Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2647 ทะเลอสนีแยกฟ้า

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2647 ทะเลอสนีแยกฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2647 ทะเลอสนีแยกฟ้า

เป็นเผยหรูนั่นเอง

หญิงที่ความเป็นมาลึกลับ ทั้งมีอำนาจเหนือคาดหมาย

กับผู้หญิงคนนี้ เหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลลั่วสายรองนั้นทั้งยำเกรงทั้งต่อต้าน

หากไม่มีนาง ปีนั้นลั่วฉงก็ไม่อาจขึ้นเป็นผู้นำตระกูลลั่ว คนตระกูลสายรองอย่างพวกเขาก็ไม่อาจยึดกุมอำนาจหลักของตระกูลลั่วได้

แต่สิ่งที่นางรับปากเมื่อปีนั้น ถึงตอนนี้กลับไม่เคยทำตามสักอย่าง

ช่วยตระกูลลั่วให้เด่นผงาดขึ้นใหม่อีกครั้งอะไรกัน แค่หวนคืนสู่น่านฟ้าที่เจ็ดยังเชื่อถือไม่ได้เลย

กลับเป็นว่าหลายปีนี้ตระกูลลั่วต้องจ่ายทรัพยากรของตระกูลไปนับไม่ถ้วน เพื่อเลี้ยงนางกับข้ารับใช้ชราสองคนที่อยู่ข้างกาย!

แต่เพื่อรักษาอำนาจที่ผู้หญิงคนนี้มี พวกเขาก็ได้แต่ต้องยอมรับ

“หากข้าไม่มา ใครจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องเล็กน้อยพวกนี้” เผยหรูพูดพลางมาถึงหน้าที่นั่งหลักแล้ว

เมื่อเห็นว่านางกำลังจะนั่งลงบนตำแหน่งของตน แววตาลั่วฉงเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้

แต่ยังดีที่สุดท้ายเผยหรูแค่นั่งลงข้างที่นั่งหลัก

“หากมีฮูหยินคอยช่วย เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” ลั่วฉงยิ้มกล่าว

เขาเหมือนบุคคลสำคัญคนอื่นในตระกูลลั่วสายรอง ทั้งรักทั้งแค้นฮูหยินคนนี้

“ให้ช่วยก็ได้ แต่ต้องยกตำราเทพไร้ขอบเขตให้ข้า” เผยหรูกล่าว “แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าแค่นำไปศึกษาดูหน่อยเท่านั้น ภายหน้าจะคืนให้เจ้าแน่”

ทุกคนมองหน้ากันสบตากัน ในใจพลันขัดแย้งและต่อต้าน

หลายปีนี้เผยหรูเคยยื่นข้อเรียกร้องแบบเดียวกันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ตอนแรกเพียงต้องการห้องโถงมรรคาสวรรค์ กระบี่ศุภโชค โลงนิรันดร์

ลั่วฉงตกปากรับคำ ด้วยสมบัติสามชิ้นนี้ไม่ได้อยู่ในมือเขาแต่แรก รับปากไปก็เป็นแค่สัญญาเปล่า

แต่ช่วงหลายปีมานี้เผยหรูกลับเริ่มคิดอยากได้ดาบเงาแสงกับตำราเทพไร้ขอบเขตแล้ว!

แน่นอนว่าลั่วฉงไม่ยอมรับปาก

เขารู้ดีว่าฮูหยินคนนี้ของตนยอมเป็นคู่บำเพ็ญกับเขาก็เพื่อของพวกนี้

แต่เช่นเดียวกัน เขาก็ต้องการพึ่งพาพลังอำนาจที่นางมี ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็คือต่างฝ่ายต่างไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ลั่วฉงไม่มีทางให้อีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการแน่

ไม่อย่างนั้นเมื่ออีกฝ่ายทำสำเร็จ ความสัมพันธ์แบบต่างฝ่ายต่างไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการของพวกเขาย่อมหายไปแน่ เมื่อไม่มีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์ เผยหรูมีหรือจะยอมอยู่ตระกูลลั่วอีก

แต่เห็นชัดว่าเผยหรูไม่ยินยอม ครั้งนี้เมื่อเห็นลั่วเฟิงประสบเคราะห์ นางจึงยื่นข้อเรียกร้องนี้อีกครั้ง!

ลั่วฉงถอนหายใจยาว “ฮูหยิน หลายปีมานี้ตำราเทพไร้ขอบเขตถูกผนึกอยู่ใน ‘หินเทพต้นกำเนิด’ ของพวกเราตระกูลลั่วมาตลอด เรื่องนี้เจ้าก็รู้ แม้ว่าข้าอยากให้เจ้ายืมก็จนปัญญา”

เผยหรูเผยแววถากถางที่คล้ายมีคล้ายไม่มีพลางกล่าว “เจ้าอยากพูดว่าหากจะเปิดพลังระเบียบบนหินเทพต้นกำเนิด ต้องใช้สายเลือดหุบเหวกลืนกินเป็นสื่อนำใช่หรือไม่”

ลั่วฉงคล้ายไม่ได้ยินแววเหน็บแนมในคำพูด พยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนั้น”

“ดาบเงาแสงนั่นเล่าจะอธิบายอย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าก็บอกว่าสมบัตินี้ถูกผนึกอยู่ในหินเทพต้นกำเนิดไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่กี่ปีก่อนกลับถูกลั่วอวิ๋นซานนำไปด้วย” เผยหรูกล่าวเย็นชา

ลั่วฉงเพิ่งหมายจะพูดอะไร เสียงเฉยชาหนึ่งก็ดังขึ้น

“เรื่องช่วยเฟิงเอ๋อร์ยกให้ข้าจัดการเถอะ” ไม่รู้ว่าเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่นอกเรือนใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาผมเงินทั้งศีรษะ นัยน์ตาเยียบเย็นราวกับดาบ

ผู้อาวุโสอวิ๋นเหอ!

เหล่าคนใหญ่คนโตในที่นั้นล้วนตื่นเต้น เผยสีหน้ายินดี

ผู้มาเยือนคือลั่วอวิ๋นเหอที่ปิดด่านมานานหลายพันปี!

เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว เผยหรูขมวดคิ้ว หยัดร่างขึ้นทันที กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เอาสิ เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”

นางพูดพลางเดินตรงจากไป

กระทั่งนางหายไปจากเรือนใหญ่ ลั่วฉงกับทุกคนในที่นั้นต่างลอบเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ผู้อาวุโส คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะกระทบไปถึงท่าน” ลั่วฉงก้าวมาข้างหน้า เชิญลั่วอวิ๋นเหอเข้าไปในเรือนใหญ่ สีหน้าซับซ้อน

“หากข้าไม่มา ฮูหยินคนนั้นของเจ้าก็คงไม่กลับไปง่ายๆ”

เสียงของลั่วอวิ๋นเหอเยียบเย็น “ลั่วฉง สถานการณ์ของตระกูลลั่วตอนนี้ล่อแหลมอันตรายแล้ว ปัจจุบันพลังระเบียบของตระกูลที่เจ้าครอบครองสามารถจัดการภัยแฝงข้างกายได้ หากเพ้อฝันเรื่องอื่นอีก เกรงว่าตระกูลลั่ว… คงยากจะยืนอยู่ในน่านฟ้าที่หกแล้ว!”

กำจัดภัยแฝงข้างกาย!

ลั่วฉงใจกระตุกวูบ มีหรือจะไม่รู้ว่าลั่วอวิ๋นเหอพูดถึงใคร

เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ข้าจะใคร่ครวญให้ดี”

ลั่วอวิ๋นเหอพยักหน้าพลางเอ่ย “เจรจาขอหนังกับเสือก็ดี ต่างฝ่ายต่างไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการก็ช่าง สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ก็ต้องตัดสินใจแล้ว”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ภายหน้าต่อให้ตระกูลลั่วของพวกเราไม่ได้ความแค่ไหน ขอเพียงบ่มเพาะเฟิงเอ๋อร์ให้เป็นระดับอมตะได้ วันหน้าย่อมพาตระกูลลั่วผงาดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้งแน่!”

เสียงนั้นก้องกังวาน สะท้อนทั่วเรือนใหญ่

ในวันนั้นลั่วอวิ๋นเหอนำเหล่าคนสำคัญระดับบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนและผู้ติดตามอาวุโสของตระกูลลั่ว ออกจากเขาเทพหลังมังกรไปพร้อมกัน

ทะเลอสนีแยกฟ้า

ผืนทะเลอันตรายที่ถูกพายุสายฟ้าปกคลุมมานานปีแห่งหนึ่ง พลังอสนีบาตที่โหมกระหน่ำดุจกระแสน้ำนั้นสามารถฉีกทึ้งห้วงอากาศได้โดยง่าย ชวนประหวั่นเหลือประมาณ

นามว่าแยกฟ้าก็ได้มาด้วยเหตุนี้

บนเกาะสีดำแห่งหนึ่ง อสนีบาตตัดสลับ ไร้ซึ่งต้นไม้ใบหญ้า

สีหน้าของลั่วเสวียนฝูที่เฉยชาไร้ความรู้สึกอยู่เป็นนิจ เวลานี้กลับประหม่าอยู่บ้าง มองออกไปไกลๆ เป็นพักๆ

หลินสวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่ด้านข้างพูดลอยๆ “เจ้าห่วงว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรือ”

ลั่วเสวียนฝูส่ายหัว “ข้าแค่คิดว่าหากกำลังพลของตระกูลลั่วสายรองกล้ามาตามนัดจริง ต้องไม่มีทางส่งลั่วอวิ๋นเหอมาแค่คนเดียวแน่”

หลินสวินยิ้มรับ กล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ถึงตอนนั้นเจ้าแค่หลบไปก็พอ”

ตำราในมือเขาคือสิ่งที่ท่านลู่มอบให้ บันทึกนัยเร้นลับที่เกี่ยวข้องกับการสลักวิญญาณไว้ ทำให้เขาได้รู้แจ้งอย่างลึกซึ้งยามค้นคว้า

เมื่อเห็นเขานิ่งสงบเช่นนี้ ลั่วเสวียนฝูอดกล่าวไม่ได้ “ท่านอา ท่าน… ไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”

หลินสวินยิ้มกล่าว “ทำไมต้องกังวลด้วย”

เขากรำศึกมาจนปัจจุบัน ผ่านการต่อสู้เล็กใหญ่มาไม่รู้กี่ครั้ง ถึงตอนนี้มีหรือจะกังวลเพราะการต่อสู้ที่ใกล้มาเยือนอีก

ลั่วเสวียนฝูอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ

ตอนนี้เองหลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น มองไกลออกไป ก่อนเก็บตำราในมือลงแล้วลุกขึ้นกล่าว “เรื่องสนุกจะเปิดฉากแล้ว เจ้าคิดจะหลบไปหรืออยากดูเรื่องสนุก”

ลั่วเสวียนฝูตัวแข็งทื่อ มองออกไปไกลๆ ก็เห็นอสนีบาตโหมกระหน่ำ น้ำทะเลพลิกตลบ ในความรางเลือนมองเห็นรุ้งเทพมากมายทลายอากาศ พุ่งตะบึงมาทางนี้แต่ไกล

“ข้าจะอยู่สู้กับท่านอา” ลั่วเสวียนฝูสูดหายใจลึกๆ กล่าวอย่างหนักแน่น

“เจ้าน่ะคอยดูเรื่องสนุกเถอะ”

หลินสวินยิ้มพลางส่ายหัว สะบัดมือคราหนึ่ง ทั้งตัวลั่วเสวียนฝูก็ถูกพลังไร้รูปห่อหุ้ม พาเข้าไปอยู่ในกระบวนผนึกแห่งหนึ่งด้านหลังเกาะ

จากนั้นหลินสวินหันหลังกลับ มองห่างออกไป ชายเสื้อพลิ้วไหว นัยน์ตาลุ่มลึกเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นและเฉยชาขึ้นมาช้าๆ

ในที่สุดก็มาแล้วหรือ

ตูม!

ห่างออกไปสายฟ้าคำรามกัมปนาท กระแสอสนีแล่นปราด

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่นำโดยลั่วอวิ๋นเหอเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ แค่อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวก็ซัดอสนีบาตทั่วฟ้านั้นจนแตกซ่านแล้ว!

ลั่วเสวียนฝูที่หลบอยู่ในกระบวนผนึกลมหายใจสะดุด

ระดับอมตะหนึ่งคน!

บรรพจารย์จักรพรรดิสิบเก้าคน!

กระบวนรบเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามสิ้นหวังได้จริงๆ!

เท่านี้ก็มองออกว่าตระกูลลั่วสายรองให้ความสำคัญกับลั่วเฟิงเพียงใด

แต่เมื่อเห็นหลินสวินที่ยืนอยู่บนเกาะคนเดียว พวกลั่วอวิ๋นเหอล้วนอดอึ้งงันอย่างไม่ได้ คนเดียวเนี่ยนะ?

“ทุกท่าน ข้าคนแซ่หลินรอพวกเจ้ามานานแล้ว”

หลินสวินสองมือไพล่หลัง เอ่ยปากราบเรียบ เสียงดังก้องท้องนภา

“เจ้าคือหลินสวิน!”

มีคนตะโกนลั่น หน้าเปลี่ยนสีทันที เรียกตัวเองว่าข้าคนแซ่หลิน ทั้งยังตัวคนเดียว เช่นนั้นก็มีแค่ความเป็นไปได้นี้แล้ว

ลั่วอวิ๋นเหอสีหน้าขรึมลงเช่นกัน เผยความรู้สึกยากจะเชื่อ เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้ามาน่านฟ้าที่หกจริงหรือ!?

ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนคิดว่าขุมอำนาจใหญ่สักแห่งที่จับตัวลั่วเฟิงไปครั้งนี้ ถึงขั้นมีโอกาสสูงว่าจะเป็นตระกูลเหยาหรือตระกูลหลิง

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลินสวิน!

“หลินสวิน เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ลั่วอวิ๋นเหอสงบสติลง

“แน่นอนว่าต้องรู้” หลินสวินยิ้มน้อยๆ “หากเจ้ายังคิดเอ่ยคำพูดผายลมไร้ประโยชน์ คงช่วยลั่วเฟิงไม่ได้อย่างสิ้นเชิง”

ลั่วอวิ๋นเหอสีหน้าไม่น่าดู อึมครึมยิ่งนัก “คิดจะทำตัวโง่เขลาดึงดัน ต่อต้านตระกูลลั่วถึงที่สุดจริงหรือ”

หลินสวินกล่าว “หากข้าจำไม่ผิด พวกเจ้าเป็นแค่ตระกูลลั่วสายรอง ยังเป็นตัวแทนทั้งตระกูลลั่วไม่ได้… กระมัง”

“บังอาจ!”

“ตามศักดิ์แล้วผู้อาวุโสอวิ๋นเหอเป็นคนรุ่นเดียวกับตาทวดของเจ้า เจ้าถึงกับกล้าพูดจาจาบจ้วงเช่นนี้ ช่างไร้จิตสำนึกจริงๆ!”

“หลินสวิน นี่เป็นถึงน่านฟ้าที่หก เจ้าใจกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ไม่ห่วงว่าจะประสบเคราะห์หรือ”

ผู้แข็งแกร่งของตระกูลลั่วพวกนั้นพากันตวาด

หลินสวินขมวดคิ้วพลางกล่าว “พูดพล่ามมากพอแล้ว ข้าถามประโยคเดียว พวกเจ้าอยากช่วยลั่วเฟิงหรือไม่กันแน่”

ประโยคเดียวทำให้คนพวกนั้นสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ทอดสายตามองไปทางลั่วอวิ๋นเหอ ขอเพียงฝ่ายหลังออกคำสั่ง พวกเขาก็จะลงมือทันที

“พี่ชายของข้าลั่วอวิ๋นซานถูกเจ้าฆ่าจริงหรือ” ลั่วอวิ๋นเหอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม

หลินสวินกล่าว “ไม่ผิด”

ลั่วอวิ๋นเหอถามอีก “ดาบเงาแสงก็ตกอยู่ในมือเจ้าหรือ”

“ไม่ผิด”

คำตอบของหลินสวินราบเรียบ แต่สีหน้าของผู้แข็งแกร่งตระกูลลั่วพวกนั้นเปลี่ยนไปแล้ว

เหมือนพวกเขาเพิ่งตระหนักได้ในยามนี้ ว่าแม้หลินสวินจะตัวคนเดียว แม้ว่าเป็นแค่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง แต่ผลงานการต่อสู้ในอดีตของเขา… กลับสามารถทำให้ใครก็ตามอกสั่นขวัญแขวน!

สีหน้าลั่วอวิ๋นเหอเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวและเยียบเย็นเช่นกัน กล่าวว่า “ดูท่าว่าการจับตัวลั่วเฟิงครั้งนี้ เจ้าคงเตรียมการมาพร้อมสรรพ แต่เห็นชัดว่าเจ้าไม่มีความกล้าบุกเข้าไปในตระกูลลั่วทันที ไม่อย่างนั้นทำไมต้องทำเรื่องมากมายเช่นนี้ด้วย”

เขาเว้นช่วงไป แววตาน่าพรั่นพรึงจับจ้องหลินสวินเขม็ง “นี่พิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่แน่ใจว่าจะสู้กับตระกูลลั่วได้ ใช่หรือไม่”

ทุกคนใจกระตุก ล้วนมองไปทางหลินสวิน

กลับเห็นหลินสวินยิ้มกล่าว “หากมีวิธีอื่นในการทำลายตระกูลลั่วสายรองของพวกเจ้า ทำไมข้าต้องลงมืออย่างบุ่มบ่าม ข้าน่ะตัวคนเดียว ใครจะโง่เขลาถึงขั้นไม่รู้สถานการณ์ก็ทะเล่อทะล่าไปเปิดศึก ลองดูเจ้าเองเถอะ ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใคร เจ้ากล้ามาตัวคนเดียวไหม”

ลั่วอวิ๋นเหอแค่นเสียงเย็นชา “ข้ารู้แค่สุดท้ายเจ้าก็ไม่กล้าไปล้างแค้นตระกูลลั่ว ทั้งทำได้แค่เล่นสกปรกอย่างการบีบบังคับจับคนเป็นตัวประกัน หากตาทวดของเจ้ายังอยู่ ต้องมองเจ้าเป็นความอัปยศแน่!”

หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “หากเจ้ายังถ่วงเวลาเช่นนี้อีก ข้าจะทำลายมรรควิถีทั้งตัวของลั่วเฟิงเสียตอนนี้ ถึงตอนนั้นคนที่พวกเจ้าอยากช่วยก็เกรงว่าคงเป็นแค่เศษสวะแล้ว”

น้ำเสียงสบายๆ ยิ้มหน้าบาน แต่ความหมายในคำพูดกลับพาให้คนตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด