Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2683 ความโกรธเคืองของโยวหรัน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2683 ความโกรธเคืองของโยวหรัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2683 ความโกรธเคืองของโยวหรัน

เขตแดนดาราจื่อเวย

หนึ่งในสี่เขตแดนดาราใหญ่แห่งน่านฟ้าที่เจ็ด

เขตแดนดาราจื่อเวยมีถ้ำสวรรค์ในสิบสองถ้ำสวรรค์อยู่สามแห่ง ได้แก่แดนถ้ำสวรรค์หยกงาม แดนถ้ำสวรรค์แสงหยกและแดนถ้ำสวรรค์แรกตะวัน

เผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลตู๋กูก็ครองอาณาเขตในถ้ำสวรรค์หยกงาม

ริมทะเลสาบแห่งหนึ่งในถ้ำสวรรค์หยกงาม มีหอวิจิตรงดงามหลังหนึ่งสร้างไว้

ผิวทะเลสาบส่องประกาย สายลมพัดโชย

ตู๋กูโยวหรันนั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย แขนขาวนวลดุจหิมะเท้าคาง ผมงามดำขลับราวน้ำตกทอดยาวถึงเอวบางอรชร หน้ารูปเมล็ดแตงขาวกระจ่างผุดผ่องเปล่งแสงบริสุทธิ์ภายใต้แสงแดดอ่อนโยน

นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนเรียบง่าย นั่งขัดสมาธิ ช่วงเอวถึงสะโพกโค้งเว้างามได้รูป

ริมฝีปากชมพูระเรื่อของนางเม้มเบาๆ นัยน์ตากระจ่างดุจดวงดาวทั้งกลมโตและใสสะอาด นั่งเงียบอยู่ตรงนั้นราวภาพวาด ทุกอย่างกลางฟ้าดินกลายเป็นองค์ประกอบและสิ่งแต้มแต่ง

เมื่อเห็นภาพนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ อวิ๋นมู่เจอที่กำลังท่องคัมภีร์อยู่ห่างไปไม่ไกลก็ใจสั่นน้อยๆ เกิดคลื่นสะเทือนในใจอย่างควบคุมไม่อยู่

ในสี่ตระกูลตงหวง มีเพียงตระกูลอวิ๋นที่ตั้งอาณาเขตอยู่ในถ้ำสวรรค์แสงหยกของเขตแดนดาราจื่อเวยนี้ ตระกูลอื่นอีกสามตระกูลล้วนอยู่ในแดนดาราแสงเขียว

ตระกูลอวิ๋นกับตระกูลตู๋กูผูกมิตรกันมาหลายรุ่น ทั้งมีเรื่องอย่างการแต่งงานดองกันมากมาย

ตามศักดิ์แล้วอวิ๋นมู่เจอคือญาติผู้พี่ของตู๋กูโยวหรัน

ด้วยสองตระกูลมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งสองจึงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เรียกว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1] ตั้งแต่เยาว์วัย

แม้ว่าถึงทุกวันนี้อวิ๋นมู่เจอจะเป็นหนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ชื่อเสียงสะเทือนน่านฟ้าที่เจ็ดนานแล้ว เขาก็มาตระกูลตู๋กูอยู่บ่อยครั้ง คอยอยู่ข้างกายตู๋กูโยวหรันเสมอ

คนตระกูลตู๋กูไม่ได้โง่ มีหรือจะดูไม่ออกว่าอวิ๋นมู่เจออยากคบหากับตู๋กูโยวหรัน

ดังนั้นจึงยินดีเมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน

แต่สำหรับความชื่นชอบของอวิ๋นมู่เจอ ตู๋กูโยวหรันกลับนิ่งดูดายอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้บิดาของนาง หรือก็คือตู๋กูเซียวผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลตู๋กูปวดหัวไม่หยุดเช่นกัน

หลายปีนี้ตู๋กูเซียวก็เคยหยั่งเชิง บอกว่าจะหาคู่ให้ตู๋กูโยวหรัน แต่ถูกตู๋กูโยวหรันปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถึงขั้นว่าเพื่อหนีการจับคู่แต่งงาน ไม่กี่ปีก่อนตู๋กูโยวหรันยิ่งหนีออกจากตระกูลมาคนเดียวโดยพลการ มุ่งหน้าไปยังแดนใหญ่พันศึกเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

สุดท้ายแม้จะถูกอวิ๋นมู่เจอพาตัวกลับมา แต่ตู๋กูเซียวกลับไม่กล้าพูดถึงเรื่องแต่งงานอีกสักประโยค กลัวว่าลูกสาวสุดที่รักซึ่งถูกเขาประคบประหงมคนนี้จะออกจากบ้านไปโดยพลการอีก

ตอนนี้ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของตู๋กูเซียวก็คือ ส่งตู๋กูโยวหรันเข้าไปฝึกปราณในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดให้ได้

“โยวหรัน เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

เมื่อเห็นว่าตู๋กูโยวหรันเหม่อลอยเนิ่นนาน อวิ๋นมู่เจออดถามด้วยเสียงอ่อนโยนไม่ได้

ตู๋กูโยวหรันกล่าวลอยๆ “ท่านพี่ ท่านว่าครั้งนี้หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดนั่นจะรับผู้สืบทอดกี่คน”

อวิ๋นมู่เจอยิ้มกล่าว “เจ้ากำลังว้าวุ่นใจด้วยเรื่องนี้หรือ ไม่จำเป็นเลย ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเราสองตระกูล ย่อมเข้าไปฝึกปราณในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้อย่างแน่นอน”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ถึงตอนนั้นพวกเรามีโอกาสสูงว่าจะกราบอาจารย์เข้ายอดเขาที่สองแห่งลัทธิแรกกำเนิดได้”

ตู๋กูโยวหรันขานรับว่าอืมคำหนึ่ง ไม่ได้แปลกใจ

ด้วยผู้นำยอดเขาที่สองแห่งลัทธิแรกกำเนิด ก็คือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มาจากตระกูลอวิ๋น นามอวิ๋นเทียนหมิง ตามศักดิ์แล้วเป็นปู่ทวดของอวิ๋นมู่เจอ

ไม่รู้ว่าอวิ๋นมู่เจอนึกอะไรออก กล่าวอย่างกระปี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา “ทั้งด้วยคุณสมบัติและรากฐานพลังของเจ้ากับข้า ขอเพียงเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ใช้เวลาไม่กี่ปีก็กลายเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของยอดเขาที่สองได้ ถึงตอนนั้นมีการช่วยเหลือจากท่านปู่รองของเจ้า การทำให้พวกเราเป็นศิษย์ของหอแรกมายาก็เป็นเรื่องเล็กน้อย!”

หอแรกมายา รับผิดชอบเรื่องการถ่ายทอดความรู้วิชา!

ท่านปู่รองของตู๋กูโยวหรันก็คือหนึ่งในรองหัวหน้าหอสามคนของหอแรกมายา ฐานะสูงส่งจนน่ากลัว

หากเทียบกันแล้ว ฐานะผู้นำยอดเขาที่สองของอวิ๋นเทียนหมิงปู่ทวดของอวิ๋นมู่เจอยังด้อยกว่าช่วงใหญ่

แต่เห็นชัดว่าตู๋กูโยวหรันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

สำหรับตู๋กูโยวหรัน เป้าหมายของการฝึกปราณนั้นง่ายมาก มีแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ อยู่อย่างเรียบง่ายทั้งชีวิต

ชื่อเสียงและอำนาจล้วนไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่เห็นชัดว่าสำหรับอวิ๋นมู่เจอกลับไม่ใช่เช่นนี้

เขาคือบุคคลแห่งยุคที่เจิดจรัสที่สุดของตระกูลอวิ๋นในรุ่นนี้ เป็นหนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด ทั้งเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปที่ผู้นำตระกูลอวิ๋นหมายมั่น

รอแค่เขาแจ้งมรรคอมตะ ก็จะค่อยๆ ส่งต่ออำนาจตระกูลอวิ๋นให้อวิ๋นมู่เจอดูแล

ตู๋กูโยวหรันรู้ดีว่าอวิ๋นมู่เจอยังมีความทะเยอทะยานหนึ่งที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือทำให้ตระกูลอวิ๋นหลุดจากการพึ่งพิงติดตามตระกูลตงหวงแห่งน่านฟ้าที่แปด ไม่ถูกบงการโดยตระกูลตงหวงอีก!

เมื่อมีความทะเยอทะยานนี้ แน่นอนว่าต้องได้รับความชื่นชมและสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในตระกูลอวิ๋นมากมาย

ถึงขั้นว่าแม้แต่ตู๋กูเซียวบิดาของนางก็ชื่นชมความกล้าของอวิ๋นมู่เจอเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าคนรุ่นหลังเหนือกว่าคนรุ่นก่อน มีความหวังในหนทางข้างหน้า

แต่สำหรับตู๋กูโยวหรันที่นิสัยเฉยเมย หวังเพียงอยู่อย่างเรียบง่ายทั้งชีวิตกลับชื่นชมไม่ออกสักนิด

อวิ๋นมู่เจอก็รู้นิสัยของตู๋กูโยวหรัน เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “โยวหรัน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ แต่เจ้าวางใจ เรื่องที่เจ้าไม่ชอบยกให้ข้าทำเถอะ และข้าจะใช้พลังทั้งหมดมารับรอง ให้เจ้าไม่ถูกเรื่องพวกนี้รบกวนทั้งชีวิต”

ตู๋กูโยวหรันไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

สายตานางมองน้ำในทะเลสาบที่ห่างไกล นิ่งงันเหม่อลอย

ในใจกลับผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้นางถามอวิ๋นมู่เจอว่าครั้งนี้หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะรับผู้สืบทอดกี่คน

แต่คำตอบของอวิ๋นมู่เจอกลับไม่เกี่ยวกับคำถามนี้โดยสิ้นเชิง คำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งหวังอยากเข้าไปฝึกปราณในยอดเขาที่สอง และความปรารถนาที่อยากกลายเป็นผู้สืบทอดของหอแรกมายา

ความคิดและคำตอบของทั้งสองฝ่ายล้วนไม่เหมือนกัน

“คุณหนู มีข่าวมาแล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงยินดีชัดกระจ่างหนึ่งดังขึ้น จากนั้นตั๋วตั่วสาวใช้ผู้เฉลียวฉลาดงดงามก็รีบเดินเข้ามา ในมือยังกวัดแกว่งม้วนหยกหนึ่งด้วย

เมื่อเห็นอวิ๋นมู่เจอ สาวใช้ตั๋วตั่วอึ้งไปเล็กน้อย แลบลิ้นเล็กน้อยพลางกล่าว “ที่แท้คุณชายอวิ๋นก็อยู่ด้วย”

อวิ๋นมู่เจออมยิ้มกล่าว “ตั๋วตั่วมีข่าวดีอะไรหรือ ถึงได้ดีใจจนเป็นเช่นนี้”

ตั๋วตั่วคือสาวใช้ข้างกายตู๋กูโยวหรัน พูดว่าเป็นสาวใช้ ความจริงแล้วเหมือนพี่น้อง สนิทสนมกันมาก

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นกล้าไม่ทักทายก็บุกเข้ามาในหอ อวิ๋นมู่เจอคงไม่ยอมใจกว้างเช่นนี้แน่

ใช่ว่าเขาใจแคบ แต่นิสัยเขาเป็นเช่นนี้ กฎก็คือกฎ ไหนเลยจะให้คนละเมิดและเหยียบย่ำได้ง่ายๆ!

ตั๋วตั่วลังเลอยู่บ้าง มองตู๋กูโยวหรันคราหนึ่ง

ตู๋กูโยวหรันถลึงตาใส่นางอย่างไม่สบอารมณ์ “มัวนิ่งอึ้งทำไม รีบนำมาให้ข้าดู”

ตั๋วตั่วขานรับว่าอ้อ ก่อนส่งมอบม้วนหยกให้

ตู๋กูโยวหรันเปิดม้วนหยกออกดู นัยน์ตากระจ่างดุจน้ำในทะเลสาบฉายแววอัศจรรย์ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้พลางกล่าว “เจ้าหมอนี่เป็นตามที่ข้าคาดไว้จริงๆ ถึงตอนนี้แล้วยังอยู่ดีมีสุข”

ตั๋วตั่วอมยิ้มกล่าวอยู่ด้านข้าง “ใช่แล้ว หลายปีนี้มีข่าวลือนับไม่ถ้วนบอกว่าเขาต้องประสบเคราะห์ถึงตายแน่ แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร คนเขามาถึงน่านฟ้าที่เจ็ดแล้ว ทั้งจะเข้าร่วมการคัดเลือกของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดด้วย”

ตู๋กูโยวหรันยืดเอวบางเล็กน้อย หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่ากล่าวว่า “ข้ารู้แต่แรกว่าเขาไม่ใช่คนอยู่ในรูปในรอยเช่นนั้น เช่นนี้ก็ดี หากเขาเข้าไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็จะได้เจอกันอีก”

อวิ๋นมู่เจอที่เห็นภาพทั้งหมดนี้อยู่ในสายตารู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง คล้ายว่าถูกมองข้าม

โดยเฉพาะผู้ที่ตู๋กูโยวหรันกับตั๋วตั่วพูดถึงยังเป็นคนอื่น นี่ทำให้ในใจเขาไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

แต่ความรู้สึกเล็กน้อยพวกนี้ถูกอวิ๋นมู่เจอซ่อนไว้อย่างดี เวลานี้เขายิ้มพลางเอ่ยถาม “คนที่พวกเจ้าพูดถึงคือใครหรือ”

“หลินสวิน”

ตู๋กูโยวหรันหันหลังกลับมา เนตรดารามองอวิ๋นมู่เจอ กลีบปากเผยอเล็กน้อย เผยเรียวฟันรางๆ กล่าวพร้อมรอยยิ้มงาม “ปีนั้นยามอยู่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้าของแดนใหญ่พันศึก ท่านพี่ก็เคยเจอเขา”

“เป็นเขา?”

อวิ๋นมู่เจออึ้งไป

ความทรงจำเขาไม่แย่ ปีนั้นเขามุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึกเพียงลำพังเพื่อรับตู๋กูโยวหรันกลับบ้าน และเคยเจอหลินสวินครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงนั่น

ตอนนั้นในสายตาของเขา หลินสวินเป็นแค่มกุฎมหาจักรพรรดิที่ไม่เข้าตาคนหนึ่งเท่านั้น

แต่อวิ๋นมู่เจอกลับคิดไม่ถึงว่าบุคคลที่ไม่เข้าตาเช่นนี้ไม่เพียงรอดจากด่านนภาอมตะด่านที่เก้ามาได้ ยังรอดจากการต่อสู้ในแดนลับทวยเทพด้วย ทั้งหลายปีนี้ตลอดทางที่เขาผ่านจากน่านฟ้าที่หนึ่งถึงน่านฟ้าที่หก ทุกน่านฟ้าล้วนมีชื่อเสียงดุร้ายของคนผู้นี้แพร่สะพัด

ทุกอย่างนี้อยู่เหนือความคาดหมายของอวิ๋นมู่เจอโดยสิ้นเชิง

ด้วยตอนนั้นยามออกจากด่านนภาอมตะด่านที่เก้า เขาเคยกำชับเจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินกับปากตัวเองว่าไม่อยากเห็นหลินสวินปรากฏตัวที่โลกยอดนิรันดร์

แต่เห็นชัดว่าตอนนั้นไป๋เจี้ยนเฉินไม่ได้ทำตาม!

กระทั่งหลายปีนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวิน ในใจอวิ๋นมู่เจอจะเอ่อล้นด้วยความเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก

ราวกับมดที่บี้ตายได้ตอนนั้น ไม่เพียงไม่ตาย ยังรอดจนกลายเป็นเทพมังกรบนฟ้า

ถึงขั้นว่าหากพูดถึงกิตติศัพท์ หนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดอย่างเขายังมีชื่อเสียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ

นี่ทำให้ในใจอวิ๋นมู่เจอไม่สบอารมณ์นัก

ไม่ใช่อิจฉา

หากแต่เสียใจภายหลัง นึกเสียดายว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ฆ่าหลินสวินด้วยตัวเอง!

ทว่าแม้แต่อวิ๋นมู่เจอก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ตู๋กูโยวหรันพูดคุยกับตั๋วตั่วยามนี้ถึงกับเป็นหลินสวิน

นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างยากสังเกตเห็น

ตู๋กูโยวหรันไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้สักนิด ทั้งนางยังไม่รู้ว่าปีนั้นยามอยู่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้า อวิ๋นมู่เจอเคยยืมมือไป๋เจี้ยนเฉินหมายจะฆ่าหลินสวิน

นางยิ้มพลางส่งม้วนหยกให้อวิ๋นมู่เจอดูแล้วกล่าว “ท่านพี่ดูสิ หลินสวินนี่มาถึงน่านฟ้าที่เจ็ดแล้ว”

อวิ๋นมู่เจอลอบข่มความไม่พอใจในใจ ยิ้มพลางพยักหน้า เปิดม้วนหยกออกดูแล้วเลิกคิ้วกล่าวทันที “หากเรื่องนี้เป็นความจริง ยามหลินสวินมุ่งหน้ามาหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดย่อมประสบเคราะห์สังหารแน่ เป็นไปได้สูงว่าจะรักษาชีวิตไม่รอด!”

พูดแทงใจดํา!

แต่เห็นชัดว่าคำตอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตู๋กูโยวหรันต้องการ นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมเวลาพูดถึงหลินสวินท่านพี่ถึงทำเหมือนคนในโลกภายนอกพวกนั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะประสบเคราะห์?”

“ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีนี้มีคนไม่รู้เท่าไหร่คิดว่าเขาต้องตาย แต่ตอนนี้ท่านก็รู้แล้ว เขายังมีชีวิตรอด ทั้งยังอยู่ดีมีสุขด้วย”

พูดจบตู๋กูโยวหรันนำม้วนหยกกลับมา หันหลังไปพลางกล่าว “ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกเจ้าจากไปก่อนเถอะ”

ตั๋วตั่วอึ้งงัน พยักหน้าจากไปอย่างว่าง่าย

นางปรนนิบัติตู๋กูโยวหรันมาหลายปี มองออกในปราดเดียวว่าตู๋กูโยวหรันโกรธเคืองอยู่บ้างแล้ว

บนสีหน้าอวิ๋นมู่เจอกลับฉายแววอึมครึม เขาตกตะลึงยิ่งนัก แค่ประโยคเดียวเท่านั้น เพียงวิเคราะห์สถานการณ์ของหลินสวินนั่นเล็กน้อยก็ทำให้ญาติผู้น้องโกรธแล้วหรือ

นางสนใจเจ้าหลินสวินนี่เพียงนี้เชียว?

…………………….

[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ใช้บรรยายถึงเด็กชายหญิงซึ่งเล่นด้วยกันอย่างไร้เดียงสา ทั้งนี้ยังมีความหมายว่าเป็นคู่รักที่โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด