขาได้!

งานชุมนุมถกมรรคในวันนี้ถึงคราวตระกูลลั่วจัดงาน ทั้งข้อกำหนดยังสูงมาก ลั่วเฟิงที่เป็นถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิควบคุมดูแลด้วยตัวเอง

โดยทั่วไปในอดีตจะมีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิมาดูแล

“แม้ว่าตระกูลลั่วในตอนนี้จะสถานการณ์ง่อนแง่น แต่อูฐผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า ในสายตาข้าก็ยังเป็นขุมอำนาจใหญ่ที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อม หากเข้าไปฝึกปราณในตระกูลลั่วได้… ภายหน้ามีหรือจะต้องกังวลว่าไม่อาจทะยานเหนือเมฆ”

“ผู้อาวุโสลั่วเฟิงเป็นถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ วันหน้าต้องเจิดจรัสแน่ ถึงอย่างไรทั่วน่านฟ้าที่หกก็หาตำนานเช่นนี้เจอไม่กี่คน…”

“ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีผู้โชคดีถูกตระกูลลั่วหมายตาเท่าไหร่”

…ริมทะเลสาบเมฆาหยก ทุกหนแห่งล้วนแน่นขนัดด้วยเงาร่างผู้คน มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังต่อเนื่องเป็นระลอก

กลางทะเลสาบเมฆาหยกมีลานมรรคมหึมาแห่งหนึ่งลอยอยู่ เวลานี้บนลานมรรคนั้นกำลังมีการถกมรรคแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดำเนินอยู่

ห่างจากทะเลสาบเมฆาหยกไปไม่ไกลคือแถวที่นั่งซึ่งสร้างจากเมฆมงคลมากมาย

ตอนนี้ลั่วเฟิงก็นั่งอยู่บนที่นั่งตรงกลางนั้น

ศีรษะเขาประดับเกี้ยวสูง สวมชุดพญางูสีเหลืองสว่าง รูปงามหล่อเหลา นัยน์ตาเฉียบคมดุจกระบี่ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มเย็นชาอยู่รางๆ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอารมณ์ ราวกับนายเหนือหัวที่สูงส่งเหนือผู้อื่น

‘ช่างน่าเบื่อจริงๆ’

ลั่วเฟิงถอนหายใจเบาๆ

งานชุมนุมถกมรรคจัดมาเจ็ดวันแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาคัดกรองผู้เข้าแข่งขันร้อยอันดับแรกแล้ว

แต่จากมุมมองของลั่วเฟิง คนที่พอเข้าตามีแค่เจ็ดแปดคนเท่านั้น งานชุมนุมถกมรรคเช่นนี้ทำให้เขาเบื่อหน่ายไม่น้อย

แต่ประโยชน์เพียงอย่างเดียวอาจจะเป็น ในงานชุมนุมถกมรรคนี้เขาคือศูนย์รวมสายตามหาชน เป็นตำนานที่ได้แต่แหงนมองในสายตาของคนรุ่นเยาว์มากความสามารถนับไม่ถ้วน!

ไม่เพียงเพราะเขาแซ่ลั่ว แต่ด้วยเขาคือมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง

ทั้งเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเพียงคนเดียว ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดหลังจากตระกูลลั่วเข้าสู่น่านฟ้าที่หก!

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด