Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2705 พุ่งทะยานสู่เมฆาคราม

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2705 พุ่งทะยานสู่เมฆาคราม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้คนจดจำโจวจือจือได้อย่างลึกซึ้ง

ความสามารถที่เขาแสดงออกมาในรอบที่หนึ่งและรอบที่สองไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้นเหมือนกัน

สาเหตุที่ทุกคนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ก็เพราะเขาทำหลายอย่าง ‘เป็นคนแรก’

เป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบรอบแรก

เป็นคนแรกที่เข้าร่วมการทดสอบรอบที่สอง

และตอนนี้เขาจะเป็นคนแรกที่เข้าร่วมการทดสอบรอบที่สาม

เรื่องนี้จะให้คนจำเขาไม่ได้คงยาก

ขนาดหลินสวินยังจำคนผู้นี้นี้ได้ดี

ทว่าโจวจือจือไม่ได้อยากเด่นแบบนี้สักนิด เขาอยากให้คนอื่นจำผลงานการต่อสู้ของเขา มากกว่าจำได้ว่าเขาเป็นคนแรกที่ออกโรงอยู่เสมอ…

การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว โจวจือจือทำใจให้นิ่ง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เงาร่างพลันทะยานจากพื้นขึ้นไปเหนือวังกระบี่หมื่นยอด

ระยะห่างสามพันจั้ง สำหรับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนไหนก็ตาม ชั่วพริบตาก็ไปถึง

แต่พอทะยานขึ้นไปจริงๆ โจวจือจือถึงรู้ว่าการทดสอบครั้งนี้ยากกว่าที่คาดคิดไว้ลิบลับ

กลิ่นอายที่วังกระบี่หมื่นยอดนั้นปลดปล่อยออกมาก็เหมือนกำแพงกั้นที่กดทับห้วงอากาศไว้เป็นชั้นๆ อย่าว่าแต่เคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ต่อให้ท่องทะยานก็ยังถูกกดข่มอย่างหนัก

เต่ละก้าวที่พุ่งขึ้นไป จะถูกแรงกดดันน่ากลัวจู่โจม

ไม่นานนักเหงื่อกาฬก็ผุดขึ้นทั้งตัวโจวจือจือ มรรควิถีทั้งร่างถูกสำแดงถึงขีดสุด เช่นนี้จึงจะทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ได้อย่างช้าๆ

ในสายตาผู้อื่น โจวจือจือเหมือนเดินแบกเขาลูกใหญ่ไว้บนหลังอยู่กลางบ่อโคลน เงาร่างโซเซเป็นครั้งคราว หายใจหอบถี่เป็นพักๆ เหงื่อล้วนซึมออกมาจากสาบเสื้อเขาโดยไม่รู้ตัว

ผู้คนต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่ได้

โจวจือจือเป็นถึงมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ผ่านการทดสอบสองรอบคนหนึ่ง แต่ตอนนี้แค่จะไปถึงท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปสามพันจั้งนั้น กลับเดินอย่างยากเย็น ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งตัว

แค่คิดก็รู้ว่าการทดสอบรอบที่สามนี้อาจจะง่ายมาก แต่ก็ใช่ว่าใครจะผ่านได้สบายๆ!

กระทั่งก่อนไปถึงระยะสามพันจั้ง โจวจือจือยังแทบร่วงลงมาจากฟ้าหลายครั้ง ทำเอาผู้ที่มองดูอยู่หลายคนอดเหงื่อตกแทนเขาไม่ได้

ยังดีที่ในที่สุดโจวจือจือก็ไปถึงได้อย่างราบรื่นแล้ว

สิ่งที่ยากจะเชื่อก็คือ เจ้าคนที่ดูยับเยินหาใดเทียบผู้นี้ดันไม่พอใจเพียงเท่านี้ ยังเดินหน้าต่อไป

แต่ละก้าวดูลำบากยากเย็นนัก

แต่หลังจากก้าวออกไปแต่ละก้าว เงาร่างของเขาก็ยิ่งก้าวสูงขึ้นไปอีก

คนไม่น้อยค่อยๆ หน้าเปลี่ยนสี เกิดความรู้สึกชื่นชมขึ้นในใจ

อาจมีเพียงผู้ที่มุมานะและกล้าหาญยิ่งเช่นนี้ จึงประสบความสำเร็จบนมหามรรคได้อย่างวันนี้กระมัง

ในที่สุดโจวจือจือก็หยุดลงบริเวณความสูงสามพันห้าร้อยจั้ง

เขาปาดเหงื่อที่หน้าผาก ใช้เจตจำนงของตนควบรวมเมฆาครามมหามรรคออกมาก้อนหนึ่ง ประทับชื่อของตนไว้บนนั้นอย่างผ่าเผย

จากนั้นเงาร่างของเขาก็ร่วงลงมาจากฟ้าสูงดังสวบคล้ายต้นหอมทิ่มปัก เมื่อเข้าใกล้ผืนดินก็พลิกตัวกลับอย่างมั่นคงแล้วก็ยืนนิ่ง หอบเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “ทำเอาข้าเหนื่อยแทบแย่แล้ว”

ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ที่ลงสนามตามมาติดๆ คือฉีชิงซือ

เทียบกับโจวจือจือแล้ว การเคลื่อนไหวของฉีชิงซือดูเยือกเย็นนัก แต่เมื่อเงาร่างของนางยิ่งอยู่สูงขึ้นก็ยิ่งช้าลงทีละน้อย

ในที่สุดนางก็หยุดอยู่ที่ความสูงหกพันจั้ง!

ภาพนี้ทำให้ทั้งที่นั้นสะท้านสะเทือนในทันที เพราะผลสำเร็จเช่นนี้เรียกได้ว่าสะดุดตาแล้ว

เพียงแต่ในดวงตาฉีชิงซือกลับปรากฏแววไม่ยินยอม ทั้งยังออกจะจนใจ

ในบริเวณเดียวกับความสูงนี้ เมฆาครามมหามรรคที่ลอยอยู่เริ่มเบาบางลงแล้ว แต่ยังมีไม่น้อย

และในที่ที่สูงยิ่งขึ้นก็มีเมฆาครามมหามรรคมากมายลอยอยู่เช่นกัน

ทั้งหมดนี้หมายความว่า ในอดีตมีหลายคนมาถึงความสูงนี้เหมือนกับนาง และยังมีหลายคนที่เอาชนะความสูงนี้ได้ด้วย!

แต่น่าเสียดาย ไม่ยินยอมแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว นี่เป็นขีดจำกันของนางแล้ว

หลังจากฉีชิงซือผ่านการทดสอบ ก็มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนแล้วคนเล่าเข้าทดสอบอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างไปถึงพื้นที่เหนือสามพันจั้งอย่างปลอดภัย

อย่างเซี่ยงเสี่ยวหยวน ก็หยุดเท้าลงที่บริเวณสามพันจั้ง

อย่างตู๋กูโยวหรัน หยุดลงตอนที่ห่างออกไปสามพันเก้าร้อยจั้ง

จากจุดนี้ก็ดูออก ว่าหากนำเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่มาจากแดนใหญ่พันศึกเหมือนหลินสวิน มาเทียบกับผู้กล้าหญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดตั้งแต่เด็กอย่างตู๋กูโยวหรันแล้ว ในด้านรากฐานอย่างไรก็ยังต่างกันเล็กน้อยอยู่ดี

หลินสวินลงสนามเป็นคนที่เจ็ด

เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนในที่นั้นก็ใจเต้นระส่ำ สายตาพากันจับจ้องไป

เพราะมีผลงานน่าตกตะลึงที่เผยให้เห็นในการทดสอบรอบที่หนึ่งและสอง ทำให้ผู้คนไม่กังขาสักนิดว่าหลินสวินจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปไม่ได้

สิ่งที่ทุกคนสนใจก็คือ สุดท้ายหลินสวินจะไปถึงความสูงเท่าไร!

“เห็นเมฆาครามมหามรรคสามก้อนที่อยู่สูงขึ้นไปเก้าพันจั้งนั่นหรือไม่ ว่ากันว่านั่นเป็นผลงานของศิษย์เบื้องท้ายสามคนที่เจ้าลัทธิแรกกำเนิดรับ”

มีเฒ่าดึกดำบรรพ์เอ่ยเสียงเบา “ถ้าคราวนี้หลินสวินไปถึงความสูงนี้ได้ ต้องได้ตำแหน่งสำคัญในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแน่!”

ที่ความสูงเก้าพันจั้ง

เมฆาครามมหามรรคสามก้อนลอยอยู่คนละที่

นั่นเป็นผลงานของผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิแรกกำเนิดทั้งสาม และผู้สืบทอดสามคนนี้ก็ถูกส่งไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่เก้านานแล้ว!

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ก็ใช่ว่าไม่มีคนใหม่ลองท้าทายความสูงเก้าพันจั้ง แต่ล้วนล้มเหลวไปโดยไม่มีข้อยกเว้น

“เฮอะ เจ้าของเมฆาครามมหามรรคสามคนนั้นข้าก็พอรู้จักอยู่ ตอนนี้เป็นผู้มากความสามารถในเผ่าเทพนิรันดร์ สูงส่งไม่อาจประเมินได้กันหมดแล้ว”

ฉีทิงจื่อหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “แต่ถ้าบอกว่าหลินสวินคนนี้จะประสบความสำเร็จถึงระดับนี้ในการทดสอบรอบที่สาม ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด”

จวินหวนยิ้มแล้วกล่าวเนิบๆ ว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ศิษย์น้องเล็กของข้าเข้ามาในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดไม่ได้ อีกอย่าง ระหว่างทดสอบเจ้าหุบปากไว้จะดีกว่า อย่าได้ก่อกวนการทดสอบ หาไม่แล้วเกรงว่าสหายยุทธ์หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดพวกนั้นจะไม่ยอมเอาได้”

“เจ้า…” แววโกรธเคืองผุดขึ้นในดวงตาฉีทิงจื่อ

แต่ขณะกำลังจะพูดอะไร ก็พบว่าหลินสวินออกเคลื่อนไหวแล้ว

และทุกคนในที่นั้นต่างก็ถูกดึงความสนใจไป

หลินสวินเหยียบย่างไปในห้วงอากาศ ทะยานขึ้นฟ้าสูงดุจเซียน

ไม่ได้รวดเร็วนัก แต่กลับผ่อนคลายเหมือนเดินเล่นในสวน

ระยะพันจั้งชั่วพริบตาก็มาถึง สิ่งที่ทำให้ทุกคนทึ่งก็คือ หลินสวินสุขุมเยือกเย็น ความเร็วกลับไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

ไม่นานนักเงาร่างของเขาก็ไปถึงบริเวณสามพันจั้งแล้ว!

และก็เป็นยามนี้เอง ทั่วลานเกิดความโกลาหลไปครู่หนึ่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนสบตามองหน้ากัน

ต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมาถึงความสูงนี้ได้อย่างง่ายดายปานนี้ อย่างกับตลอดทางไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใด

เรื่องนี้น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย!

“วิปริตดังคาด…” โจวจือจือเดาะลิ้น

ความไม่ยินยอมแรงกล้าผุดขึ้นในใจฉีชิงซือ แค่เทียบกันครั้งเดียวนางก็รู้แล้วว่าตัวเองกับหลินสวินห่างชั้นกันมากขนาดไหน

และยังมีหลายคนสงบนิ่งนัก

อาทิพวกฟางเต้าผิง เซียวเหวินหยวน หลีเจิน

จากพลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมาในรอบที่หนึ่งและสอง ทำได้ถึงขั้นนี้ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือคาดสักนิด

พร้อมๆ กับเวลาที่ผ่านไป ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ไปถึงสี่พันจั้ง ห้าพันจั้ง หกพันจั้ง…

พุ่งทะยานขึ้นตลอดทาง!

ภาพเช่นนั้นทำให้คนไม่รู้เท่าไรตกตะลึงอ้าปากค้าง

เพราะจนถึงตอนนี้การเคลื่อนไหวของหลินสวินยังไม่เผยเค้าลางว่าถูกขัดขวางแต่อย่างใด ยังเยือกเย็นและผ่อนคลายเหมือนเคย!

กระทั่งยามเห็นว่าเงาร่างหลินสวินไปถึงแปดพันจั้ง ทั้งที่นั้นล้วนเงียบกริบแล้ว แต่ละคนตาเบิกกว้าง รู้สึกเพียงว่าปากคอแห้งผาก ศีรษะชาหนึบ

มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหกคนที่เข้าร่วมการทดสอบก่อนหน้านี้ ผลงานที่ดีที่สุดก็แค่ระยะหกพันจั้ง

แต่ตอนนี้ระยะห่างนี้ถูกหลินสวินทิ้งไว้ข้างหลังไปแล้ว

บนฟ้าสูงแปดพันจั้ง เมฆาครามมหามรรคเบาบางเป็นที่สุด รวมกันยังไม่ถึงสิบก้อน!

แต่เห็นได้ชัดว่าที่ไม่ใช่ผลงานสุดท้ายของหลินสวิน

เพราะหลังจากมาถึงความสูงระดับนี้ ความเร็วที่พุ่งขึ้นมาของเขาจึงผ่อนลงบ้าง ยามเดินออกไปแต่ละก้าว แสงมรรคบนร่างอุบัติขึ้น ส่งเสียงดังกระหึ่ม เห็นชัดว่ารับแรงกดดันแล้วเช่นกัน

แต่ไม่ได้ทุลักทุเล

เขาเดินหน้าตลอดทาง เงาร่างกำลังเข้าใกล้ระยะเก้าพันจั้งทีละน้อยท่ามกลางสายตาตกตะลึงที่จับจ้อง

ยามนี้กระทั่งพวกฟางเต้าผิง เซียวเหวินหยวนยังเผยสีหน้าแปลกไป

สุดท้ายหลินสวินจะประทับชื่อของตนไว้ที่ความสูงเก้าพันจั้งได้หรือไม่

ตงหวงชิงที่เป็นผู้ดูแลการทดสอบคราวนี้สีหน้าอึมครึมนัก เช่นเดียวกับพวกฉีทิงจื่อ จงหลีชงที่อยู่ห่างออกไป ในใจพวกเขารู้สึกต่อต้านและไม่พอใจเพียงไหนไม่ต้องพูดถึง

ยิ่งหลินสวินสำแดงความสามารถน่าตื่นตา ในใจพวกเขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

ใครจะยินดีเห็นศัตรูที่ตนแค้นจนหมายจะฆ่าให้ตายคนหนึ่งเดินอยู่ในเมฆาคราม พุ่งทะยานสูงขึ้นต่อหน้าต่อตาได้

“เก้าพันจั้ง! เขาทะลวงไปถึงแล้ว!”

เสียงร้องแหลมเผยความตื่นเต้นเสียงหนึ่งกรีดผ่านแก้วหูทุกคน สะท้านสะเทือนจิตใจผู้คน

เงาร่างหลินสวินเหยียบย่างเข้าไปบนฟ้าสูงเก้าพันจั้งท่ามกลางสายตาที่มองดูอยู่นับไม่ถ้วน!

นี่เป็นผลงานที่สามารถสะท้านหมื่นกาลได้ครั้งหนึ่ง สามารถบันทึกลงในประวัติศาสตร์ของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ถูกคนรุ่นหลังจดจำไปตลอด

เพราะเหนือเก้าพันจั้งนั้น มีเมฆาครามลอยอยู่เพียงสามก้อนมาตลอด

แต่ตั้งแต่วันนี้ไป กลางฟ้าสูงนั้นจะมีเมฆาครามก้อนที่สี่อุบัติขึ้น!

“นี่อย่างกับตบหน้าคนที่ก่อนหน้านี้ตาไม่มีแววนั่น” จวินหวนยิ้มจนตาหยีเหมือนจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่ง

และคำพูดของนางก็เหมือนการตบหน้าฉีทิงจื่ออย่างไร้รูปจริงๆ ฝ่ายหลังโมโหไปครู่หนึ่ง สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว

แต่น้อยคนนักที่จะสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ เพราะยามนี้สายตาทุกคู่ต่างรวมอยู่ที่ตัวหลินสวิน

เพราะเขายังไม่หยุดเดิน!

ต่อให้ก้าวเดินได้อย่างยากเย็นและเชื่องช้าลง ต่อให้ร่างจะโซเซเป็นครั้งคราว ต่อให้ดูไม่เยือกเย็นและผ่อนคลายอย่างก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ฝีเท้าของเขาก็ไม่ได้หยุดลง!

ทุกคนกลั้นใจจับจ้อง ในใจแขวนลอยอย่างอดไม่ได้ เต็มไปด้วยความตั้งตาคอย

ยามเห็นเงาร่างหลินสวินก้าวผ่านหนึ่งในเมฆาครามทั้งสามก้อนไป ทันใดนั้นทั้งที่นั้นก็ระเบิดเสียงอุทานดังลั่น คลื่นเสียงดังสนั่นอย่างกับหม้อระเบิด

เมื่อเห็นเงาร่างหลินสวินก้าวผ่านเมฆาครามก้อนที่สองในสามก้อนนั้นทีละนิด หลายคนต่างกำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ ต่างตาลายไปครู่หนึ่ง

ตอนนี้ต่อให้เป็นพวกฟางเต้าผิง เซียวเหวินหยวน ยังตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เพราะมีแต่พวกเขาที่รู้ชัด ว่าขณะนี้ผลงานที่หลินสวินกำลังคว้าไปน่าตกตะลึงเพียงใด เหนือล้ำอดีตกาลปานไหน!

เมื่อข่าวกระจายไปในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ต้องถึงขั้นทำให้เฒ่าชราพวกนั้นนั่งไม่ติด!

และยามเห็นเงาร่างหลินสวินก้าวผ่านเมฆาครามมหามรรคที่อยู่สูงสุดนั้นไปทีละน้อยอย่างยากเย็นหาใดเทียบ ทั้งที่นั้นกลับเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด

แต่ละคนเหมือนตกใจจนนิ่งอึ้งไปเช่นนั้น

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด